ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 443 ถามพวกเขาว่ากล้าออกจากที่นี่ไหม

บทที่ 443 ถามพวกเขาว่ากล้าออกจากที่นี่ไหม

“ใช่แล้ว หลินอิ่ง ผมกลัวว่าถึงเวลาเผชิญหน้ากับสมาชิกสมาคมธุรกิจแล้ว จะขุดคุ้ยเรื่องอื้อฉาวของคุณออกมาต่างหาก” หัวหน้ากรมหลัวพูดด้วยสีหน้าเย็นชา

ไม่ต้องคิดก็รู้ คนต่างถิ่นอย่างหลินอิ่งสามารถพลิกผันสถานการณ์ในสมาคมธุรกิจเมืองก่างในระยะเวลาสั้นๆ ทำให้สมาชิกสมาคมธุรกิจทั้งหมดหันมาสนับสนุนเขา ก็ต้องใช้วิธีที่สกปรกอย่างแน่นอน

นี่ก็คือหลักฐานอย่างหนึ่งของหลินอิ่ง

ทางเขาเพียงแค่ทำการกดดันเท่านั้น บวกกับเบื้องหลังมีคุณท่านจี้สนับสนุนอยู่ เหล่าสมาชิกสมาคมธุรกิจทุกคนก็ต้องหันกลับไปหักหลังหลินอิ่งแน่นอน

พอถึงเวลา ค่อยปล่อยข่าวนี้ออกไป ต่อให้หลินอิ่งอมพระมาพูดก็ไม่มีคนเชื่อแล้ว

หัวหน้ากรมหลัวคิดเองในใจ สายตาที่มองหลินอิ่ง ยิ่งอยู่ยิ่งคิดสนุกมากขึ้น

พวกเขามา เพราะได้รับคำสั่งจากอย่างกำชับจากคุณท่านจี้ ในแผนการก็คือต้องได้หลักฐานของหลินอิ่งมาให้ได้ ใช้สื่อในการย้อนกัดหลินอิ่ง

“เหอะ” หลินอิ่งหัวเราะส่ายหัวอย่างเย็นชา

“คริส คุณไปแจ้งสมาชิกสมาคมธุรกิจทุกคน ให้มาที่แผนกต้อนรับ มาทักทายพวกหัวหน้ากองพิเศษเฉากันหน่อย” หลินอิ่งพูดอย่างใจกว้างและใจเย็น

“ครับ” คริสพยักหน้าอย่างเคารพ จากนั้นก็หยิบมือถือออกมา กดเบอร์โทรออก

“รองหัวหน้าสมาคมหนี พวกคุณมาที่แผนกต้อนรับตอนนี้หน่อย มีหัวหน้าสองท่านจากกรมพาณิชย์กับกองพิเศษหวู่สอันมีคำถามต้องการถามพวกคุณ” คริสพูดอย่างจริงจัง

“ได้ พวกเราจะลงไปเดี๋ยวนี้” ในโทรศัพท์เป็นน้ำเสียงที่พูดอย่างเคารพ

มองดูเหตุการณ์นี้ หัวหน้ากรมหลัวและหัวหน้ากองพิเศษเฉามองหน้ากัน รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย

พวกเขาคิดไม่ถึง หลินอิ่งจะตอบตกลงให้สมาชิกสมาคมธุรกิจออกมาเผชิญหน้าสอบปากคำอย่างง่ายดายแบบนี้

หรือว่าหลินอิ่งจะไม่กลับพวกเขาเปลี่ยนใจแปรพักตร์?

แผนการเดิมของพวกเขา ถ้าหากหลินอิ่งปฏิเสธ ก็จะใช้ข้อหาการขัดขวางการปฏิบัติงานเจ้าหน้าที่ เพื่อบังคับปิดล้อมอาคารสำนักงานใหญ่ เพื่อจะได้แยกตัวสอบปากคำพวกเขาทุกคน เอาหลักฐานที่พวกเขาต้องการไปได้

หลินอิ่งมองเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของหัวหน้ากรมหลัวและหัวหน้ากองพิเศษเฉาทั้งสองคนอยู่ในสายตา มุมปากยิ้มขึ้นได้รูป

ความคิดของสองคนนี้ ทำไมเขาจะไม่รู้

เห็นได้ชัดว่าตั้งใจมาหาเรื่อง ฉวยโอกาสเอาเรื่องสมาคมธุรกิจมาขยายความ

แน่นอนว่าหลินอิ่งใช้วิธีรุนแรง ควบคุมสมาคมธุรกิจด้วยวิธีแข็งแกร่ง

แค่น่าเสียดาย พวกหัวหน้ากองพิเศษเฉาคิดไม่ถึง สมาชิกสมาคมธุรกิจเมืองก่างทุกคน ล้วนรับเงินของหลินอิ่งไปแล้ว

รับไปคนละหนึ่งร้อยล้าน อยู่เรือลำเดียวกันแล้วจะลงได้ยังไง?

ที่สำคัญ คนพวกนั้นฉีกหน้าจี้ฉงซานต่อหน้านักข่าวในงานแถลงข่าวกันหมดแล้ว

ต่อให้หลินอิ่งปล่อยเหล่าสมาชิกสมาคมธุรกิจเป็นอิสระ พวกเขาก็ไม่กล้าออกจากอาคารสำนักงานใหญ่

คนพวกนั้นก็กลัวว่า พอออกจากการปกป้องของหลินอิ่ง ก็อาจจะถูกคนของจี้ฉงซานตามฆ่า

เพราะฉะนั้น เป็นไปไม่ได้แล้วที่สมาคมธุรกิจเมืองก่าง จะยืนอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับหลินอิ่ง

ไม่นาน ชายหญิงวัยกลางคนบุคลิกไม่ธรรมดา แต่งกายหรูหราดูดีสิบกว่าคนก็เดินเข้ามาในแผนกต้อนรับ

คนทั้งกลุ่ม เข้านั่งในโต๊ะประชุมอย่างเชื่อฟัง

“ประธานหลิน พวกเรามาแล้ว ไม่ทราบว่าทางท่านมีสถานการณ์อะไรครับ? มีเรื่องอะไรต้องการให้พวกเราให้ความร่วมมือ?” รองหัวหน้าสมาคมโจ๋สีหน้ายิ้มแย้ม พูดกับหลินอิ่งอย่างเคารพ

“ประธานหลิน มีเรื่องอะไรโทรมาก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องรบกวนท่านมาด้วยตัวเอง” รองหัวหน้าสมาคมหนีก็พูดอย่างยิ้มแย้ม

หลินอิ่งพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ไม่ใช่ผมหาพวกคุณ หัวหน้ากองพิเศษสองท่านนี้หาพวกคุณ ทักทายพวกเขาหน่อย”

“หัวหน้ากองพิเศษเฉา คุณถามด้วยตัวเองเลย ถามให้ชัดเจน ว่าพวกเขากล้าออกจากอาคารสำนักงานใหญ่ไหม” หลินอิ่งถามหัวหน้ากองพิเศษเฉา

“หลินอิ่ง คำพูดของคุณหมายความว่ายังไง? นี่คุณกำลังข่มขู่เหล่าสมาชิกสมาคมต่อหน้าผมเหรอ? อะไรคือพวกเขาไม่กล้าออกจากที่นี่?” หัวหน้ากองพิเศษเฉาพูดอย่างเย็นชา

“หัวหน้ากองพิเศษเฉา ไม่ได้เจอกันนาน ผมขอให้คุณพูดกับประธานหลินเกรงใจหน่อย” รองหัวหน้าสมาคมโจ๋มองหัวหน้ากองพิเศษเฉาสีหน้าเคร่งขรึม

“เหตุผลที่พวกเราไม่กล้าออกจากอาคารสำนักใหญ่ ก็เพราะว่าพวกเราทุกคน ถูกจี้ฉงซานข่มขู่ พวกเรากลัวว่าออกจากประตูนี้ ก็จะถูกลอบฆ่า” หัวหน้าสมาคมโจ๋พูดอย่างจริงจัง

“เพราะฉะนั้น หัวหน้าโจ๋ พวกคุณกำลังใส่ร้ายประธานหลิน ประธานหลินเป็นคนปกป้องความปลอดภัยของพวกเรา ทำไมคำพูดที่ออกจากปากของคุณ ก็กลายเป็นข่มขู่กักขังหน่วงเหนี่ยวผิดกฎหมาย?” รองหัวหน้าสมาคมโจ๋มองหัวหน้ากองพิเศษเฉาด้วยสีหน้าไม่พอใจ

“หัวหน้ากองพิเศษเฉา คุณทำงานยังไงของคุณ? ไม่ทำความเข้าใจกับสถานการณ์ก่อน ก็ออกหมายเรียกไปเลื่อย? คุณคิดว่าพวกเรารังแกง่ายเหรอ?” รองหัวหน้าสมาคมหนีมองหัวหน้ากองพิเศษเฉาด้วยสีหน้าไม่พอใจ

“นี่มัน” หัวหน้ากองพิเศษเฉาสีหน้าเปลี่ยน คิดไม่ถึงว่าเรียกรองหัวหน้าสมาคมสองท่านมา พวกเขาจะพูดถ้อยคำแบบนี้ ล้วนเป็นคำพูดที่พูดเข้าข้างหลินอิ่ง

“ทุกท่าน พวกท่านถูกหลินอิ่งข่มขู่ใช่ไหม? มีอะไรอยู่ในกำมือหลินอิ่ง? ไม่เป็นไร ผมจะให้ความยุติธรรมกับพวกท่านเอง” หัวหน้ากรมหลัวพูดอย่างความเป็นธรรม

“มีอะไรก็พูดออกมาอย่างใจกล้าเลย มีพวกเราอยู่ ไม่ต้องกลัวว่าหลินอิ่งจะข่มขู่พวกท่านได้”

พูดไป หัวหน้ากรมหลัวก็หันไปมองหลินอิ่งสายตาเย็นชา สีหน้าไม่พอใจอย่างยิ่ง

“พวกคุณหัวหน้ากองพิเศษทั้งสองคน นี่จะทำอะไรกัน? อะไรคือประธานหลินข่มขู่พวกเรา? ผมบอกคุณแล้ว ว่าจี้ฉงซานข่มขู่พวกเรา ทำไมคุณไม่ไปหาจี้ฉงซานเพื่อสอบปากคำเขา?”

“ใช่ พวกคุณหัวหน้ากองพิเศษทั้งสองคนนี่ทำงานอะไรกันเนี่ย? หา? คุณคิดว่าพวกเราแต่ละคนอยู่ที่เมืองก่างนี่เป็นคนไร้ประโยชน์หรือไง? ไม่มีความคิดเป็นของตัวเอง?”

สมาชิกทุกคนที่นั่งในนี้ ต่างก็ถามทั้งสองคนด้วยสีหน้าโมโห

พวกเขาแต่ละคนอยู่ในเมืองก่างต่างมีครอบครัวมีกิจการเป็นของตัวเอง วันนี้รับข้อเสนอของหลินอิ่ง อยู่ในเมืองก่างต้องพึ่งพาการคุ้มครองจากหลินอิ่ง ถึงจะขวางอำนาจของจี้ฉงซานได้

ตอนนี้ คนของกองพิเศษหวู่อันกลับมาหาเรื่องที่นี่?

อย่าว่าหลินอิ่งไม่ยอมเลย พวกเขาเองก็ไม่ยอม

คราวนี้ หัวหน้ากองพิเศษเฉาทั้งสองคนถูกถามจนหน้าแดงก่ำ รู้สึกอับอายขายหน้า เวลาเดียวกันก็รู้สึกกดดันอย่างมาก

ไม่ว่ายังไง สมาชิกสมาคมธุรกิจในนี้ แต่ละคนอยู่ในเมืองก่างนั้น ล้วนเป็นอภิมหาเศรษฐีกันทั้งนั้น

ถ้าหากสร้างความขุ่นเครือกับพวกเขาทุกคนแล้ว ต่อไปพวกเขาสองคนอยู่ในเมืองก่างต้องมีปัญหาไม่น้อยแน่นอน

“หัวหน้ากองพิเศษเฉา คุณฟังชัดเจนแล้วหรือยัง?” หลินอิ่งพูดเสียงเรียบ “คนที่ข่มขู่พวกเขา คือจี้ฉงซาน ตอนนี้เป็นการร้องเรียนโดยเอ่ยนามแล้ว ทางที่ดีคุณควรไปสืบให้ชัดเจน”

“ทางสมาคมธุรกิจมีเรื่องต้องยุ่ง ผมไม่มีเวลาว่างมาไร้สาระกับพวกคุณที่นี่”

หัวหน้ากองพิเศษเฉากับหัวหน้ากรมหลัวใบหน้าแดงก่ำ สีหน้าไม่พอใจ

“ทำไมถึงเป็นแบบนี้……” หัวหน้ากองพิเศษเฉาบ่นพึมพำ

ก่อนมาพวกเขาคิดไม่ถึงเลย เหล่าอภิมหาเศรษฐีในสมาคมธุรกิจเมืองก่างทั้งหลาย จะถูกหลินปราบได้อย่างเชื่อฟังขนาดนี้

คราวนี้ก็กลายเป็นยกก้อนหินทุบขาตัวเองแล้ว จะแก้ตัวยังไง? กลับไปแล้วต้องพูดยังไงกับนายกเทศมนตรีถังกับคุณท่านจี้?

“หลินอิ่ง สถานการณ์ที่คุณอยู่ในเหตุการณ์แบบนี้ คำพูดของพวกเขา ไม่เป็นผลทั้งนั้น” หัวหน้ากองพิเศษเฉาแววตาแน่วแน่ พูดอย่างเย็นชา

“ตอนนี้ ผมจะให้พวกคุณทุกคนไปที่กองพิเศษหวู่อันกับผมรอบหนึ่ง ต้องแยกพวกคุณออกจากกันเพื่อถามคำถาม แบบนี้ถึงจะมั่นใจว่าทุกอย่างเป็นธรรม” หัวหน้ากองพิเศษเฉาพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “อีกอย่าง ผมจะปิดล้อมอาคารสำนักงานใหญ่ เพื่อทำการตรวจค้นหลักฐาน”

“ผมสงสัยว่าคุณทำกิจการผิดกฎหมายในอาคารสำนักงานใหญ่ การหายตัวไปของรองหัวหน้าสมาคมหลี่ ต้องเกี่ยวข้องกับคุณแน่นอน”

“ผมจะโทรผู้อำนวยการฝ่ายกฎหมายเดี๋ยวนี้ ให้ท่านนำหมายค้นมาทันที”

“หลินอิ่ง ขอให้คุณลุกขึ้นออกมา ให้ความร่วมมือกับการทำงานของผม”

หัวหน้ากองพิเศษเฉาพูดคำพูดเหล่านี้ท่าทางยโส มองหลินอิ่งสายตาเย็นชา แสดงท่าทางมั่นใจเต็มที่ ตัดสินใจใช้ไม้แข็ง

ได้ยินแล้ว หลินอิ่งมองไปที่หัวหน้ากองพิเศษเฉาด้วยสายตาเย็นเฉียบ

“วันนี้ ต่อให้ยกเทพบนสวรรค์มา คุณก็เอาใครไปไม่ได้สักคน”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท