ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 442 สร้างความวุ่นวายระบบการเงิน?

บทที่ 442 สร้างความวุ่นวายระบบการเงิน?

อาคารสำนักงานใหญ่ สมาคมธุรกิจเมืองก่าง

หน้าอาคารจอดรถสีดำเรียงกันเป็นคันๆเต็มไปหมด ข้างรถมีผู้ชายเสื้อลำลองสีหน้าเคร่งขรึมยืนอยู่ ใช้ฝูงชนยืนกั้นเป็นวงล้อม

รถเบนท์ลี่ย์สีดำคันหนึ่งขับผ่านเส้นวงล้อม ชายต่างชาติร่างสูงคนหนึ่งเดินลงมา เปิดประตูรถอย่างถนัด

ชายหนุ่มเสื้อเชิ้ตสีขาวลงจากรถด้วยสีหน้าเย็นชา เดินผ่านฝูงชน เข้าไปในอาคารสำนักงานใหญ่

ภายในอาคารสำนักงานใหญ่ หน้าประตูแผนกต้อนรับ มีชายสวมชุดลำลองยืนเรียงกันอยู่สิบกว่าคน และเจ้าหน้าที่ธุรการใส่แว่นอีกหลายคน

ภายในแผนกต้อนรับ ฉู่สงซานนั่งอยู่บนที่นั่งอย่างสง่าผ่าเผย สีหน้าเคร่งเครียด มีบอดี้การ์ดติดตามอยู่สองนาย

ตรงหน้าเขามีชายวัยกลางคนสองคน สีหน้าเคร่งขรึม

“ประธานฉู่ ประธานหลินของพวกคุณยังไม่มาอีกหรือ? จะบังคับให้ผมใช้อำนาจออกหมายเรียกใช่ไหม?” ชายวัยกลางคนใบหน้าหยาบกระด้างพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม

“ต้องรู้ว่า ตอนนี้ผมทิ้งตำแหน่งหน้าที่ มาเจรจากับเขาในนามส่วนตัวเท่านั้น”

“ถ้าหากให้ผมใช้นามของกองพิเศษหวู่อันมา เกรงว่าเขาควบคุมสถานการณ์ได้ยาก”

ฉู่สงซานขมวดคิ้วแน่น พูดว่า “หัวหน้ากองพิเศษเฉา ประธานอยู่ระหว่างทางมาแล้ว คุณอดใจรออีกนิดนะครับ”

ชายวัยกลางคนสองคนตรงหน้า คนหนึ่งคือหัวหน้าเฉาแห่งกองพิเศษหวู่อัน อีกคนคือหัวหน้าหลัวแห่งกรมพาณิชย์

ถึงแม้ฉู่สงซานจะรู้สึกเอือมระอา แต่ก็ต้องไว้หน้าพวกเขา

“พวกเรารออีกแค่สามนาที” หัวหน้ากรมหลัวพูดด้วยเสียงเย็นชา แล้วมองเวลาบนนาฬิกา “ถึงเวลา ถ้าหลินอิ่งยังไม่มา พวกเราก็จะปิดล้อมสำนักงานใหญ่สมาคมธุรกิจ ทำการตรวจค้นหาหลักฐาน”

“พอถึงตอนนั้น ประธานฉู่ คุณก็จำเป็นต้องให้ความร่วมมือกับพวกเรา ส่งมอบเอกสารข้อมูลลับทางธุรการทั้งหมดให้พวกเรา” หัวหน้ากรมหลัวพูด

ฉู่สงซานสายตาสั่นไหว จ้องหัวหน้ากรมหลัวแววตาเย็นชา บนใบหน้าเริ่มมีอาการโมโห

ตอนนี้สำนักงานใหญ่สมาคมธุรกิจเมืองก่างอยู่ในการควบคุมของเขากับหลินอิ่งทั้งหมดแล้ว

เอกสารธุรการที่เก็บไว้ในอาคารสำนักงานใหญ่ ล้วนก้าวก่ายถึงความลับทางการค้ามากมาย จะให้ไปอยู่ในมือคนอื่นง่ายๆได้ยังไง?

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่า เบื้องหลังของหัวหน้ากรมหลัวและหัวหน้ากองพิเศษเฉานั้น อาจจะเป็นจี้ฉงซานก็ได้

จะให้สองคนนี้บุกเข้าไป เขาก็ไม่มีหน้าไปร่วมงานกับหลินอิ่ง และยังร่วมกันแบ่งปันธุรกิจในเมืองก่างอีกแล้ว

“ทั้งสองทำงานรีบร้อนหละหลวมเกินไปหรือเปล่า? สำนักงานใหญ่สมาคมธุรกิจนั้นเกี่ยวพันถึงธุรกิจทั้งเมืองก่าง สถานการณ์การพัฒนาการเปลี่ยนแปลงของตลาดการเงิน พวกคุณจะเข้ามาตรวจข้นเอกสารลับได้ง่ายๆแบบนี้?” ฉู่สงซานพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา

หัวหน้ากรมหลัวพูดอย่างเชื่องช้า “ประธานฉู่ ไม่ใช่พวกเราไม่ไว้หน้าคุณ แต่ว่าประธานหลินของคุณ หลินอิ่ง สร้างความวุ่นวายในระบบการเงินของเมืองก่าง ทำให้เกิดความปั่นป่วนในตลาด”

“ไม่ใช่ว่าผมอยากจะจ่อจงกับประธานหลินของพวกคุณ แต่ผมได้รับการร้องเรียนจากคนอื่น ถึงได้มาตรวจสอบ อีกอย่าง ประธานหลินของพวกคุณ ทำพฤติกรรมผิดกฎหมายหลายอย่าง”

“ในมือผมกำหลักฐานไว้บางส่วน สามารถยืนยันได้ว่าหลินอิ่งทำการลงทุนผิดกฎหมายในเมืองก่าง ทำการผูกขาดทางการค้า ตามกฎหมายพาณิชย์แล้ว สามารถทำการเอาผิดเขาได้ ให้เขาชดใช้ค่าปรับจนล้มละลายได้แน่นอน”

หัวหน้ากรมหลัวพูดอย่างเฉื่อยชาไม่ใส่ใจ หัวหน้ากองพิเศษเฉาก็รีบพูดหาเรื่องด้วย “ใช่แล้ว พวกเราก็แค่กังวลผลกระทบที่ไม่ดี ถึงได้เข้ามาตรวจสอบด้วยตัวเอง ผมขอพูดอย่างไม่เกรงใจหน่อยนะ ถ้าจะให้พวกเราเอาจริงขึ้นมา ตอนนี้ก็สามารถตรวจยึดบริษัททั้งหมดในเมืองก่างของประธานหลิน และตรวจยึดทรัพย์สินทั้งหมดของเขาได้”

ทั้งสอง คนนี้คำคนนั้นคำ ใช้ถ้อยคำที่แข็งแกร่ง

ฉู่สงซานสีหน้าเคร่งเครียด ก่อนหลินอิ่งมา เขาจะตัดสินใจอะไรเองไม่ได้ เพราะว่าหลินอิ่งเป็นนายทุนใหญ่ในการร่วมมือครั้งนี้

“ใช่เหรอ? มีคนร้องเรียนผม? ใคร?”

เวลาเดียวกัน นอกแผนกต้อนรับมีเสียงชายหนุ่มอันเย็นชาดังขึ้น

หลินอิ่งเดินเข้ามาพร้อมฮาเดสและคริส

เขามองหน้าหัวหน้ากรมหลัวและหัวหน้ากองพิเศษเฉา

“คนร้องเรียนคือจี้ฉงซานเหรอ? เขาส่งคุณสองคนมา?”

หลินอิ่งดึงเก้าอี้ออกแล้วนั่งลงอย่างสง่า มองไปที่ทั้งสองคนและพูดอย่างเชื่องช้า

“คุณก็คือหลินอิ่ง?” หัวหน้ากองพิเศษเฉาสังเกตมองหลินอิ่งอย่างดี หรี่ตาลงเล็กน้อย

“พร่ำเพ้อ” หัวหน้ากรมหลัวสีหน้าโมโหเล็กน้อย พูดย้อนทันที “พวกเราทำงานทำไมต้องฟังคำสั่งจี้ฉงซาน? สรุปแล้วก็คือ มีประชาชนมากมายที่ร้องเรียนคุณ”

“ถ้าอย่างนั้นก็เอาหลักฐานออกมา ผมมาเมืองก่าง ธุรกิจทั้งหมดดำเนินการอย่างถูกกฎหมาย ไม่ทราบว่าพวกคุณได้รับผลสรุปมาจากไหน ว่าผมสร้างความวุ่นวายในระบบการเงิน?” หลินอิ่งพูดเสียงเย็นชา

หัวหน้ากรมหลัวแห่งกรมพาณิชย์อะไรนั้น ก็เป็นแค่ข้าราชการนั่งตำแหน่งไร้ผลงานไปวันๆเท่านั้น

จี้ฉงซานเฟื่องฟูในเมืองก่างมานานปีขนาดนี้ หาเงินจากการเก็งกำไรซื้อขายที่ดิน ทำการผูกขาดตลาดอย่างโจ่งแจ้ง เขาไม่ไปตรวจ

เขาแค่รับซื้อบริษัทที่เมืองก่างเพียงไม่กี่บริษัทโดยเงินสดทองแท้ ก็กลายเป็นทำลายระบบการเงินแล้ว?

คิดว่าเขาเป็นคนรังแกง่ายอย่างนั้นเหรอ?

“หลินอิ่ง คุณช่วยทำตัวดีๆหน่อย ตอนนี้ผมกำลังถามคำถามคุณอยู่” หัวหน้ากรมหลัวพูดด้วยสีหน้าโมโห “คุณอย่าคิดว่าทำอะไรคุณไม่ได้ คุณทำธุรกิจในเมืองก่าง ก็ต้องรักษาระเบียบของเมืองก่าง”

“คุณใช้อำนาจยึดบริษัทลาตินในเมืองก่าง และจงใจปั่นหุ้น สร้างความวุ่นวายในตลาดหุ้น” หัวหน้ากรมหลัวพูดเสียงเย็นชา “เรื่องพวกนี้ผมมีหลักฐานหมด”

“ถ้าอย่างนั้นคุณก็เรียกคนของลาตินกรุ๊ปมาสอบได้ ถามพวกเขาว่ามีปัญหาอะไรไหม” หลินอิ่งพูดอย่างเชื่องช้า รับน้ำชามาจากมือคริส ค่อยๆดื่มไปคำหนึ่ง “สำหรับเรื่องตลาดหุ้นเมืองก่าง คุณแน่ใจหรือว่าตลาดหุ้นปั่นป่วน? แต่ไม่ใช่จี้ฉงซานควบคุมให้ตลาดหุ้นปั่นป่วน เพราะฉะนั้นทำให้พวกคุณอยู่ไม่สุขแล้ว?”

“คุณ!” หัวหน้ากรมหลัวสีหน้าโมโห ถูกหลินอิ่งถามกลับจนโมโห

ตอนแรกเขาจะมาข่มขู่หลินอิ่ง ปรากฏกลับกลายเป็นว่าถูกหลินอิ่งถามจนพูดอะไรไม่ออก

“คุณหลิน คุณอย่าอวดดีเกินไป” หัวหน้ากองพิเศษเฉาจ้องหน้าหลินอิ่งพูด “พฤติกรรมของคุณในวงการธุรกิจ สักวันกรมพาณิชย์ต้องชำระบัญชีอย่างชัดเจนแน่นอน ตอนนี้ ผมจะมาบอกคุณถึงปัญหาที่ใหญ่หลวงข้อหนึ่ง”

“ทำไมสมาคมธุรกิจเมืองถึงต้องล้มตำแหน่งหัวหน้าสมาคมของคุณท่านจี้กะทันหัน รบกวนคุณอธิบายมาอย่างละเอียด”

“ในเรื่องนี้เพราะคุณกักขังหน่วงเหนี่ยวผิดกฎหมาย และเอาเรื่องความปลอดภัยของสมาชิกสมาคมธุรกิจมาข่มขู่ใช่ไหม?”

“ผมได้รับการร้องเรียน บอกว่าคุณกักขังหน่วงเหนี่ยวผิดกฎหมายต่อสมาชิกสมาคมธุรกิจ ตั้งหลายวันแล้ว ที่ไม่พบเห็นสมาชิกของสมาคมในเมืองก่าง”

“ผมจะบอกคุณว่า เมืองก่างเป็นสถานที่ให้ความสำคัญกับกฎหมาย ไม่ใช่สถานที่ที่คุณจะทำอะไรตามใจชอบ” หัวหน้ากองพิเศษเฉาพูดก้าวร้าว จ้องหลินอิ่งสายตาเย็นชา

หลินอิ่งวางแก้วน้ำชา ส่ายหัวยิ้มแล้วพูดว่า “ทำไม? ตำแหน่งหัวหน้าสมาคมธุรกิจเมืองก่าง มีเพียงจี้ฉงซานคนเดียวที่นั่งได้เหรอ? คนอื่นนั่งไม่ได้?”

“ผมก็เป็นคนให้ความสำคัญกับกฎหมาย” หลินอิ่งพูด “พวกคุณพูดปากเปล่าไร้หลักฐาน ก็อย่ามาพูดจาใส่ร้ายกันที่นี่”

“พวกคุณจำไว้ คำพูดและพฤติกรรมของพวกคุณทุกอย่าง นั้นหมายถึงกรมพาณิชย์และกองพิเศษหวู่อัน”

ได้ยินแล้ว หัวหน้ากองพิเศษเฉาสีหน้าโมโห พูดอย่างเย็นชา “ได้ งั้นผมจะเอาหลักฐานให้คุณ สมาชิกสมาคมธุรกิจถูกคุณขังไว้ในอาคารสำนักงานใหญ่ใช่ไหม? ตอนนี้ ผมจะตรวจค้นอาคาร ให้พวกเขาออกมาเป็นพยานกันซึ่งๆหน้า”

“ก็ได้ คุณเรียกสมาชิกสมาคมธุรกิจเป็นสอบได้” หลินอิ่งพูดอย่างเฉื่อยชา “ผมให้สมาชิกสมาคมทุกคนมาที่นี่ พวกเขาทุกคนอยู่ในอาคารสำนักงานใหญ่พอดี ไม่จำเป็นต้องให้พวกคุณตรวจค้น”

“เพียงแค่” หลินอิ่งมองหัวหน้ากองพิเศษเฉาด้วยสายตาเย็นชา “ถ้าหากว่า เรื่องราวไม่ได้เป็นอย่างที่คุณพูด คุณ จะให้คำอธิบายยังไงกับผม?”

หัวหน้ากองพิเศษเฉาสีหน้าเปลี่ยน รับรู้ถึงความเย็นเยือกที่ถาโถมเข้ามา ใจสั่นอย่างควบคุมไม่ได้

“ความจริงทุกอย่างผมต้องสอบให้ชัดเจนอยู่แล้ว ถ้าเป็นแค่เรื่องเข้าใจผิด ผมจะขอโทษคุณเอง” หัวหน้ากองพิเศษเฉาพูดอย่างจริงจัง “ถ้าหากผมตรวจสอบอะไรไม่ดีออกมา ถ้าอย่างนั้น หลินอิ่ง วันนี้คุณต้องตามผมไปที่กองพิเศษหวู่อันสักรอบ”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท