ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 471 ครั้งนี้เป็นปัญหาที่หลินอิ่งสร้างขึ้นทั้งนั้น

บทที่ 471 ครั้งนี้เป็นปัญหาที่หลินอิ่งสร้างขึ้นทั้งนั้น

ภายในคฤหาสน์ของหลินอิ่ง

ในห้องรับแขก บนโต๊ะอาหารจัดอาหารไว้หนึ่งโต๊ะ

จางซิ่วเฟิง ลู่หย่าฮุ่ย จางฉีโม่ นั่งกันรอบโต๊ะทั้งสามคน

ส่วนหลี่ผู ยืนอยู่ด้านข้างสีหน้าเคร่งเครียด

“ฉีโม่ ลูกต้องเข้มแข็ง อย่าไปโมโหคิดมากแบบนี้ทุกวันเพราะไอ้ไร้น้ำยาหลินอิ่งอีก” ลู่หย่าฮุ่ยพยายามพูดปลอบ “กับอีกแค่ไอ้ไร้น้ำยานั่น มันมีสิทธิ์อะไรทำให้ลูกโกรธ?”

“พวกเราเลี้ยงมันมาสองปีแล้ว ถึงแม้ลูกจะเจริญก้าวหน้าแล้ว ก็ไม่ได้ถีบมันออกจากบ้าน ปรากฏว่า ลูกดูมัน หลินอิ่งมันกำลังทำอะไรอยู่?”

“ทั้งที่บ้านและบริษัทเกิดปัญหาใหญ่โตขนาดนี้ ก็เพราะว่ามันไปมีเรื่องกับผู้หญิงแซ่จ้าวนั้น? ก่อปัญหาใหญ่โตขนาดนี้ ยังหาเรื่องมาถึงตัวลูกอีก”

“ส่วนมันหลินอิ่ง เวลาสำคัญแบบนี้ กลับไปเที่ยวอย่างสนุก ไปมั่วอยู่กับสาวฝรั่ง? ยังมีคนไปเจอ ถ่ายรูปส่งมาถึงบ้าน”

ลู่หย่าฮุ่ยพูดอย่างเย็นชา สำหรับหลินอิ่งแล้วมีแต่ความดูถูกและความเกลียด

จางฉีโม่นั่งเงียบคีบกับข้าวกินไปสองคำ

ครั้งนี้ เห็นยากที่เธอไม่พูดแทนหลินอิ่ง

เห็นแล้ว ลู่หย่าฮุ่ยก็ยิ้ม คิดในใจว่าในใจลูกสาวตัวเอง ไม่มีที่นั่งสำหรับหลินอิ่งแล้ว

ลู่หย่าฮุ่ยพูด “ลูก เรื่องที่คุณชายโจมาคุยครั้งที่แล้ว ลูกคิดยังไงบ้าง? คุณชายสามตระกูลโจเขามีความจริงใจอย่างมาก ช่วยลูกจัดการธุระในบริษัทตั้งมากมาย แม่ว่าบ้านเรากับตระกูลโจก็ตกลงเรื่องงานแต่งครั้งนี้เถอะ”

“สำหรับฐานะชื่อเสียงของลูกทุกวันนี่ในเมืองตุงไห่ ตระกูลโตของพวกเขาก็ถือว่าคู่ควรกันแล้ว” ลู่หย่าฮุ่ยคิดเองพูดเอง

“แม่ หนูไม่อยากคุยเรื่องวุ่นวายพวกนี้” จางฉีโม่ก้มหน้ากินข้าว ไม่อยากไปคุยเรื่องพวกนี้

จางฉีโม่รู้สึกวุ่นวายใจไปหมด เธอสามารถยืนหยัดมีชื่อเสียงในวงการเครื่องประดับ สามารถบริหารบริษัทจนมีโครงสร้างใหญ่โตอย่างทุกวันนี้ได้ ล้วนเป็นเพราะหลินอิ่ง

เธอผ่านเรื่องราวอะไรมามากมายกับหลินอิ่ง เคยเห็นว่าหลินอิ่งมีอำนาจแค่ไหนในตี้จิง ฐานะสูงส่งขนาดไหน

แต่ว่า ในใจหลินอิ่งทุกวันนี้ ดูเหมือนจะไม่มีที่นั่งสำหรับเธอแล้ว

หลินอิ่งนอกใจเธอ หักหลังเธอแล้ว

เธอรู้สึกว่า ชีวิตดูเหมือนไม่มีความหมายอะไรแล้ว

สำหรับทางด้านพ่อกับแม่ ความเข้าใจผิดและดูถูกหลินอิ่ง

จางฉีโม่ไม่อยากไปอธิบายให้ทั้งสองฟังแล้ว พูดไปพวกเขาก็ไม่เชื่อว่าหลินอิ่งเป็นคุณชายตระกูลใหญ่ในตี้จิง

อีกอย่าง

จางฉีโม่ ก็ไม่กล้าไปพูดถึงว่าหลินอิ่งเก่งแค่ไหน มีความสามารถแค่ไหน

เพราะว่า หลินอิ่งไม่ได้มีเธอจางฉีโม่คนนี้อยู่ในใจของเขาแล้ว

ศักดิ์ศรีของเธอไม่อนุญาตให้เธอไปช่วยหลินอิ่งพูดอะไรอิ่ง

ยกเว้นหลินอิ่งมายอมรับผิดต่อหน้าเธอ

ไม่อย่างนั้น เธอไม่อภัยให้เด็ดขาด

ไม่ ไม่อภัยเด็ดขาด

สิ่งที่หลินอิ่งทำ เกินขีดจำกัดของเธอแล้ว

มีหนึ่งครั้ง ก็ต้องมีครั้งที่สอง

อีกอย่าง บางทีหลินอิ่งอาจจะคิดว่า ผู้หญิงในเมืองเล็กๆอย่างเมืองชิงหยูนอย่างเธอ ไม่คู่ควรกับเขา?

จางฉีโม่ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว คีบกับข้าวไป ไม่ได้ฟังคำพูดของจางหย่าฮุ่ยเข้าไปแม้แต่น้อย

“ลูก ลูกอย่ามัวแต่เหม่อลอยเลย หลายวันนี้มา ลูกก็เหมือนมีความในใจ ไม่รู้คิดอะไรอยู่ แม่ทนดูต่อไปไม่ได้แล้ว” ลู่หย่าฮุ่ยพูดเสียงเรียบ ดูท่าทางกังวลของลูกสาว ในใจก็รู้สึกไม่สบายใจ

“ฉีโม่ ลูกก็เป็นนักธุรกิจมีชื่อเสียงในเมืองตุงไห่แล้วนะ พ่อไม่อยากพูดถึงเรื่องพวกนี้เลยนะ แต่ครั้งนี้ ไม่พูดไม่ได้แล้ว” จางซิ่วเฟิงสีหน้าเคร่งเครียด วางตะเกียบลง พูดอย่างเคร่งขรึม “พ่อรู้ว่าหนูยังอารมณ์ไม่ดีเพราะเรื่องของหลินอิ่ง”

“แต่ว่า พ่ออยากบอกลูกว่า เรื่องที่หลินอิ่งทำมา เลือกมาแค่หนึ่งเรื่อง นั่นก็เป็นเรื่องที่เหยียดหยามตระกูลเราทั้งนั้น พฤติกรรมของเขาทั้งหมดในเมืองก่าง ไม่มีลูกอยู่ในสายตาแม้แต่น้อยเลย”

จ้างซิ่วเฟิงพูดอย่างเชื่องช้า “ก่อนอื่น หลินอิ่งรังแกน้องสาวเธอลู่จิ้งที่เมืองก่าง ยังไม่มั่วกับผู้หญิงคนอื่นต่อหน้าลู่จิ้ง? นี่ต้องอวดดีแค่ไหน? ถึงทำเรื่องแบบนี้ได้?”

“โทรหามัน มันยังไม่ยอมรับอีก ปรากฏว่ายังไง ถูกคนอื่นเขาถ่ายรูปมันนอกใจที่เมืองก่าง ให้ผู้หญิงแซ่จ้าวนั่นถ่ายรูปส่งมาถึงบ้านเรา เรื่องขายหน้าขนาดนี้ เหยียบหน้าของลูกจมอยู่กับดินแล้ว”​

จ้างซิ่วเฟิงพูดอย่างโมโห “หลินอิ่งมันมาอาศัยครอบครัวเราสองปีแล้ว ไม่ได้ทำเรื่องดีอะไร ลูกให้มันเกาะลูกกินมาตลอด กินข้าวบ้านเรา พ่อก็ทนแล้ว”

“แต่ตอนนี้ หลินอิ่งมันสร้างปัญหามากมายขนาดนี้?”

“ผู้หญิงแซ่จ้าวจากตี้จิงคนนั้น มาบ้านเราครั้งที่แล้ว ทำตัวอวดดีขนาดไหน ยังตบแม่ของลูก” จางซิ่วเฟิงพูดอย่างเคร่งขรึม “ครั้งนี้ จ้าวหลินเอ๋อร์คนนั้น ยังใช้อำนาจความสัมพันธ์ มากดดันบริษัทของลูกอย่างบ้าคลั่ง ทำจนบริษัทจะล้มละลายแล้ว”

“ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นปัญหาที่ได้สัตว์หลินอิ่งนั่นทำขึ้นมา”

“พ่อทนหลินอิ่งมันไม่ไหวแล้ว ต้องไล่มันออกไป มันก็แค่สัตว์เดรัจฉานคนหนึ่ง”

จางซิ่วเฟิงท่าทางโมโห พูดอย่างเย็นชา

ครั้งนี้ บริษัทเครื่องประดับของลูกสาว ถูกทางการกดดัน มีหน่วยงานสำนักงานอุตสาหกรรมและพาณิชย์มาหาเรื่องทุกวัน มาตรวจสอบ

และการปิดกันจากสมาคมเครื่องประดับ ทำให้ธุรกิจดำเนินยาก ชื่อเสียงบริษัทก็ตกต่ำลงอย่ารวดเร็ว

สถานการณ์ย่ำแย่ถึงสุดขีด บริษัทเครื่องประดับอาจจะล้มละลายได้ตลอดเวลา

และเรื่องทั้งหมดนี้ จ้าวหลินเอ๋อร์เป็นคนทำ ผู้หญิงคนนั้นอวดดีถึงขั้นประกาศในเมืองชิงหยูนว่าจะทำให้จางฉีโม่ล้มละลาย

จ้าวหลินเอ๋อร์ ก็คือผู้หญิงที่หลินอิ่งไปมั่วสุมอยู่ข้างนอก ทำให้ที่บ้านไม่วุ่นวายอยู่ไม่สุข

ส่วนตัวหลินอิ่งเอง กลับดึงตัวอยู่ข้างนอก กินเหล้าเที่ยวผู้หญิงอยู่ข้างนอก นี่ไม่ใช่สัตว์แล้วคืออะไร?

“พอแล้ว พ่อแม่ เลิกพูดได้แล้ว รอหลินอิ่งกลับมา ดูว่าเขาจะพูดยังไง ถ้าหากไม่กลับมา ก็ช่างเขา” จางฉีโม่ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว พูดอย่างหมดหวัง “สำหรับเรื่องของคุณชายตระกูลจ้าว ไม่มีอะไรต้องพูด”

“ก็ได้ เพราะว่าลูกตกลงจะหย่าแล้ว แบบนี้ก็ดี อย่างน้อยก็ให้ลูกได้เห็นสัญชาตญาณที่แท้จริงของหลินอิ่ง” ลู่หย่าฮุ่ยพูด เห็นลูกสาวสิ้นหวังในตัวหลินอิ่งแล้ว ก็รู้สึกดีใจ

ถ้าไม่ใช่เพราะตัวซวยอย่างหลินอิ่ง ด้วยความสามารถของลูกสาวแล้ว พวกเขาคงเจริญก้าวไกลไปถึงไหนต่อไหนแล้ว

ถ้าตามหลักฮวงจุ้ยแล้ว หลินอิ่งแต่งงานมาอาศัยบ้านพวกเขา ก็คือการทำลายโชคลาภของบ้านพวกเขา

ก๊อกก๊อก

เวลาเดียวกัน มีเสียงเคาะประตูดังจากข้างนอก

หลังจากเสียงกึกกักจากการเคาะตี

ประตูถูกคนใช้กุญแจเปิดออก

“ผมเป็นผู้จัดการของเสว่หลงกรุ๊ป คุณฉีโม่ คฤหาสน์ของครอบครัวคุณ เกิดปัญหาขัดแย้งทางทรัพย์สิน ตอนนี้ผมเป็นตัวแทนของเสว่หลงกรุ๊ป มาเก็บคืนคฤหาสน์หลังนี้”

ชายเสื้อสูทคนหนึ่งเดินเข้ามา ในมือถือกระเป๋าทำงานใบหนึ่ง พูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

ด้านหลังของเขา เป็นสาวสวยในชุดกระโปรงยาวสีเขียวคนหนึ่ง มีบอดี้การ์ดหญิงติดตามสองคน

คือจ้าวหลินเอ๋อร์

“จ้าว จ้าวหลินเอ๋อ เธอมาทำไม?”

ลู่หย่าฮุ่ยมองหน้าจ้าวหลินเอ๋อร์ สีหน้าทั้งตกใจและโมโห

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท