ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 460 ในเมืองก่าง ทำตามระเบียบของผม

บทที่ 460 ในเมืองก่าง ทำตามระเบียบของผม

แน่นอน ตระกูลโครเมียร์กับตระกูลพอร์ตเล็ตเป็นศัตรูกัน ครั้งนี้อยากใช้โอกาสในเมืองก่าง ฉวยโอกาสเอาคืน

แต่ว่า ตระกูลโครเมียร์โลภเกินไป

อยากได้ทุกอย่างในเมืองก่างของตระกูลพอร์ตเล็ต ?

ต้องรู้ว่า ตระกูลพอร์ตเล็ตในเมืองก่างมีตัวแทนที่แข็งแกร่งคนหนึ่งอย่างจี้ฉงซาน

เห็นได้ว่า ตระกูลพอร์ตเล็ตในเมืองก่าง ความจริงแล้วมีอำนาจผลกระทบมากแค่ไหน

ส่วนตระกูลโครเมียร์ เข้ามาก็อยากเป็นตัวแทนของตระกูลพอร์ตเล็ตในเมืองก่าง?

“หลินที่รัก คุณวางใจ ตระกูลโครเมียร์ของเราจะให้ผลตอบแทนที่เท่าเทียมกัน” แอนนาพูดอย่างจริงจัง

หลินอิ่งมองไปที่แอนนา พูดว่า “เรียกฉันคุณหลิน หรือหลินอิ่ง”

“คุณหลิน ฉันรับรองว่า ตระกูลพอร์ตเล็ตไม่กล้าใช้อำนาจใดๆในการช่วยเหลือจี้ฉงซาน แบบนี้แล้ว คุณก็จะหมดสิ่งกีดขวางไปมากทีเดียว” แอนนาพูดอย่างเชื่องช้า “อีกอย่าง ไม่ต้องให้คุณช่วยลงมือ อำนาจที่หลงเหลืออยู่ของตระกูลพอร์ตเล็ต ตระกูลของเราจะไปจัดการเอง”

“คุณคิดว่า ผมจะกลัวตระกูลพอร์ตเล็ต?” หลินอิ่งมองไปที่แอนนา แล้วหัวเราะ

ตระกูลพอร์ตเล็ตยิ่งใหญ่

แต่ว่า ไม่มีอำนาจอะไร จะขัดขวางการตัดสินใจของหลินอิ่งได้

จี้ฉงซานต้องตาย

เทวดาบนสวรรค์มาก็ไม่มีประโยชน์

แอนนาก็หัวเราะ พูดว่า “คุณหลิน คุณคิดว่า ตระกูลพอร์ตเล็ตจะนั่งดูคุณล้มตำแหน่งถุงเงินถุงทองอันสำคัญของพวกเขาอย่างจี้ฉงซานเหรอ? คุณทำลายคณะกรรมการเถ่เสว่ตระกูลพอร์ตเล็ตในเมืองก่างแล้ว เกรงว่าพวกเขาจะใช้อำนาจมืดที่แข็งแกร่งกว่านี้ มาจัดการคุณ”

“อีกอย่าง อภิมหาเศรษฐีเมืองก่างจี้ฉงซาน ไพ่ในมือไม่ได้มีแค่ตระกูลพอร์ตเล็ต คุณมั่นใจขนาดนั้นเหรอ ว่าจะล้มเขาได้อย่างง่ายดาย?” แอนนาจับคางตัวเอง ถามอย่างสนใจ

หลินอิ่งนิ่งเฉย ยกแก้วน้ำชาขึ้นดื่ม

แอนนาพูด “ตระกูลของเราได้รับข้อมูลล่าสุด หลังจากคณะกรรมการเถ่เสว่หายไปจากเมืองก่าง ตระกูลพอร์ตเล็ตส่งยอดฝีมือที่เก่งกว่า เดินทางออกจากเวสต์แลนส์แล้ว ไม่กี่วันก็ถึงเมืองก่าง”

“ยอดฝีมือชุดนี้ เป็นศูนย์กลางอำนาจมืดของตระกูลพอร์ตเล็ต นักฆ่าที่แท้จริง”

“ฉันว่า จากความสามารถของคุณหลินแล้ว อาจจะไม่กลัว” แอนนาพูดเชื่องช้า “แต่ว่า มันก็จะนำความวุ่นวายมากมายมาให้คุณหลิน”

“ขอแค่คุณหลินพยักหน้า ฉันยินดีช่วยคุณกำจัดพวกแมลงกวนใจทั้งหมด”

หลินอิ่งเคาะโต๊ะเบาๆ คิดไปครู่หนึ่ง

คนของตระกูลพอร์ตเล็ต หลินอิ่งไม่ได้ใส่ใจ

แต่ว่ามดเยอะก็กัดช้างตายได้

ยิ่งไม่ต้องพูดถึง เขาเป็นคนกลัวความวุ่นวาย เรื่องวุ่นวายมากมายขนาดนี้ ไม่สามารถไปจัดการทีละเรื่องคนเดียว

“คุณหลิน คุณก็คิดสักว่าช่วยฉันได้ไหม?” แอนนากัดริมฝีปากพูด แววตาเป็นประกาย

“ขอแค่คุณยอมช่วยฉัน คุณจะให้ฉันทำอะไรก็ได้”

แอนนาท่าทางน่าสงสาร สายตาเว้าวอนจ้องมองหลินอิ่ง

หลินอิ่งยังคงสีหน้าเรียลเฉย ไม่ได้ชอบวิธีนี้

“ตระกูลโครเมียร์ของพวกคุณอยากได้ส่วนแบ่งจากมือผม ก็ไม่ใช่เป็นไปไม่ได้”

“จริงเหรอ?” แอนนาพูดด้วยสีหน้าดีใจ

เธอเป็นทายาทอันดับหนึ่งของตระกูลโครเมียร์

ครั้งนี้มาเมืองก่าง เป็นครั้งแรกที่ทำงานข้างนอกแทนตระกูลโครเมียร์

นี่ก็เป็นการทดสอบเธอภายในตระกูล ทดสอบความสามารถของทายาทผู้สืบทอด

ถ้าหากจัดการเรื่องนี้ได้อย่างเรียบร้อย สามารถยึดอำนาจที่เหลือของตระกูลพอร์ตเล็ต ถ้าเช่นนั้น เรื่องนี้สำหรับเธอแล้วก็คือผลงานชิ้นใหญ่ สามารถทำให้อำนาจของเธอภายในตระกูลโครเมียร์เติบโตขึ้น ชื่อเสียงก็จะสูงเกินกว่าทายาทคู่แข่งคนอื่นๆ

“ง่ายมาก” หลินอิ่งพูดเสียงเรียบ “ในเมืองก่าง ต้องทำตามระเบียบผม”

“ผมสามารถให้โอกาสคุณได้ ให้คุณไปจัดการเรื่องของตระกูลพอร์ตเล็ต”

“แต่ว่า คุณต้องจำไว้ ผมสามารถให้พื้นที่กับตระกูลโครเมียร์ได้ เวลาเดียวกันผมก็สามารถยึดทุกอย่างจากครอบครัวคุณในเมืองก่างได้เช่นกัน”

พูดแค่พอดี

หลินอิ่งปิดปากเงียบไม่พูด

“นี่…….” แอนนาแววตาลังเล เธอคิดไม่ถึงว่าหลินอิ่งเปิดปากก็พูดจาเด็ดขาดขนาดนี้

จากนี้ทุกเรื่องในเมืองก่าง ต้องฟังหลินอิ่ง?

เขามีความมั่นใจขนาดนี้ สามารถจัดการจี้ฉงซานได้อย่างง่ายดาย?

เขาไม่มีตระกูลพอร์ตเล็ตแล้วก็ตระกูลโครเมียร์อยู่ในสายตาเลย?

แอนนาคิดไปสักพัก มองไปที่หลินอิ่ง พูดอย่างจริงจัง “คุณหลิน ฉันตกลงกับข้อเสนอนี้ได้”

พูดตามตรง คนที่ร่วมงานกับตระกูลโครเมียร์ น้อยมากที่จะได้ครอบครองสิทธิ์ในการตัดสิน

แต่ว่า วิธีการของหลินอิ่ง มันไม่อนุญาตให้แอนนาปฏิเสธ

เพราะว่า ความยิ่งใหญ่ของผู้ชายคนนี้ เกินความคาดคิดของคนทั่วไปแล้ว

วิธีการของหลินอิ่ง ไม่มีทางยอมให้ตระกูลโครเมียร์อยู่เหนือเขาในเมืองก่างแน่นอน

หลินอิ่งพยักหน้าเล็กน้อย

“โอกาส มีไว้ให้คนที่เตรียมพร้อม”

“เรื่องของตระกูลพอร์ตเล็ต คุณไปจัดการให้ดี”

หลินอิ่งพูดประโยชน์นี้จนจบด้วยสีหน้าเรียบเฉย จากนั้นลุกขึ้น เดินจากไป

“คุณหลิน คุณ……” แอนนาสีหน้าผิดหวัง ยังอยากพูดอะไรอีก แต่หลินอิ่งก็จากไปอย่างไม่ลังเล

เธอเข้าหาเองขนาดนี้แล้ว ยังอยากมีความสัมพันธ์คลุมเครืออะไรกับเขาหน่อย

และอยากทำความเข้าใจกับผู้ชายลึกลับคนนี้อีก

แต่หลินอิ่งไม่ให้โอกาสเลย

ไม่ว่าเธอจะทำตัวยังไง หลินอิ่งก็ทำท่าเย็นชาตลอด

ดูเหมือน ความสวยที่เธอภูมิใจนั้น ต่อหน้าหลินอิ่งมันไม่ใช่อะไรทั้งนั้นเลย

นี่ทำให้แอนนารู้สึกไม่พอใจ

เพราะว่า เธอเป็นสาวงามที่มีชื่อเสียงในโลกตะวันตก แค่โบกมือ ก็ไม่รู้ว่ามีผู้ชายเท่าไหร่มาเข้าแถวตามจีบเธอ

แต่ว่า หลินอิ่งกลับไม่สนใจเธอเลยแม้แต่น้อย

“คุณชายโหม ท่านคิดว่า หลินอิ่งคนประเทศหลุงท่านนี้ เป็นคนยังไง?”

เมื่อหลินอิ่งจากไปแล้ว

แอนนาพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

ชายอาวุโสสวมเสื้อคลุมสีดำคนหนึ่ง ปรากฏตัวอยู่ในห้องนอน

ใบหน้าของผู้อาวุโสหน้าเฉียบคมเคร่งขรึม แววตาคมลึก ไร้อารมณ์ความรู้สึก

ดูแล้ว ก็เหมือนคนแก่ที่ใกล้ตายคนหนึ่ง

แต่ว่า ความโหดเหี้ยมในตัวเขา ทำให้รู้สึกหวาดกลัว เหมือนดั่งคนโหดที่เดินออกมาจากป่าช้า

“หลินอิ่ง ไม่ธรรมดา” ผู้อาวุโสขยับปากสีหน้าเรียบเฉย ใช้ภาษาประเทศหลุงได้อย่างชัดเจน พูดอย่างเคร่งเครียด

แอนนาสีหน้าสงสัย พูดว่า “คุณชายโหม คุณสังเกตนานขนาดนี้ สามารถดูความสามารถเขาออกไหม?”

“คุณแอนนา ผมไม่ได้สังเกตเขา เพราะว่า เขาเห็นผมแล้ว” คุณชายโหมน้ำเสียงแหบแห้ง “เขาเตือนผมแล้ว เพื่อความปลอดภัยของคุณแอนนา ผมไม่กล้าสังเกตเขาอีก”

“เขาเห็นคุณแล้ว? ตักเตือนแล้ว? เรื่องอะไรกัน คุณชายโหม?” แอนนาถามด้วยสีหน้าตกใจ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท