ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 456 ตามกันเลียแข้งเลียขา?

บทที่ 456 ตามกันเลียแข้งเลียขา?

“ฮาฮาฮา พวกคุณพูดถูก ฉันเห็นด้วย”

ฮามามองคนในงานต่างก็ยืนอยู่ฝั่งตัวเอง ช่วยกันพูดจาเสียดสีหลินอิ่ง ก็หัวเราะกันฮาฮาขึ้นมา สีหน้าพอใจ

“ทั้งๆที่เป็นแค่ไข้ขยะไร้น้ำยาคนหนึ่งเท่านั้น ยังมาทำตัวเสแสร้งต่อหน้าพวกเราอีก?” ฮามาพูดจาหัวเราะเย็นชา สีหน้าเต็มไปด้วยความดูถูก “แกไม่เห็นเหรอ? คนที่มาร่วมงานพิธีเปิดงาน ไม่มีคนรู้จักแกเลย”

“นี่ยังไม่พอเพียงที่จะอธิบายเหรอ? แกมันก็แค่คนไร้ชื่อเสียงเท่านั้น?”

“หลินอิ่ง ทางที่ดีแกควรไปสืบดูหน่อย ว่าพวกเราเป็นคนอะไรกันบ้าง จากนั้น ค่อยมาพูดกับฉัน กลัวแค่ว่าถึงเวลาแล้วแกจะไม่กล้า” ฮามายิ้มอย่างได้ใจ

ฮามาสีหน้าได้ใจมาก รู้สึกว่าตัวเองก็คือพระเอกในงานพิธีเปิดงานนี้

ไอ้ไรน้ำยาที่ชื่อหลินอิ่งนั่น ยังมาหาเรื่องตัวเองอีก?

ไม่รู้จักดู ทุกคนที่มาร่วมงานต่างก็เป็นไฮโซมีหน้ามีตาในสังคม ต่างก็พูดเข้าข้างตัวเอง

ส่วนหลินอิ่ง ในงานไม่มีคนรู้จักเลย

เห็นได้ชัด ว่าหลินอิ่งเป็นแค่คนไร้ชื่อเสียงในแวดวงสังคมเมืองก่าง ไม่มีความสัมพันธ์ไม่มีคนรู้จัก

สามารถมาร่วมงานเลี้ยงพิธีเปิดบริษัทสาขาของโครเมียร์กรุ๊ป บางทีอาจจะแอบเข้ามาก็ได้

“คุณฮามา ไอ้หลินอิ่งอะไรนี่ ดูเหมือนจะไม่ยอมขอโทษท่านและเพื่อนของท่าน ต้องการให้ผมช่วยไหม? ผมจัดการให้คุณได้ทุกอย่าง รอหลินอิ่งออกจากอาคารไวโอเลต ผมจะไปจัดการเอาตัวมาให้ท่านเอง” ชายวัยกลางคนสีหน้าเจ้าเล่ห์ พูดกับฮามาอย่างเคารพ

“คุณฮามา ซุปเปอร์สตาร์หลี่ ไม่รบกวนสองท่านลงมือ ไอ้ขยะแบบนี้ เดี๋ยวผมจัดคนในสมาคมไปจัดการมันจนพิการเลย” มีชายร่างอวบอีกคนยิ้มอย่างเย็นชามองหลินอิ่ง

หลินอิ่งส่ายหัว มุมปากยิ้มขึ้นอย่างเย็นชา

เขาไม่เข้าใจจริงๆ คนพวกนี้แต่ละคนก็ไม่รู้จัก เข้ามาก็ไม่รู้จักแยกแยะผิดถูกช่วยฮามาพูดขึ้นทันที หวังอะไรกันเหรอ?

“พวกคุณชอบคุกเข่าเลียแข้งเลียขาพวกฝรั่งมากใช่ไหม? พวกคุณรู้เรื่องราวความเป็นมาแล้วเหรอ?” หลินอิ่งพูดอย่างเรียบเฉย มองไปที่คนพวกนั้นที่มามุงดู

“เรื่องราวเป็นมายังไงยังไม่รู้เรื่อง พวกคุณยังมาเอะอะเสียงดังที่นี่”

หลินอิ่งยกน้ำชาขึ้นมาดื่มอย่างใจเย็น จีบไปคำหนึ่ง

วางแก้วน้ำชาลง หลินอิ่งมองฮามา พูดอย่างเรียบเฉย “คุณไม่รู้จักผม นั่นก็หมายความว่า คุณกับผมมันคนละระดับกัน”

“คุณพูดมามากมายขนาดนี้ แต่ผมยังคงนั่งอยู่ในที่นั่งวีไอพีของตระกูลโครเมียร์”

“ผมกล้านั่งในที่นั่งวีไอพี คุณละ คุณกล้านั่งไหม?”

“ที่นั่งที่ผมนั่ง คุณไม่กล้านั่ง? นี่ยังไม่พอที่จะอธิบายอีกเหรอ ว่าคุณกับผมมันต่างกันแค่ไหน?”

พูดจบ หลินอิ่งก็ปิดปากเงียบ เทน้ำชาให้ตัวเอง หยิบตะเกียบขึ้นมาคีบอาหาร กินอย่างใจเย็น

“แก ไอ้ไร้น้ำยาประเทศหลุงแกอยากตายเหรอ” ฮามาพูดอย่างโมโห ถูกคำพูดของหลินอิ่งทำให้โมโห

“แกคอยดูละกัน ไอ้ไร้น้ำยา รอคนของตระกูลโครเมียร์มา ต้องโยนแกลงทะเลเลี้ยงฉลามแน่ แกก็อวดดีไปก่อนเถอะ” ฮามาโมโหหนัก เกลียดจนอยากเข้าไปต่อยหลินอิ่ง

คนไร้น้ำยาแบบนี้คนเดียว กล้ามาถามเขาว่ากล้านั่งที่นั่งวีไอพีไหม?

ช่างอวดดีเหลือเกิน

โกรธก็โกรธ ฮามาก็ไม่กล้านั่ง

เพราะว่า เขายังไม่มีสิทธิ์

ที่นั่งวีไอพีของตระกูลโครเมียร์ นั่นมีไว้ให้แขกพิเศษจริงๆ ต้องได้รับคำเชิญจากตระกูลเขา ถึงจะนั่งได้

ถ้าหากไม่รักษาระเบียบ ไปนั่งที่นั่งวีไอพีไปเลื่อย ก่อกวนระเบียบ

ถ้าอย่างนั้น สิ่งที่ต้องเผชิญก็คือความโมโหจากตระกูลโครเมียร์

ฮามารู้ตัว ถึงแม้พ่อของเขาจะเป็นอภิมหาเศรษฐีประเทศY ก็คุ้มหัวเขาไม่อยู่

ไปมีเรื่องกับหลินอิ่งเพราะความโมโหชั่วขณะ ไปนั่งบนที่นั่งวีไอพี สิ่งที่ต้องชดเชย ก็คงจะเป็นชีวิต

“ไม่กล้าใช่ไหม?” หลินอิ่งหัวเราะเย็นชา ส่ายหัว “ผมไม่เข้าใจจริงๆ”

“พวกคุณไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะนั่งเท่าเทียมกับผม เอาความกล้าจากไหนมา ปากมากที่นี่?”

“แก? แกพูดอะไร? แกนี่มันอวดดีจริงๆ”

“ไอ้เด็กแซ่หลินนั่น อวดดีจนขึ้นสวรรค์ไปแล้ว ไม่มีพวกเราทุกคนในสายตาเลย กล้าเหยียดหยามทุกคน”

“แม่งเอ้ย ถ้าไม่เห็นแก่อยู่ในงานเลี้ยงตระกูลโครเมียร์ ฉันจะเข้าไปตบหน้ามันสักสองครั้ง”

คนที่มามุงดู ต่างก็สีหน้าโมโห จ้องหน้าหลินอิ่งด้วยความโกรธ ท่าทางทุกคนที่กระตือรือร้น โมโหจนอยากเข้าไปจัดการหลินอิ่ง

คำพูดของหลินอิ่ง เหยียดหยามทุกคนอย่างไร้เยื่อใย

คนที่ฐานะไม่ชัดเจนคนหนึ่ง ไอ้เด็กหนุ่มหน้าโง่ มีสิทธิ์อะไรมาปากเสียกับผู้ดีมีตระกูลอย่างพวกเขา?

ยังนั่งกินอาหารในที่นั่งวีไอพีอย่างโจ่งแจ้ง? ยังบอกว่าพวกเขาไม่กล้านั่ง?

“หน้าไม่อายจริงๆ ไม่รู้ว่าตัวเองฐานะอะไรยังไปนั่งที่นั่งวีไอพี ยังกล้ามาพูดจาอวดดีกับพวกเรา?”

“ยังบอกว่าพวกเราเลียแข้งเลียขาฝรั่ง? แม่งเอ้ย ไม่รู้จักดูฐานะตัวเอง? คุณฮามาเขาเป็นถึงคุณชายอภิมหาเศรษฐีแห่งประเทศY ฐานะสูงส่ง? แกมันก็แค่คนกระจอกคนหนึ่ง ยังมีหน้ามาเทียบกับคนอื่นเขาอีก?”

“เหอะเหอะ ไอ้หลินอิ่งอะไรนี่มันใจใหญ่จริงๆ? ไอ้ยากจนคนหนึ่ง มาอวดดีในสถานที่แบบนี้ ยังกล้ามาเปรียบเทียบกับคุณฮามาอีก?”

“ใช่ พวกเราจำเป็นต้องรู้สถานการณ์ด้วยเหรอ? ตลกสิ้นดี ผู้ใหญ่ต้องพูดเรื่องผิดถูกด้วยเหรอ? กับแค่หนุ่มยากจนคนเดียว ไร้ฐานะตำแหน่ง แม้แค่นิ้วของคุณฮามายังเทียบไม่ได้เลย”

“พูดน่าเกลียดหน่อย คนอื่นเขารังแก แกจะทำอะไรได้? แกฐานะอะไร ในใจจะไม่รู้เลยเหรอ?”

หลังจากคำพูดของหลินอิ่ง คนที่มามุงดูต่างก็พูดจาเสียดสีอย่างไม่พอใจ

พวกเขามาก็เพื่อจะประจบนายทุนใหญ่ฮามาคนนี้ เข้ามาช่วยกันพูด เพื่อให้เขาประทับใจ

แต่ใครจะไปรู้ ว่าจะโดนไอ้หลินอิ่งนี่มาด่าว่าเลียแข้งเลียขา?

“เหอะเหอะ หลินอิ่ง ไอ้ไร้น้ำยาแกฟังไม่รู้เรื่องใช่ไหม? แกคิดว่าแกมีเหตุผลมากเหรอ?”​ หลี่เหมิงเล่อสีพูดด้วยหน้าไม่พอใจ “ยังด่าคนว่าเลียแข้งเลียขาฝรั่ง? โอ้ ฟังแล้วก็มีกลิ่นเหม็นสาบ แกทำไมไม่รู้จักคิด ทำไมคนอื่นเขาถึงไปเลียแข้งเลียขาฝรั่ง ทำไมต้องช่วยคุณฮามาพูดด้วย?”

“ถ้าแกหลินอิ่งมีความสามารถจริง ก็ให้ทุกคนไปเลียแข้งเลียขาแกซิ? ให้ทุกคนช่วยแกพูดซิ?” หลี่เหมิงเล่อพูดเสียดสี สีหน้าได้ใจ มองหลินอิ่งด้วยสีหน้าไม่พอใจ “เหอะ ตลกสิ้นดี คนปัญญาอ่อนแบบนี้ ไม่รู้ว่ามาในงานได้ยังไง”

“หลินอิ่ง แกรู้ไหมว่าไม่รู้ระเบียบไปนั่งที่นั่งวีไอพีของตระกูลโครเมียร์ นั่นหมายความว่าแกมันไร้การศึกษาไร้มารยาทในการเข้าสังคม” หลี่เหมิงเล่อพูดด้วยสีหน้าดูถูก “ฉันไม่เคยเห็นคนหน้าด้านแบบนี้เลย ไร้การศึกษา ไร้มารยาท ไร้ระเบียบวินัย เอามาเป็นต้นทุนความอวดดีของตัวเอง?”

“หลินอิ่ง แกนี่มันตลก ปัญญาอ่อนสิ้นดี”

“ออ?” หลินอิ่งหยิบกระดาษขึ้นมาเช็ดคราบน้ำมันบนปาก หันไปมองหลี่เหมิงเล่ออย่างสนใจ “ไร้การศึกษา ไร้รู้จักระเบียบ? คุณดูออกจากไหน?”

“ผมนั่งบนที่นั่งนี้ นั่นเป็นเพราะคำเชิญของโครเมียร์ แอนนา ให้ผมมานั่ง” หลินอิ่งพูดอย่างใจเย็น “คุณมีปัญหาอะไรไหม?”

“ฮาฮา”

หลี่เหมิงเล่อเอามือปิดปาก หัวเราะออกมา

“กับท่าทางยากจนของแกเนี่ยนะ? ยังบอกว่าคุณแอนนาเชิญแกมานั่ง? ฮาฮา อย่าทำให้คุณอื่นหัวเราะตายเหรอ” หลี่เหมิงเล่อเอามือปิดปากหัวเราะ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท