ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 474 จัดการเมืองชิงหยูนใหม่

บทที่ 474 จัดการเมืองชิงหยูนใหม่

“ลูก เมื่อกี้หลินอิ่งกลับมาแล้ว ไอ้ไร้น้ำยาเนรคุณนี้ กลับทำท่าทางเหมือนไม่รู้อะไรเลย”

ลู่หย่าฮุ่ยเดินกลับเข้าไปในคฤหาสน์ พูดกับจางฉีโม่ด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“ลูก เมื่อกี้ลูกไม่เห็นหน้าอันน่ารังเกียจของหลินอิ่งมัน ทำให้ครอบครัวเราต้องอยู่ในสภาพนี้แล้ว มันยังไม่อยู่ในสถานการณ์ ยังทำท่าทางไร้เดียงสาไม่รู้เรื่อง”

“ถ้าไม่ใช่เพราะแม่พูดถึงเรื่องที่มันทำในเมืองก่าง พูดถึงเรื่องรูปถ่ายของมันกับสาวผมทองนั่น มันคงยังคิดจะปิดปังลูกอีก”

ลู่หย่าฮุ่ยพูดไม่หยุด ระบายความไม่พอใจที่มีต่อหลินอิ่ง

จางฉีโม่เงียบไม่พูดอะไร

เงียบไปสักครู่ จางฉีโม่พูด “หลินอิ่งเขาพูดอะไรบ้างไหม?”

“เหอะ ไอ้ไร้น้ำยาหลินอิ่งมันยังพูดอะไรอีก? นอกจากพูดจาโม้อยู่นั่น” ลู่หย่าฮุ่ยพูดด้วยสีหน้าดูถูก “มันยังพูดอย่างไร้ยังอายว่า จะช่วยลูกจัดการปัญหาของบริษัท? ยังบอกว่าเรื่องที่มันทำที่เมืองก่างไม่ใช่ความจริง บอกว่าพวกเราไม่เชื่อมัน?”

“ตลกสิ้นดี หลักฐานมัดตัวขนาดนี้ จะไม่จริงได้ยังไง? อีกอย่างไอ้ไร้น้ำยาหลินอิ่งมันคู่ควรสำหรับการเชื่อถือตรงไหน?”

“ช่างเถอะ อย่าไปพูดถึงหลินอิ่งมันอีกเลย ยิ่งพูด ก็ยิ่งโมโห ไม่รู้จริงๆว่าตอนแรกทำไมถึงไปฟังคำพูดนายท่าน ให้ไอ้เนรคุณนี่เข้ามาอยู่ที่บ้านเรา”

จางซิ่วเฟิงพูดอย่างอึดอัด รู้สึกไม่พอใจอย่างยิ่ง

ฟังคำพูดของพ่อแม่แล้ว

สีหน้าของจางฉีโม่ก็เปลี่ยนไปบ้าง แววตากะพริบ

พ่อกับแม่ไม่รู้ความสามารถของหลินอิ่ง

แต่ว่าเธอรู้ดี หลินอิ่งสามารถจัดการปัญหาทั้งหมดที่ครอบครัวเธอเผชิญอยู่ตอนนี้

แต่ว่า หลินอิ่งบอกว่าเรื่องในเมืองก่างไม่ใช่อย่างที่เห็น เรื่องนี้น่าคิด เพราะว่า รูปภาพก็วางอยู่ตรงหน้า ว่าหลินอิ่งใกล้ชิดสนิทสนมกับหลินอิ่งขนาดนั้น

“ใช่แล้ว หลินอิ่งยังบอกว่าอยากเจอลูก บอกว่าจะอธิบายให้ลูกฟังเอง” ลู่หย่าอุ่ยพูดเย็นชา “ไอ้ไร้ยางอายอย่างมัน ยังคิดอยากจะมาหลอกลูกอีก”

“โฉมหน้าที่แท้จริงของมันก็คือไอ้เนรคุณ ฉีโม่ ลูกต้องดูให้ชัด ไม่ว่ามันพูดอะไรลูกก็อย่าไปเชื่อ”

“ยังอยากจะเจอลูกสาวฉัน ฝันไปเถอะ มันหลินอิ่งชาตินี้ อย่าคิดที่จะก้าวเข้ามาบ้านเราแม้แต่ก้าวเดียว”

ลู่หย่าฮุ่ยพูดอย่างโมโห

“หลินอิ่งบอกว่าอยากเจอหนู?”​

จางฉีโม่สีหน้าอ่อนไหว ดูเหมือนจะมีความหวั่นไหวเล็กน้อย

“ใช่ลูก ลูกคงไม่ได้คิดที่อยากจะเจอไอ้เนรคุณนั่นอีกนะ? เขาทำแบบนี้กับลูกแล้ว นอกใจลูกอย่างโจ่งแจ้งอยู่นอกบ้านแบบนี้ ไม่มีลูกอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย”

ลู่หย่าฮุ่ยหันไปมองจางฉีโม่ พูดสอนอย่างจริงจัง

“ลูก จะไปเจอกับหลินอิ่งไม่ได้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้น มันก็จะหลอกลูกจนลืมตาไม่ขึ้นอีก”

จางฉีโม่ถอนหายใจ พูดว่า “หนู หนูไม่อยากเจอหลินอิ่ง”

ในใจเธอตอนนี้ ไม่สามารถไปเผชิญหน้ากับหลินอิ่งได้

หนึ่ง เพราะว่าเธอคิดว่าตัวเองไร้ประโยชน์ ไม่คู่ควร

สอง ในใจเธอไม่ชอบพึ่งพาอำนาจ ไม่ว่าความสามารถของหลินอิ่งจะเป็นยังไง ก็เปลี่ยนทัศนคติเธอไม่ได้

เรื่องที่มีความสัมพันธ์ไม่ชัดเจนกับผู้หญิงไม่ชัดเจน ถ้าไม่พูดให้ชัดเจน เธอไม่มีวันไปหาหลินอิ่งเองแน่นอน

“ลูก คิดแบบนี้ก็ถูกแล้ว ไม่จำเป็นต้องไปเจอกับไอ้ไร้น้ำยานั่นอีก” ลู่หย่าฮุ่ยพูดอย่างได้ใจ

……

เมืองชิงหยูน เขตเมืองเหนือ

ฉินหยุนโล๋

ตระกูลชั้นสองของเมืองชิงหยูน อาคารแหล่งบันเทิงที่ตระกูลฉินสร้างขึ้นมากับมือ แหล่งใช้จ่ายเงินมหาศาล

เป็นที่รู้กันดี ตระกูลฉิน ฉินฝู้กุ้ยหลังจากติดตามมหาเศรษฐีเจียงฉีแล้ว ฐานที่ก็สูงขึ้นเรื่อยๆ เห็นชัดว่าสามารถเทียบกับสามตระกูลใหญ่แห่งเมืองตุงไห่ได้แล้ว

เพราะฉะนั้น ฉินหยุนโล๋ เป็นสถานที่ระดับต้นๆในเขตเมืองเหนือแล้ว

หน้าฉินหยุนโล๋ หลินอิ่งสีหน้าเรียบเฉย ตัวคนเดียว เดินเข้าไปในห้องโถง

เจียงฉีกับเสิ่นซาน ต่างก็หาคนไม่เจอ

หลินอิ่งสืบหาข่าวอยู่ข้างนอก รู้สถานการณ์ในแวดวงไฮโซเมืองชิงหยูน

ทุกวันนี้ คนที่ยังเผยโฉมหน้าอยู่ในเมืองชิงหยูน ก็คือฉินฝู้กุ้ย

มือซ้ายมือขวาคนสำคัญของหลินอิ่งในเมืองตุงไห่ คือเจียงฉีกับเสิ่นซาน นอกจากนี้ ลูกน้องคนสำคัญก็คือคริสกับฉินฝู้กุ้ย

มาหาฉินฝู้กุ้ย ก็เพราะว่าจะถามให้ชัดเจน ว่าทำงานที่เมืองชิงหยูนยังไง

ฉินหยุนโล๋ ห้องรับรองหรูชั้นสิบหก

ชายร่างอ้วนคนหนึ่ง แขวนพระหยกองค์หนึ่ง สีหน้าเคร่งขรึม นั่งดื่มเหล้าอย่างใจเย็นในงานเลี้ยง

ข้างโต๊ะเหล้า มีบอดี้การ์ดชุดสูทยืนอยู่ประมาณยี่สิบถึงสามสิบคน ท่าทางเหมือนมาเฟียโลกใต้ดิน

“พี่ใหญ่ฉิน มีคนมาหา”

ลูกน้องหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามารายงานอย่างรีบร้อน

“ใคร? มาหาฉันเรื่องอะไร?” ฉินฝู้กุ้ยท่าทางยโส ดื่มชาไปคำหนึ่ง พูดจาเย็นชา

“ฉินฝู้กุ้ย นายใช้ชีวิตที่เมืองชิงหยูนอย่างสุขสบายเลยนะ”

เป็นเสียงของชายหนุ่มคนหนึ่งที่เรียบเฉย

ชายในชุดเสื้อเชิ้ตสีดำธรรมดา แววตาเย็นชา ไขว้มือเดินเข้ามา

คั๊กชั๊ก

หลังจากฉินฝู้กุ้ยเห็นชายหนุ่มเดินเข้ามา สีหน้าตะลึง แก้วน้ำชาในมือตกลงไปที่พื้น

“ท่านหลิน”

ฉินฝู้กุ้ยรีบยืนขึ้นมา รีบวิ่งเข้าไปต้อนรับอย่างรีบร้อน

“ท่านหลิน ท่านกลับมาแล้วเหรอ ท่านมาด้วยตัวเอง ทำไมไม่บอกผมก่อน จะได้เตรียมตัวต้อนรับอย่างดี” ฉินฝู้กุ้ยพูดอย่างประจบ

หลินอิ่งสีหน้าเรียบเฉย เข้าไปนั่งบนเก้าอี้เจ้าภาพ

“ได้ยินว่า เรื่องคฤหาสน์วิลล่าหิมะมังกร นายส่งคนไปทำ?” หลินอิ่งมองหน้าฉินฝู้กุ้ยเย็นชา

หลินอิ่งถามนิติของวิลล่าหิมะมังกรแล้ว คฤหาสน์ที่เขาซื้อให้ฉีโม่ ถูกบังคับเอาไปประมูล และยังไล่ครอบครัวฉีโม่ออกไปอีก

สำหรับเอกสารที่ดำเนินการ เซ็นชื่อโดยฉินฝู้กุ้ย

ฉินฝู้กุ้ยติดตามเจียงฉีช่วยเขาจัดการธุรกิจในส่วนของไห่หยางกรุ๊ป คฤหาสน์วิลล่าหิมะมังกรเป็นส่วนของกิจการนี้

“นี่…….”

ฉินฝู้กุ้ยเหงื่อท่วมหัว รู้สึกกดดันอย่างมาก

“ท่านหลิน ท่านหมายถึงเรื่องที่ผมเซ็นเอกสารโอนคฤหาสน์เหรอครับ?” ฉินฝู้กุ้ยพูดอย่างระวัง “ท่านหลิน ผมฟังตามคำสั่งของคุณหนูจ้าว ถึงได้เซ็นชื่อไป”

“เรื่องอื่น ผมก็ไม่รู้เรื่อง สำหรับท่านแล้วผมจงรักภักดีทุกอย่าง บริหารกิจการในเมืองชิงหยูน ไม่กล้าล้ำเส้นแม้แต่น้อย”

“คุณหนูจ้าว?” หลินอิ่งมุมปากยิ้มขึ้น “เป็นเรื่องที่ผู้หญิงบ้าคนนี้ทำขึ้นมาจริง”

“ฉินฝู้กุ้ย นายช่วยจ้าวหลินเอ๋อร์ทำงาน ยังบอกว่าไม่ได้ล้ำเส้น? จงรักภักดีกับฉัน?”

หลินอิ่งมองฉินฝู้กุ้ยอย่างเย็นชา

“ท่านหลิน นั่นมัน คุณหนูจ้าวเป็นภรรยาของท่านไง คุณนายจ้าวจะทำเรื่องของธุรกิจ ผมก็ไม่กล้ายุ่งเกี่ยวกับเรื่องในครอบครัวท่า” ฉินฝู้กุ้ยพูดด้วยเหงื่อท่วมหัว

ช่วงก่อน จ้าวหลินเอ๋อร์ไปหาฉินฝู้กุ้ย ให้วิธีเดียวกับเสิ่นซานกับเจียงฉี

เพียงแค่ว่า ฉินฝู้กุ้ยเป็นคนลื่นไหล

หลังจากได้รู้เบื้องหลังอันแข็งแกร่งของจ้าวหลินเอ๋อร์แล้ว ฉินฝู้กุ้ยก็รีบเข้าไปประจบ เรื่องทุกอย่างที่จ้าวหลินเอ๋อร์สั่ง ก็ไม่ทำอย่างสุดความสามารถ ถึงไม่ถูกกักขัง

หลินอิ่งหัวเราะเย็นชา ทำไมจะไม่รู้ว่าฉินฝู้กุ้ยคิดอะไรอยู่

“ฉินฝู้กุ้ย ฉันยังไม่ได้พูดอะไรเลย นายก็ร้อนตัวขนาดนี้ ไปประจบคนของตระกูลจ้าว?” หลินอิ่งมองฉินฝู้กุ้ย “แล้วใครเป็นคนบอกนาย จ้าวหลินเอ๋อร์ คือภรรยาฉัน?”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท