ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 473 ลูกสาวฉันไม่อยากเธอนาย

บทที่ 473 ลูกสาวฉันไม่อยากเธอนาย

“ลูก ลูกจะหนีปัญหาอีกไม่ได้นะ ผู้หญิงแซ่หลินคนนั้นวิ่งมาอวดดีถึงหน้าบ้านเราแล้ว” ลู่หย่าฮุ่ยวิ่งไปที่หน้าประตูห้องนอนจางฉีโม่ พูดอย่างไม่พอใจ

“คฤหาสน์ในวิลล่าหิมะมังกรจะถูกเอาคืนแล้ว หรือว่าครอบครัวเราต้องย้ายออกไปจริงเหรอ?” ลู่หย่าฮุ่พูดอย่างรีบร้อน “อีกอย่าง ผู้หญิงแซ่จ้าวคนนั้น ยังอยากบีบลูกถึงที่สุด จะทำให้บริษัทล้มละลาย ลูกจะไม่คิดหาวิธีแก้ปัญหาเลยเหรอ?”

ลู่หย่าฮุ่ยเห็นสภาพท้อแท้ของลูกสาว ในใจยิ่งรู้สึกไม่พอใจ อยากระบายความโกรธแค้นทุกอย่าง ลงในตัวของหลินอิ่ง

“ต้องโทษไอ้ไร้น้ำยาหลินอิ่งนั่นคนเดียว สร้างปัญหามากมาย น่าโมโหจริงๆ”

“แม่ เรื่องนี้โทษคนอื่นเขาไม่ได้ อีกอย่าง หนูหมดปัญญาที่จะแก้ไขแล้ว” จางฉีโม่ผลักประตูออก พูดอย่างสิ้นหวัง

เรื่องเกี่ยวกับธุรกิจแม้เธอไม่รู้เรื่องเลย ความเป็นจริง เธอเข้าใจดี

เธอสู้กับจ้าวหลินเอ๋อร์ไม่ได้เลย

ไม่ว่าคิดหาวิธีอะไรก็ทำไม่ได้ นอกจากหลินอิ่งออกมือช่วย

ที่พึ่งสำคัญของเธอก็คือหลินอิ่ง

แต่ว่า เธอไม่อยากรบกวนหลินอิ่งอีก อีกอย่าง หลินอิ่งก็อาจจะรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว

หลินอิ่งไม่สนใจ เธอจะไปพูดอะไรได้อีก

“ถ้าคฤหาสน์ถูกเก็บคืน แม่ พวกเราก็ย้ายกลับชุมชนเจียงฉือเถอะ” จางฉีโม่พูดอย่างจริงจัง “หนูมีเงินเก็บ ถึงบริษัทจะล้มละลาย ครอบครัวเราก็พอกินพอใช้ได้”​

“เรื่องอื่น หนูเหนื่อยแล้ว ไม่อยากจะยุ่งแล้ว”

“หา? ย้ายกลับชุมชนเจียงฉือ ลูก ทำไมลูกถึงมีความคิดแบบนี้? ขึ้นต้องขึ้นสู่ที่สูง น้ำไหลลงที่ต่ำ ลูกจะไปคิดยิ่งอยู่ยิ่งต่ำลงไปไม่ได้นะ” ลู่หย่าฮุ่ยฟังแล้วก็กระวนกระวาย รีบพูดกับลูกสาว

“นี่ก็ยังมีอีกหนึ่งวิธีไง? คุณชายตระกูลโจยินดีช่วยเหลือ ทำแบบนี้ไม่ได้นะลูก พรุ่งนี้แม่จะติดต่อกับตระกูลโจ ให้คุณชายโจเข้ามาคุยกันดีๆ” ลู่หย่าฮุ่ยพูดอย่างจริงจัง คิดไว้แล้วว่าจะทำยัง

เสพสุขตามลูกสาว พักในคฤหาสน์หลังใหญ่ กินดีอยู่ดี เดินไปถึงไหนก็มีแต่คนอย่างเข้าหา ประจบประแจง ชื่นชมว่าลูกสาวได้ดีแล้ว ชีวิตแบบนี้สุขสบายแค่ไหน

ใช้เธอกลับไปอยู่ในชุมชนต่ำต้อยอย่างเมื่อก่อน ไปใช้ชีวิตลำบากแบบนั้น ไม่ว่ายังไงก็ไม่มีวันยอม

“เห้อ” จางฉีโม่ถอนหายใจ ไม่พูดอะไรอีก กลับเข้าไปนอนพักผ่อนบนเตียง

“แบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด ต้องหาครอบครัวใหม่ให้ลูกสาวให้ได้ เพื่อโชคลาภที่ดี” ลู่หย่าฮุ่ยพูดอย่างจริงจัง ตัดสินใจในใจเรียบร้อยแล้ว

วันที่สอง

สนามบินนานาชาติชิงหยูน หลินอิ่งลงจากเครื่อง นั่งบนแท็กซี่ สีหน้าเรียบเฉย

เขาโทรศัพท์ออกไปหลายสาย แต่ก็ไม่มีคนรับสาย

อำนาจของเขาในเมืองตุงไห่ เหมือนกับขาดสายไปแล้ว ติดต่ออะไรไม่ได้เลย

ไม่รู้ว่าที่บ้านเกิดอะไรขึ้น ไม่มีข่าวแม้แต่น้อย

แม้แต่ลูกน้องบางส่วนของคริสในลาตินกรุ๊ปที่เมืองชิงหยูน ก็ติดต่อไม่ได้

ไม่นาน รถก็ขับมาถึงวิลล่าหิมะมังกร

หลินอิ่งเดินไปถึงหน้าประตูบ้านตัวเอง เป็นคฤหาสน์หลังที่อยู่ตรงกลาง

ติ้งติ้ง

หลินอิ่งหยิบกุญแจออกมา กลับพบว่า กุญแจหน้าประตูคฤหาสน์ถูกเปลี่ยนแล้ว กุญแจของเขาเปิดไม่ได้

“ไอ้โห หลินอิ่ง ไอ้เนรคุณ กลับมาแล้วเหรอ? ยังอยากเปิดประตูเหรอ? แกถูกครอบครัวเราไล่ออกจากบ้านแล้ว ฉันเปลี่ยนกุญแจโดยเฉพาะ ก็เพื่อป้องกันไม่ให้แกเข้ามา” ลู่หย่าฮุ่ยพูดอย่างเย็นชา แค่ได้ยินเสียง ก็เดินออกมาจากคฤหาสน์

หลินอิ่งสีหน้ายังคงเรียบเฉย พูดเสียงเรียบ “ฉีโม่อยู่ไหน?”

สำหรับพฤติกรรมของแม่ยายลู่หย่าฮุ่ยทั้งหมดทั้งปวง เขาเคยชินแล้ว

“แกยังมีหน้าถามถึงฉีโม่? คนไม่มีจิตใจอย่างแก ตอนที่บริษัทฉีโม่เจอปัญหา แกไปอยู่ที่ไหน? แกเสพสุขคนเดียวอยู่ที่เมืองก่าง? ดื่มเหล้านอก กอดสาวฝรั่ง ไม่รู้ว่าแกแซ่อะไรแล้ว”

ลู่หย่าฮุ่ยพูดจาเสียดสี สีหน้าไม่พอใจ แค่เห็นหลินอิ่ง ความโมโหก็ขึ้นมาทันที เกลียดจนคันปาก

สีหน้าหลินอิ่งยังคงเรียบเฉย สำหรับลู่หย่าฮุ่ยแล้วเขาพูดยังไงก็พูดไม่รู้เรื่อง ไม่มีอะไรจะพูด

“เรื่องบางอย่างมันไม่ใช่อย่างที่แม่เห็น ฉีโม่อยู่ที่ไหน?” หลินอิ่งพูด

เขาไม่รู้ว่าพวกลู่หย่าฮุ่ยเอาฟังอะไรมาจากไหน พูดเรื่องของเขาในเมืองก่างถึงขั้นนี้

“ฉีโม่อยู่ในบ้าน แต่ว่า ลูกสาวฉันไม่ยอมเจอหน้าแกแน่นอน” ลู่หย่าฮุ่ยพูด

“แกล้มเลิกความตั้งใจนี้ไปได้แล้ว อย่าคิดจะมาเกาะครอบครัวเรากินอีก แกรู้จักจ้าวหลินเอ๋อร์อะไรนั่นไม่ใช่เหรอ? ผู้หญิงคนนั้นมีเงินมีความสามารถ แกก็ไปเกาะเขากินเลย ดูว่าแกจะอยู่ได้นานแค่ไหน เดี๋ยวก็ถูกเขาถีบออกมา” ลู่หย่าฮุ่ยพูดจาเสียดสี

เวลาเดียวกัน จางซิ่วเฟิงก็ได้ยินเสียง แล้วเดินออกมาจากบ้าน จ้องหลินอิ่งอย่างโมโห

“แกยังกล้ากลับมาที่นี่อีก? หน้าไม่อายจริงๆ” จางซิ่วเฟิงพูดอย่างโมโห

“แกทำเรื่องเลวทรามแบบนั้นที่เมืองก่าง ฉันฟังลู่จิ้งพูดหมดแล้ว แกนี่มันไม่มียางอายจริงๆ” จางซิ่วเฟิงพูดอย่างเย็นชา โกรธจนหน้าแดง

“ตอนนี้แกจะกลับมาที่นี่อีกทำไม? อยากกลับมาหลอกลู่สาวฉันอีกเหรอ?”

หลินอิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย พูดว่า “เรื่องทั้งหมด ผมจะอธิบายให้ฉีโม่ให้เข้าใจเอง”

“พวกท่าน ยอมเชื่อคนนอก ก็ไม่ยอมเชื่อผม?”

“แกคู่ควรอะไรที่พวกเราจะไปเชื่อ? แกหลินอิ่งมันเป็นคนไร้น้ำยาแค่ไหน พวกเราจะไม่รู้เหรอ?” ลู่หย่าฮุ่ยพูดอย่างเย็นชา

“อีกอย่าง ถึงพวกเขาจะเชื่อแก หลักฐานรูปถ่ายก็มี แกเข้าไปในห้องนอนกับสาวผมทองคนหนึ่ง เขายังนั่งบนตักแก แกจะอธิบายยังไง? แกยังจะมาหลอกลูกสาวเราเหมือนกับคนโง่เหรอ?” จางซิ่วเฟิงถามอย่างโมโห

“สาวผมทอง?” แววตาหลินอิ่งค่อยๆเย็นชาลง

ดูแล้ว ที่เมืองก่าง มีคนคอยติดตามจับตาเขาตลอด แล้วรายงานมาที่เมืองชิงหยูน?

อีกอย่าง ยังเจาะจงไปเล่นงานบริษัทฉีโม่?

หลินอิ่งพอคิดออกแล้วว่าใครเป็นคนทำเรื่องพวกนี้

“ช่วยบอกฉีโม่ด้วยว่าผมกลับมาแล้ว ผมจะอธิบายทุกอย่างกับเขาเอง เรื่องของบริษัท ผมจะจัดการเอง” หลินอิ่งพูดอย่างจริงจัง จากนั้นก็หันหลังเดินจากไป

เขาต้องสืบทุกอย่างในเมืองชิงหยูนให้ชัดเจน ว่าใครเป็นคนทำ

“อย่างแกหรือจะจัดการเรื่องของบริษัทได้? เหอะเหอะ อย่างมาแกล้งแสดงตรงนี้เลย แกก็แค่มาหัวเราะเยาะครอบครัวเรา ยังมาแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง” ลู่หย่าฮุ่ยพูดด้วยสีหน้าดูถูก

ทั้งสองมองหลังหลินอิ่งที่จากไป ต่างทำเสียงเย็นชา รู้สึกไม่พอใจอย่างมาก

เวลานี้ ริมหน้าต่างห้องชั้นสองของคฤหาสน์

จางฉีโม่ยืนอยู่หลังผ้าม่าน มองดูภาพนี้

สีหน้าของเธอสับสน ตอนที่เห็นหลินอิ่งกลับมา ในใจรู้สึกตื่นเต้นเหมือนอยากวิ่งเข้าไปกอดหลินอิ่ง เล่าเรื่องที่ตัวเองเจอในช่วงนี้

แต่ว่า ก็ต้องทนไว้

เธอรู้สึกว่า ตัวเอง บางทีอาจจะไม่คู่ควรกับหลินอิ่ง

ไม่รู้ว่า หลินอิ่งยังชอบเธออยู่ไหม……

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท