ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 447 สถานการณ์เริ่มชัดเจน

บทที่ 447 สถานการณ์เริ่มชัดเจน

“คุณบอกผมตามตรงได้ไหม ว่าในตัวหลินอิ่งมีความลับอะไร?” จี้ฉงซานถามอย่างจริงจัง

เหวินเทียนเฟิ่งพูด “ฉันก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่ว่า สำหรับท่านแล้วมันสำคัญมาก ถ้าสามารถเอามาได้ ถ้าเป็นอย่างนั้น ผู้ใหญ่ท่านก็จะมีพลังที่กวาดล้างโลกได้”

“แผนการนี้ ผู้ใหญ่ท่านวางแผนไว้นานมากแล้ว ตั้งแต่หลินอิ่งแสดงตัวที่ตี้จิงเป็นต้นมา แผนการทุกอย่างก็เริ่มขึ้นแล้ว”

“เพื่อต้องการเอาความลับในตัวหลินอิ่ง ได้เสียสละตระกูลเหวินทั้งตระกูลแล้ว ต้องเสียชีวิตของพี่ชายฉันไปทั้งคน”

“คุณจี้ฉงซาน ไม่อยากเป็นเพียงนักทุนนิยมเท่านั้นไม่ใช่เหรอ ไม่อยากเป็นแค่ถุงเงินของตระกูลพอร์ตเล็ต อยากควบคุมอำนาจที่สูงกว่า และอยากสืบทอดตำแหน่งอำนาจในเมืองก่าง ไปให้ลูกหลานของคุณไม่ใช่เหรอ?”

“ขอแค่แผนการของผู้ใหญ่สำเร็จ ตระกูลจี้ของพวกคุณ ก็จะเจริญรุ่งเรืองร่ำรวยไปทุกรุ่นในเมืองก่าง”

เหวินเทียนเฟิ่งใช้น้ำเสียงที่ค่อนข้างเคร่งเครียด พูดคำพูดทั้งหมดนี้

ได้ยินแล้ว จี้ฉงซานค่อยๆหลับตา ครุ่นคิดไปครู่หนึ่ง

“นายหญิงเหวิน คุณมั่นใจ ว่านี่เป็นคำพูดเดิมจากผู้ใหญ่ท่าน?” จี้ฉงซานพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม

“แน่นอน นี่ก็คือคำพูดที่ท่านให้ฉันมาบอกคุณ” นายหญิงเหวินพูดจริงจัง “ผู้ใหญ่ท่านอธิบายแล้ว สัญญาข้อนั้นที่เคยบอกคุณก่อนหน้านี้ ขอแค่จัดการกับหลินอิ่งเรียบร้อยแล้ว ถ้าอย่างนั้น เขาก็จะจัดการให้ทันที”

“คุณก็คงหวั่นไหวมากใช่ไหม?”

จี้ฉงซานสูดหายใจเข้าลึกๆ สีหน้าแดงก่ำ หัวใจหวั่นไหว

แน่นอน เรื่องที่เหวินเทียนเฟิ่งพูดนั้น ตรงตามใจเขาเลย

จี้ฉงซานเคยมีสัญญาเกี่ยวกับผู้ใหญ่ท่านนั้น จะช่วยให้เขาหลุดพ้นจากการควบคุมของตระกูลพอร์ตเล็ต ให้เขาได้ควบคุมอำนาจเอง

“ผู้ใหญ่ท่านพูดจริงเหรอ ขอแค่จัดการเรื่องของหลินอิ่งแล้ว จะเริ่มแผนการให้ผมหลุดพ้นจากตระกูลพอร์ตเล็ตทันที?” จี้ฉงซานถามเคร่งขรึม

จี้ฉงซานสามารถมีตำแหน่งถึงทุกวันนี้ได้ ผลงานหลักส่วนใหญ่มาจากความช่วยเหลือของตระกูลพอร์ตเล็ต

เหวินเทียนเฟิ่งพูด “แน่นอน นี่เป็นคำพูดเดิมของผู้ใหญ่ทั้งหมด ไม่เชื่อ คุณก็ไปขอพบท่านเองได้”

“ได้” จี้ฉงซานพูดจริงจัง “ถ้าอย่างนั้น ทางด้านคณะกรรมการเถ่เสว่ตระกูลพอร์ตเล็ต ผมต้องจัดการใหม่ไหม?”

“คุณท่านจี้ คุณต้องจำไว้ คุณใช้งานให้คณะกรรมการเถ่เสว่ตระกูลพอร์ตเล็ตไปหาหลินอิ่ง นี่ไม่มีปัญหาอะไร แต่ว่า คุณทำงานโดยพลการ ไม่ได้รายงานข้างบน นี่ถึงทำให้ผู้ใหญ่ท่านโมโห” เหวินเทียนเฟิ่งพูดอย่างจริงจัง “คุณแค่จำไว้สองข้อ หนึ่ง จะทำปฏิบัติการอะไร ต้องรายงานท่านก่อน สอง หลินอิ่งต้องจับเป็นเท่านั้น”

“ผมเข้าใจแล้ว นายหญิงเหวิน ฝากคุณบอกกับผู้ใหญ่ท่านด้วย ผมจะทำตามคำสั่งของท่าน” จี้ฉงซานพูดสีหน้าจริงจัง

“อืม คุณทักทายกับคณะกรรมการเถ่เสว่ตระกูลพอร์ตเล็ตหน่อย ว่าให้พวกเขาจับเป็น จากนั้นก็เพิ่มปฏิบัติการได้เลย” เหวินเทียนเฟิ่งพูด

“จากนั้น คุณก็รายงานเรื่องที่คณะกรรมการเถ่เสว่ตระกูลพอร์ตเล็ตสืบได้จากตัวหลินอิ่งด้วย”

“เพราะว่า คณะกรรมการเถ่เสว่ของตระกูลพอร์ตเล็ตก็ไม่รู้แผนการของเรา บางที อาจจะให้ข้อมูลผิดกับหลินอิ่งก็ได้ เข้าใจผิดว่าคณะกรรมการเถ่เสว่ตระกูลพอร์ตเล็ตจ่อจงเขา”

จี้ฉงซานพูด “ใช่ ผมก็คิดเช่นนั้น ถ้าหากคณะกรรมการเถ่เสว่ตระกูลพอร์ตเล็ตสามารถจับตัวหลินอิ่งได้ ก็จะลดปัญหาไปได้เยอะมาก”

“จากการคาดเดาของผม คณะกรรมการเถ่เสว่ตระกูลพอร์ตเล็ตจัดการกับหลินอิ่ง ก็มีเปอร์เซ็นต์ความสำเร็จอยู่เกินครึ่ง”

“เหอะ ครั้งที่แล้วคุณเชิญหรงหยังของสำนักหยางเหมินลงมือ ก็พูดแบบนี้”​ เหวินเทียนเฟิ่งพูดอย่างหัวเราะเย็นชา “ฉันหวังแค่ว่า คุณอย่าทำเรื่องตลกอย่างเรื่องแก๊งหยางเหมินอีก ทำให้ตัวเองอยู่ในอันตราย”

พูดถึงตรงนี้ จี้ฉงซานหน้าแดง ไม่ได้พูดอะไรอีก ก็วางสายไป

……

อาคารสุ่ยจิน

ภายในออฟฟิศประธาน หลินอิ่งมือไขว้หลังพิงราวระเบียง ชมวิวทิวทัศน์ของเมืองก่าง

เย่เฮยก้มหน้า คุกเข่าหนึ่งข้างอยู่ข้างหลังเขา

“ท่านประมุขแก๊ง ตามคำสั่งของท่าน ผมได้สืบหาตัวตนของพวกองครักษ์มังกรดำได้บ้างแล้ว” เย่เฮยพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“ว่ามา”

หลินอิ่งสีหน้าเรียบเฉย ในแววตานั้นมีประกายแห่งความเย็นชา

เย่เฮยพูด “จากข้อมูลที่ผมสืบมาได้ แก๊งมังกรหลังจากที่อาจารย์กู้ต้าขึ้นตำแหน่งแล้ว ก็เปลี่ยนแปลงระบบในแก๊งมังกรแล้ว”

“องครักษ์มังกรดำที่ครอบครองในเมืองก่างตอนนี้ เจ้าสำนักองครักษ์คนใหม่ มีสมญานามเดียวว่า ท่านมังกรดำ”

“ท่านมังกรดำ แข็งแกร่งลึกลับ ฐานะไม่ชัดเจน ในแวดวงลึกลับ ชื่อเสียงโด่งดัง ในเก้าอี้รายการแห่งดินทั้งหมดสามสิบสองที่ จัดอยู่อันดับที่สิบแปด”

“ผมสืบข้อมูลรายชื่อของรายการดิน คน ฟ้า ทั้งสามรายการแล้ว นอกจากนี้ องครักษ์มังกรสิบสองแห่งแก๊งมังกรในอดีต ล้วนเป็นองครักษ์สิบสองคนใหม่ ล้วนติดอันดับในรายการดินฟ้าทั้งหมด ไม่รู้ว่าอาจารย์กู้ต้าไปหายอดฝีมือเหล่านี้มาจากไหน ชดเชยช่องว่างที่สร้างไว้หลังจากเขาฆ่าล้างแก๊งมังกร”

“ท่านมังกรดำ? เหอะ ช่างกล้าตั้งชื่อ” หลินอิ่งมุมปากยิ้มขึ้นอย่างเย็นชา

ข้อมูลที่เย่เฮยสืบมาได้ กับข้อมูลที่เขาถามจากมากหรงหยัง ไม่ได้ต่างอะไรกันมาก

หรงหยังอยู่ในแวดวงลึกลับแห่งเมืองก่างนี้ ก็เคยได้ยินชื่อเสียงโด่งดังของ ท่านมังกรดำ และเป็นยอดฝีมือในรายการดิน

และยังคาดเดาว่า ท่านมังกรดำก็คือที่พึ่งคนสำคัญของจี้ฉงซานในเมืองก่าง

“ท่านประมุขแก๊ง ตอนนี้ผมมั่นใจได้ว่า ตั้งแต่ท่านมังกรดำขึ้นตำแหน่งในเมืองก่างแล้ว ก็มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับมหาเศรษฐีเมืองก่างจี้ฉงซาน” เย่เฮยพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เพราะว่า จากพฤติกรรมป่าเถื่อนของอาจารย์กู้ต้า เป็นไปไม่ได้ที่ปล่อยคนไม่เชื่อฟังอย่างมหาเศรษฐีเมืองก่าง ยังใช้ชีวิตอย่างปลอดภัยในเมืองก่างได้หรอก”

หลินอิ่งพยักหน้าเบาๆ “วิเคราะห์ได้ดี”

หลังจากอาจารย์กู้ต้ายึดตำแหน่งเจ้าสำนักแก๊งมังกรแล้ว พฤติกรรมการทำงานก็เปลี่ยนจากเดิม เปลี่ยนจากการทำงานเงียบๆหลักการไม่เบียดเบียนผู้อื่นโยนทิ้งหมด ทำกลับกันทุกอย่าง ผู้ที่เชื่อฟังทำตามก็อยู่ ไม่เชื่อฟังก็ฆ่าทิ้ง

ดังนั้น สามารถแน่ใจได้แล้วว่า บุคคลลึกลับที่อยู่เบื้องหลังจี้ฉงซานนั้น ก็คือท่านมังกรดำ

เพียงแค่ เรื่องราวก็มีความแปลกอยู่บ้าง

เห็นได้ชัดว่า จากข้อมูลต่างๆเห็นได้ชัดว่า ท่านมังกรดำรู้ว่าฐานะเขาคือเจ้าสำนักแก๊งมังกร กลับไม่ได้ใช้อำนาจลึกลับทำงานปฏิบัติการ ดูเหมือนว่า ท่านมังกรดำไม่ได้รายงานให้อาจารย์กู้ต้าเลย

ไม่อย่างนั้น คงไม่ใช่ฝูงนกฝูงนกฝูงกาอย่างจี้ฉงซานมาหาเรื่องเขาแล้ว แต่เป็นแก๊งมังกรทั้งหมด ต้องเกิดสงครามอันรุนแรงน่าสะพรึงกลัวที่เมืองก่างแน่นอน

เหตุการณ์น่าประหลาดขนาดนี้ อธิบายได้อย่างเดียว

หลินอิ่งเข้าใจหมดแล้ว

ท่านมังกรดำ อยากรู้ความลับที่เขาครอบครองอยู่ การสืบทอดของท่านประมุขแก๊ง

หลินอิ่ง คือผู้สืบทอดที่แท้จริงของแก๊งมังกร ประมุขที่แท้จริงของแก๊ง

คนที่รู้ความลับนี้ในแวดวงลึกลับนี้ จะมีใคร? จะไม่หวั่นไหวกับการสืบทอดของแก๊งมังกร?

และนี่ก็คือเหตุผลว่าเพราะอะไร ก่อนที่หลินอิ่งจะสำเร็จวิชานั้น ไม่ยุ่งเกี่ยวกับโลกภายนอกแด็ดขาด

ผู้สืบทอดแก๊งมังกรทั้งคน ทำให้ทั่วแวดวงผู้ลึกลับนั้นบ้าคลั่ง เกิดสงครามการสู้รบเลือดสาดไม่หยุดแน่

อีกอย่าง วิชาการต่อสู้ที่หลินอิ่งฝึกฝน ก่อนจะสำเร็จวิชาอย่างครบถ้วน มีจุดอ่อนถึงชีวิตอย่างหนึ่ง

จุดอ่อนนี้ ในผู้นำระดับสูงของแก๊งมังกร รู้ดีกันทุกคน

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท