ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 459 ทิ้งหลักฐานไว้?

บทที่ 459 ทิ้งหลักฐานไว้?

“ตระกูลพอร์ตเล็ต?”

หลินอิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย มองหน้าแอนนา

ไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนี้คิดอะไรอยู่

ตระกูลพอร์ตเล็ต ตระกูลมหาอำนาจระดับหนึ่งในโลกมืดเวสต์แลนส์แห่งตะวันตก ตระกูลอันดับหนึ่ง ความสามารถแข็งแกร่ง

ถ้าให้พูดขึ้นมา เมื่อเทียบกับตระกูลโครเมียร์แล้วก็ไม่ได้ต่างอะไรกันมาก

ตระกูลโครเมียร์ในโลกมืดแห่งตะวันตก เป็นตระกูลอันดับหนึ่งแห่งเสาวรสเลนส์ สองตระกูลใหญ่ชื่อเสียงเท่าเทียมกัน

ฟังความหมายนี้แล้ว แอนนาจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของตระกูลพอร์ตเล็ต

“คุณรู้เรื่องอะไรบ้าง?” หลินอิ่งพูดเสียงเรียบ

พูดตามตรง สำหรับตระกูลพอร์ตเล็ตแล้ว หลินอิ่งก็ไม่ได้รู้เรื่องเป็นพิเศษ เมื่อก่อนไม่เคยไม่มาหาสู่

แต่ว่า ตระกูลพอร์ตเล็ตมีน้ำมีทะเลกั้นขวาง สามารถช่วยเหลือจี้ฉงซานให้ขึ้นมาถึงตำแหน่งในทุกวันนี้ได้ สามารถรับรองได้ถึงพื้นฐานตระกูลนี้แข็งแกร่งขนาดไหน

แอนนามุมปากยิ้มขึ้น มองหลินอิ่งด้วยรอยยิ้ม

“ฉันรู้เรื่องเยอะพอสมควร” แอนนาพูดอย่างยิ้มแย้ม “แต่ว่า ที่นี่ดูเหมือนจะไม่ใช่สถานที่คุยธุระ หลินที่รัก ถ้าคุณมีความสนใจ เราก็ขึ้นไปคุยกัน?”

หลินอิ่งมองหน้าแอนนาสีหน้าเรียบเฉย ดื่มน้ำชาไปคำหนึ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

ตามนั้น หลินอิ่งลุกขึ้น เดินเข้าไปในลิฟต์ส่วนตัวของอาคารไวโอเลตพร้อมแอนนา

ท่ามกลางสายตาของผู้คน ทุกคนต่างก็มองกันอย่างตะลึงตาค้าง

แอนนาสีหน้ายิ้มแย้ม จงใจเข้าใกล้หลินอิ่ง กอดแขนหลินอิ่งไว้ ดูเหมือนจะแนบตัวเข้าไปทั้งร่าง ทำให้ดึงดูดสายตาของผู้คนที่มองมาอย่างอิจฉา

เวลาเดียวกัน สายตาอันเย็นชา จ้องร่างของหลินอิ่งและแอนนาที่เดินจากไป

ในมุมหนึ่งในงานเลี้ยง ในตำแหน่งที่ไม่เด่นชัด บนโซฟาตัวหนึ่ง มีชายหนุ่มหน้าตาดีในชุดสูทสีขาวนั่งอยู่

ด้านหลังของชายหนุ่มเสื้อสูทสีขาว ยังชายสูงอายุในชุดคอจีนสีเหลืองคนหนึ่งยืนอยู่ และชายหนุ่มหน้าตาเคร่งขรึมคนหนึ่ง

ในมือถือไวน์แก้วหนึ่ง เขย่าไปมาอย่างใจเย็น มุมปากยิ้มขึ้นอย่างเย็นชา

“ไอ้หลินอิ่งนี่ ฉันยังนึกว่ามันเป็นคนรักจริง รักแค่เมียมันคนเดียว” จ้าวเฉิงเฉียนหัวเราะเย็นชา ส่ายหัว “เท่าที่ดูวันนี้ ก็เป็นแค่คนเจ้าชู้ ต่อหน้าน้องสาวฉันทำเป็นหวงตัวสูงส่ง ดูแล้ว หลินอิ่งนั่นก็ใช้วิธีอุบายมัดใจสาว สงสารน้องสาวฉัน หลงใหลอยู่ในแผนของไอ้เด็กนี่”

จ้าวเฉิงเฉียนหรี่ตาลงเล็กน้อย ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกเสียดายแทนน้องสาวจ้าวหลินเอ๋อร์ของตัวเอง

น้องสาวของตัวเองวิ่งไปครึ่งค่อนประเทศหลุง เพื่อหาตัวหลินอิ่งนี่ จนลดตัวไปหาถึงเมืองชิงหยูน ไปจัดการกับภรรยาหลินอิ่งสาวบ้านนอกจางฉีโม่

ส่วนไอ้หลินอิ่งนี่ กลับมีความสุขเจ้าชู้อยู่ที่เมืองก่าง เป็นคนโหดจริง ทำเอาน้องสาวคุณหนูผู้สูงส่งของเขาถูกเขาเล่นในกำมือ

จ้าวเฉิงเฉียนดื่มไวน์ไปคำหนึ่งด้วยความไม่พอใจ พูดว่า “เหล่าหม่า ภาพเมื่อกี้ ถ่ายไว้หรือยัง?”

“นายน้อย ถ่ายไว้แล้ว” หัวหน้าหม่าพูดอย่างสีหน้าเคร่งขรึม “เพียงแค่ นายน้อย พฤติกรรมของพวกเรา จะไม่ค่อยเหมาะกับฐานะไหม……”

“ท่านฐานะสูงส่ง เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ ไม่จำเป็นต้องให้ท่านมาทำเอง” หัวหน้าหม่าพูดสีหน้าจริงจัง รู้สึกว่าทำเรื่องติดตามคนอื่นแอบถ่ายรูปแบบนี้ เหมือนจะลดฐานะตัวเองไปหน่อย

ตอนแรกพวกเขาติดตามหลินอิ่ง เพราะอยากรู้สถานการณ์ทั้งหมดของหลินอิ่งในเมืองก่าง

แอบส่องในที่ลับ เพื่อรอโอกาส ไปยึดสิทธิ์สำนักสาขาเมืองก่างที่หรงหยังดูแลอยู่

เพราะว่า ทุกวันนี้หลินอิ่งเป็นที่พึ่งคนสำคัญของหรงหยังในเมืองก่าง

แต่ว่า หัวหน้าหม่าก็คิดไม่ถึง นายน้อยแม้แต่ชีวิตส่วนตัวของหลินอิ่งก็จะบันทึกไว้

“ส่งให้ลูกน้องไร้น้ำยาพวกนั้น จะจับตาหลินอิ่งได้ไหม? ไม่ให้เขารู้ตัว?” จ้าวเฉิงเฉียนพูดอย่างไม่พอใจ “ถ้าพวกคุณสามารถสู้กับหลินอิ่งได้หน่อย จำเป็นต้องให้ผมลงมือเองไหม?”

“ขอโทษ นายน้อย ผมไร้ความสามารถ”

เห็นจ้าวเฉิงเฉียนไม่พอใจ หัวหน้าหม่ากับเผยหวูหมิงรีบก้มหน้า

“เรื่องนี้ พวกคุณจะช้าไม่ได้ มันเกี่ยวกับเรื่องใหญ่ของชีวิตน้องสาวผม” จ้าวเฉิงเฉียนพูดเสียงเคร่งเครียด “หัวหน้าหม่า เดี๋ยวคุณส่งรูปภาพของโครเมียร์ แอนนากับหลินอิ่ง จัดการเก็บหลักฐานแล้วส่งให้จ้าวหลินเอ๋อร์ ให้เขาไปจัดการ ให้เขาไปสงบสติอารมณ์คิดดูเอง ว่าหลินอิ่งเป็นคนยังไง”

“ใช่” หัวหน้าหม่าพยักหน้า “แต่ว่า นายน้อย ขอโทษที่ผมปากมาก กับพฤติกรรมของหลินอิ่ง จะไปคู่ควรกับคุณหนูได้ยังไง?”

“หลินอิ่งถึงจะมีฝีมือรู้กังฟูหน่อย ชาติตระกูลก็ไม่ธรรมดา แต่ว่า คนคนนี้เห็นได้ชัดว่าเจ้าชู้มีผู้หญิงมากหน้าหลายตา อุบายเล่ห์กล ผู้หญิงอะไรก็ลงมือได้อย่างง่ายดาย แม้แต่โครเมียร์ แอนนาแห่งตระกูลโครเมียร์ทั้งคนยังยอมเขาได้ถึงขนาดนี้ ช่างทำให้ผมน่าทึ่งจริงๆ” หัวหน้าหม่าพูดอย่างสงสัย

“หลินอิ่งคนนี้ ไม่คู่ควรกับคุณหนูแม้แต่น้อย”

หัวหน้าหม่าถอนหายใจ ท่าทางเหมือนมองหลินอิ่งออกทุกอย่าง

จ้าวเฉิงเฉียนยิ่งฟัง สีหน้าก็ยิ่งไม่ดี ไม่อาจปิดปังแววตาอันโมโหนั้นได้

คิดดูตระกูลจ้าวเป็นตระกูลระดับไหน? จ้าวหลินเอ๋อร์เป็นคุณหนูผู้สูงส่งขนาดไหน?

แต่กลับถูกหลินอิ่งกำเล่นไว้ในกำมือ ขโมยหัวใจไป

หลินอิ่งนี่น่าโมโหจริงๆ

“ไอ้เด็กหลินอิ่งนั่น ดูท่าแล้วคงไปเสพสุขกับโครเมียร์ แอนนาแล้ว” จ้าวเฉิงเฉียนพูดเสียงเย็นชา “น่าสงสารน้องสาวผม ยังสู้รบกับภรรยาเขาอยู่ในเมืองชิงหยูน ตลกสิ้นดี”

“พูดตามตรง ผู้ชายคนหนึ่งเจ้าชู้ไม่ใช่ปัญหา มันทำให้ผู้หญิงอย่างโครเมียร์ แอนนายอมได้ขนาดนั้น ผมก็นับถือ แต่ว่า หลินอิ่งมันน่าโมโหก็น่าโมโห ต่อหน้าน้องสาวผมทำตัวเองสุภาพ ไม่สนใจ หันหัวก็ไปยุ่งวุ่นวายกับผู้หญิงข้างนอก หลอกน้องสาวซื่อของผมอย่างสนุก รอมีโอกาสเมื่อไหร่ ต้องจัดการหลินอิ่งด้วยตัวเอง มัดมันไว้ ให้มันไปขอโทษต่อหน้าน้องสาวผม” จ้าวเฉิงเฉียนพูดอย่างเย็นชา

“นายน้อย” หัวหน้าหม่าพูดอย่างจริงจัง “ถ้าท่านอยากจับตัวหลินอิ่ง เกรงว่าคงต้องเชิญเจ้าสำนักหยาง ส่งยอดฝีมือมาเมืองก่าง”

“มิฉะนั้น ลำพังพวกเราคงทำอะไรหลินอิ่งไม่ได้”

“มีอะไรก็พูดตามนั้น จากความสามารถการต่อสู้ ความคิดฝีมือ หลินอิ่งคนนี้ ชะล่าใจไม่ได้”

พูดถึงตรงนี้ จ้าวเฉิงเฉียนแววตาเย็นชา พูดว่า “เรื่องนี้ ผมจัดการเอง”

อีกด้านหนึ่ง

อาคารไวโอเลต ชั้นสามสิบสาม ภายในห้องหรูตกแต่งแบบตะวันตก

หลินอิ่งนั่งอยู่บนโซฟา ยกแก้วน้ำชาร้อนขึ้นจีบไปคำหนึ่ง

ตรงข้ามเขา บนหน้าแอนนาเป็นรอยยิ้มอย่างคิดสนุก ตาสวยจ้องอยู่ที่ตัวหลินอิ่ง ใส่กระโปรงสีขาวแต่ก็ไม่ห่วงกิริยา นั่งไขว้ขาโชว์ขาอ่อนอันขาวนวลของเธอ

หลินอิ่งสีหน้าเรียบเฉย พูดว่า “ตระกูลโครเมียร์ของพวกคุณ อยากอยู่ในเมืองก่าง ทำถึงขั้นไหน?”

“ความจริงก็ไม่ยาก ตระกูลของเราอยากแทนตำแหน่งทั้งหมดในเมืองก่างของตระกูลพอร์ตเล็ต” แอนนาพูด “ตระกูลของเราจะให้ความช่วยเหลือคุณในการล้มจี้ฉงซานอย่างเต็มที่ ส่วนความกดดันที่ทางตระกูลพอร์ตเล็ต ทางฉันสามารถช่วยคนขวางไว้ทั้งหมด”

“หลินที่รัก ฉันขอบอกคุณตามตรง ตระกูลพอร์ตเล็ตในตะวันตก เป็นศัตรูกับตระกูลของโครเมียร์ของเรา”

หลินอิ่งมุมปากยิ้มขึ้น พูดเสียงเรียบ “ของที่ตระกูลโครเมียร์ของพวกคุณอยากได้เยอะมากเลยนะ”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท