ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 457 กบในกะลาร้องไปเลื่อย

บทที่ 457 กบในกะลาร้องไปเลื่อย

“ฮาฮา พูดจาอวดดีไม่กลัวลมเข้าปาก ยังบอกคุณแอนนาเชิญแกมานั่ง? แกคิดว่าแกเป็นใคร?”

“คุณแอนนาเขาฐานะสูงส่งขนาดไหน คุณหนูของตระกูลโครเมียร์ มหาเศรษฐีเมืองก่างทั้งหลายที่มาอยากพบหน้าอย่างลำบากเลย แกกลับบอกว่าถูกคุณแอนนาเชิญมาด้วยตัวเอง?”

“น่าตลกสิ้นดี แกจะได้ชดใช้กับพฤติกรรมอันโง่เขลาของแก อ้างตัวว่าเป็นแขกวีไอพีของตระกูลโครเมียร์ ยังมาดึงดูดความสนใจที่นี่อีก รอคุณแอนนามาด้วยตัวเอง เปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริงของแก แล้วแกจะเสียใจ”

ตามจากหลินอิ่งพูดว่าถูกโครเมียร์ แอนนาเชิญมาด้วยตัวเอง ทุกคนในงานต่างก็หัวเราะอย่างดูถูก ใช้สายตาอันดูถูกมองไปที่หลินอิ่ง

มุมปากทุกคนต่างก็ยิ้มอย่างดูถูก เหยียดหยาม

คำพูดของหลินอิ่งตลกสิ้นดี

โครเมียร์ แอนนา เป็นถึงหลานสาวสุดที่รักของท่านเอิร์ล ในเมืองก่างจะมีกี่คนที่มีสิทธิ์ถูกเขาเชิญด้วยตัวเอง?

กับแค่หลินอิ่งคนนี้?

ความจริงในแวดวงสังคมเมืองก่าง ไม่เคยได้ยินคนใหญ่คนโตที่แซ่หลินเลย

ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ยังเป็นชายหนุ่มอายุยี่สิบต้นๆ จะไปมีความสามารถอะไร?

“หลินอิ่ง แกไม่รู้สึกอายกับพฤติกรรมของแกเหรอ? ยังกล้ามายโสอวดดี พูดโกหก บอกว่าเป็นแขกวีไอพีถูกคุณแอนนาเชิญมาด้วยตัวเอง?” ฮามาพูดด้วยสีหน้าดูถูก

หลินอิ่งส่ายหน้า มองหน้าคนพวกนี้ด้วยสีหน้าเรียบเฉย

“อย่าใช้มาตรฐานของพวกคุณมาวัดคนอื่น”

“พฤติกรรมของพวกคุณ ก็ไม่ต่างอะไรกับกบในกะลา”

พูดจบ หลินอิ่งไม่อธิบาย ดื่มน้ำชาของตัวเอง

แน่นอน คนที่โครเมียร์ แอนนาเชิญมา เป็นกลุ่มมหาเศรษฐีมีชื่อเสียงในเมืองก่าง

ในแวดวงพวกนี้ เขาไม่เคยไปมาหาสู่ ไม่มีคนรู้จักตัวเอง

เพียงแค่ หลินอิ่งคิดไม่ถึง ผลกระทบของโครเมียร์ แอนนาจะใหญ่โตขนาดนี้ เธอแค่เชิญใครคนหนึ่งมานั่งในที่นั่งวีไอพีเท่านั้น ก็ดึงดูดสายตาผู้คนมากมายขนาดนี้

“ฉันไปแจ้งให้พนักงาน ไปเชิญคุณแอนนามา” ฮามาพูดเสียงเคร่งขรึม มองหลินอิ่งด้วยสายตาเย็นชา “วันนี้ ฉันต้องให้ไอ้ขยะไร้น้ำยาอย่างแก คุกเข่าขอโทษต่อหน้าพวกเราทุกคน แล้วไสหัวออกไปจากที่นี่”

“ฉันจะทำให้แกรู้ ไอ้ขยะแมลงน้อยต่ำต้อยอย่างแก จะมาทำให้คนฐานะสูงส่งอย่างพวกเราขุ่นเคืองไม่ได้” ฮามาพูดอย่างเย็นชา

เท่าที่พวกเขาดูแล้ว คนไร้ชื่อเสียงอย่างหลินอิ่งนั่งพูดจาอวดดีแบบนี้ ก็คือการดูถูกพวกเขา

ทุกเรื่อง ควรแยกแยะตำแหน่งฐานะถึงจะถูก

เขาเป็นถึงคุณชายอภิมหาเศรษฐีประเทศY ส่วนหลินอิ่งตรงหน้า อย่างมากก็เป็นแค่คนของตระกูลเล็กๆในเมืองก่าง มีสิทธิ์อะไรมาแข่งกับเขา?

พูดไป ฮามาก็โบกมือเรียกพนักงานในงานมา พูดจาสั่ง

“เธอ รีบโทรหาคุณแอนนาหน่อย บอกเขาว่า มีคนมาวุ่นวายในงาน” ฮามาพูดด้วยสีหน้ายโส “บอกคุณแอนนาว่า ฉันเป็นคนของตระกูลฮามาประเทศY”

“คุณฮามา ฉันจะรายงานคุณแอนนาเดี๋ยวนี้”

พนักงานคนหนึ่งพูดอย่างหนักแน่น หยิบมือถือออกมา กดเบอร์โทรออก

สามนาทีผ่านไป

แอนนาใส่ชุดราตรีกระโปรงยาวสีขาวอย่างสง่า ผมทองปลิวสลวย ดวงตาสดใสสวยงาม ดูเลิศหรูสง่า

เธอพาบอดี้การ์ดหญิงสองคน เดินเข้ามาอย่างสง่า มุมปากยิ้มขึ้นเล็กน้อย สายตาจ้องอยู่ที่หลินอิ่ง

“คนนี้ก็คือคุณแอนนาใช่ไหม? สวยกว่าคำร่ำลืออีก ไม่เสียชื่อที่เป็นสาวงามแห่งตะวันตก”

“คุณแอนนา สวัสดีครับ”

“คุณแอนนา พวกเรามาแสดงความยินดีกับพิธีเปิดบริษัทของท่านโดยเฉพาะเลย”

คนในงานต่างก็พากันเข้ามาประจบ พูดจาแสดงความยินดีกับแอนนา

โครเมียร์ แอนนา คนระดับนี้สำหรับพวกเขาแล้ว ก็เหมือนดั่งเทพเทวดา

ขอให้มีความสัมพันธ์กับตระกูลโครเมียร์สักนิด ได้รู้จักกบคุณแอนนาหน่อย จากนี้ไปอยู่ในเมืองก่าง ก็คือความเจริญก้าวหน้า ได้รับผลประโยชน์อย่างไม่จบไม่สิ้นแน่

แอนนาสำหรับคำพูดประจบประแจงพวกนี้ รักษารอยยิ้มบนหน้า สายตามองไปที่หลินอิ่ง

“คุณหลินที่รัก ทำไมคุณนั่งดื่มชาคนเดียว ไม่มีคนนั่งดื่มเหล้าเป็นเพื่อนคุณเหรอ?” แอนนาเดินไปหาหลินอิ่ง พูดด้วยแววตาสดใสเย้ายวน

“ทำไมคุณไม่เรียกฉันมาอยู่เป็นเพื่อนคุณ? นั่งคนเดียวน่าเบื่อไหม?”

แอนนารวบผม เอียงหน้ามองหลินอิ่ง น้ำเสียงคำพูดและสีหน้าอันคลุมเครือ

“อะไร”

“ฉันฟังไม่ผิดใช่ไหม? เมื่อกี้คุณแอนนาเรียกเขาว่าอะไร? ทำไมถึงกระตือรือร้นขนาดนี้?”

คนที่อยู่ในเหตุการณ์ ต่างก็ตกใจกับคำพูดของแอนนา

คุณแอนนาที่ฐานะสูงส่งขนาดนี้ เหมือนดั่งไข่มุกในกำมือของตระกูลโครเมียร์ กลับเรียกชายหนุ่มหลินอิ่งคนนั้นว่า หลินที่รัก?

นี่มันสถานการณ์อะไร?

ทันใดนั้น สายตาของคนในเหตุการณ์มองไปที่หลินอิ่ง ต่างก็เปลี่ยนไปบ้าง

มีความตะลึง แล้วก็ความอิจฉา

พวกเขาไม่รู้ หลินอิ่งมีความสามารถอะไร ถึงได้รับความชื่นชมจากคุณแอนนา

“นี่……คุณแอนนา ท่านรู้จักหลินอิ่งคนนี้?” สีหน้าของฮามาเปลี่ยนไปเล็กน้อย ถามอย่างระมัดระวัง

“คุณก็คือลูกชายของท่านฮามา?” แอนนามองฮามาด้วยสีหน้าเย็นชา “เมื่อกี้คุณเรียกฉันออกมา บอกว่ามีคนก่อความวุ่นวาย คงไม่ใช่คุณหลินหรอกนะ?”

“นี่…….”

เผชิญหน้ากับคำถามของแอนนา ฮามารู้สึกถึงความกดดันอย่างรุนแรง

หลินอิ่งกับคุณแอนนามีความสัมพันธ์สนิทสนมกันขนาดนี่?

สมควรตายจริงๆ ไอ้ไร้น้ำยาไม่มีชื่อเสียงอย่างหลินอิ่ง ไปรู้จักมีความสัมพันธ์กับคุณแอนนาได้ยังไง?

“ผม คุณแอนนา ผมไม่เคยเห็นหลินอิ่งนี่ แล้วเขาก็มีเรื่องกับน้องชายของคุณหลี่เหมิงเล่อ” ฮามาพูดเหงื่อท่วมหัว “ดังนั้น ผมคิดว่าเขามาก่อกวน คิดไม่ถึง ที่แท้หลิน คุณหลินเป็นคนสนิทสนมกับท่าน”

ฮามาพูดจาเริ่มพูดไม่รู้เรื่อง

จากท่าทางของแอนนา ไม่เพียงแค่รู้จักสนิทสนมกับหลินอิ่ง เรียกว่าที่รักแล้ว

นี่ นี่มันทำให้เขาเสียใจจนท้องไส้ปั่นป่วนไปหมดแล้ว

กับแค่ฐานะคุณชายมหาเศรษฐีประเทศYอย่างเขา ต่อหน้าโครเมียร์ แอนนา ขี้เล็บยังเทียบไม่ได้เลย

“ออ? มีเรื่องกัน?” แอนนามองฮามา “ใครหาเรื่องคุณหลิน ยืนออกมา มาขอโทษคุณหลิน”

“พวกคุณต้องรู้ว่า คุณหลินเป็นแขกพิเศษคนเดียวที่ฉันเชิญมา พวกคุณไม่เคารพเขา นั่นก็เท่ากับไม่เคารพตระกูลโครเมียร์ของพวกเรา” แอนนาพูดอย่างเย็นชา

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท