ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 480 ควรจะอธิบายยังไงกับตระกูลจ้าว?

บทที่ 480 ควรจะอธิบายยังไงกับตระกูลจ้าว?

“อะไรนะ? คุณหนูใหญ่ เขา เขาเป็นคุณชายอิ่งจริงเหรอ?”

จ้าวซานพอเห็นจ้าวหลินเอ๋อร์เข้ามา ก็เรียกหลินอิ่ง ทันใดนั้นก็ตะลึงจนหน้าซีด

พฤติกรรมของจ้าวหลินเอ๋อร์ พิสูจน์แล้วว่าหลินอิ่งก็คือคุณชายอิ่งแห่งตี้จิง

“เห้อ หุบปาก” จ้าวหลินเอ๋อร์ทำเสียงเย็นชา มองหน้าจ้าวซานด้วยความเอือมระอา “แกนี่ทำงานไม่ได้เรื่อง แม้แต่คนยังไม่รู้จัก แกนี่มันทำงานยังไงกัน?”

“ผม ผมผิดไปแล้ว คุณหนูใหญ่ ผมผิดไปแล้ว” จ้าวซานคุกเข่าขอโทษอยู่บนพื้น จากนั้นก็หันไปมองหลินอิ่งด้วยแววตาหวาดกลัว “คุณชายอิ่ง ขอโทษ ผมมีตาหามีแววไม่ หวังว่าท่านจะไม่ติดใจ”

ตอนนี้จ้าวซานรู้สึกเสียใจต้องท้องไส้พันกันหมดแล้ว คิดไม่ถึงว่าตัวเองใช้ชื่อคุณชายอิ่งอยู่ทุกวัน สุดท้ายมาเจอตัวจริงของคุณชายอิ่ง แต่กลับไม่รู้จัก

“ไสหัวออกไป อย่ามาขวางหูขวางตาที่นี่”

จ้าวหลินเอ๋อร์พูดด้วยสีหน้าเอือมระอา โบกมือ จากนั้นบอดี้การ์ดสาวสองคนก็เดินเข้ามา ดึงตัวจ้าวซานออกไป

พฤติกรรมของจ้าวซาน ทำให้จ้าวหลินเอ๋อร์ขายหน้าชัดๆ

“หลินอิ่ง ฉันขอบอกคุณ เรื่องที่คุณทำที่เมืองก่างฉันรู้เรื่องหมดแล้ว” จ้าวหลินเอ๋อร์เบ้ปาก พูดด้วยสีหน้าไม่พอใจ “รูปถ่ายของคุณกับโครเมียร์ แอนนาฉันเห็นแล้ว ฉันคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าคุณจะเป็นคนแบบนี้”

“คุณเป็นลูกเขยของตระกูลจ้าว ปรากฏว่า คุณกลับไปยุ่งเกี่ยวกับผู้หญิงข้างนอก เรื่องของจางฉีโม่ฉันจะไม่ว่า เพราะว่าตอนนั้นคุณยังไม่ได้กลับคืนสู่ตี้จิง แต่ครั้งนี้ เรื่องของโครเมียร์ แอนนา คุณจะอธิบายยังไงกับตระกูลจ้าว?”

จ้าวหลินเอ๋อร์ถามเสียงเรียบ เหมือนอัดอั้นความโกรธไว้เต็ม

หลินอิ่งสีหน้าเรียบเฉย ไม่ได้มีอารมณ์ความรู้สึกอะไรจากพฤติกรรมก้าวร้าวอวดดีของจ้าวหลินเอ๋อร์เลย

“อธิบายให้ตระกูลจ้าว? ตระกูลจ้าวของพวกคุณต้องการคำอธิบายอะไร?” หลินอิ่งพูดด้วยเสียงเรียบ

จ้าวหลินเอ๋อร์ทำเสียงเย็นชา ยิ่งไม่พอใจต่อพฤติกรรมของหลินอิ่ง

ทุกครั้งที่หลินอิ่งอยู่ต่อหน้าเธอ ก็มีแต่ท่าทางเย็นชาแบบนี้

พอลับหลังเธอ หลับไปใกล้ชิดสนิทสนมกับฝรั่งผมทองคนนั้น

ผู้ชายสารเลวจริงๆ

จ้าวหลินเอ๋อร์รู้สึกโกรธ พูดอย่างโมโห “หลินอิ่ง คุณตั้งใจยั่วโมโหฉันใช่ไหม? คุณไม่เห็นตระกูลจ้าวอยู่ในสายตาเลยใช่ไหม?”

“ยังพูดเต็มปากเต็มคำว่าเป็นคนมีครอบครัวแล้ว แสดงท่าทางเหมือนกับรักใครกับนางผู้หญิงบ้านนอกเมืองชิงหยูนคนนั้น?” จ้าวหลินเอ๋อร์พูดเสียงเย็นชา

“ตระกูลจ้าวของเรา ไม่ถูกใจคุณเลยเหรอ?”

“เรื่องนี้คุณไม่อธิบายให้ชัดเจน ฉันจะไปรายงานคุณปู่ฉัน แล้วก็นายท่านตระกูลฉีของคุณ ให้นายท่านทั้งสองมาออกมาให้ความยุติธรรม” จ้าวหลินเอ๋อร์ท่าทางไม่พอใจ เหมือนได้รับความคับข้องใจอย่างมาก

หลินอิ่งส่ายหน้า ไม่รู้ว่าจ้าวหลินเอ๋อร์พูดไปถึงไหนแล้ว

เรื่องระหว่างเขากับโครเมียร์ แอนนา คงพูดยังไงก็พูดไม่ชัดเจนแล้ว

“จ้าวหลินเอ๋อร์ คุณจะมองผมหลินอิ่งยังไง ก็แล้วแต่คุณ” หลินอิ่งพูดอย่างเย็นชา “แต่ว่า ผมมีเรื่องจะถามคุณ ใครให้ความกล้ากับคุณ ถึงกล้าใช้ชื่อผมไปโอ้อวดดึงดูดความสนใจไปทั่วเมืองชิงหยูน?”

พูดถึงตรงนี้ น้ำเสียงของหลินอิ่งก็เปลี่ยนเป็นเย็นชา

จ้าวหลินเอ๋อร์ฟังแล้ว ก็อดขนหัวลุกไม่ได้

ราศีอันน่าเกรงขามแบบนี้ ทำให้เธอรู้สึกหนาวสั่นไปทั้งตัว

ทัศนคติของหลินอิ่งชัดเจนมาก

เขาไม่สนใจว่าจ้าวหลินเอ๋อร์จะคิดยังไง แต่จะมาติดตามถามเรื่องที่จ้าวหลินเอ๋อร์ทำในเมืองชิงหยูน

“ฉัน……อะไรคือฉันใช้ชื่อคุณไปอวดดีดึงดูดความสนใจไปทั่วเมือง?” จ้าวหลินเอ๋อร์เบ้ปากพูด “ฉันเป็นภรรยาที่ถูกต้องของคุณอยู่แล้ว ภรรยาตัวจริง ฉันใช้ชื่อของคุณ มันผิดตรงไหน?”

หลินอิ่งสีหน้าเรียบเฉย ส่ายหัว

“คำพูดเดียวกัน ผมบอกคุณไปหลายรอบแล้ว ภรรยาของผมมีแค่คนเดียวเท่านั้น ก็คือจางฉีโม่”

พอฟังคำพูดนี้ ความอิจฉาก็ลุกเป็นไฟในใจจ้าวหลินเอ๋อ สีหน้าก็เปลี่ยนไป

“ฉันรู้ว่าคุณต้องพูดแบบนี้” จ้าวหลินเอ๋อร์พูดอย่างโมโห “ตอนนี้ในแวดวงสังคมตี้จิง ต่างก็รู้ว่าฉันจ้าวหลินเอ๋อร์เป็นผู้หญิงของคุณ ฉันจะต้องมียางอายอีกไหม?”

“อีกอย่าง ฉันก็สืบมาแล้วว่าสองปีนี้คุณใช้ชีวิตในตระกูลจางเมืองชิงหยูนยังไง”

“คนของตระกูลจางเมืองชิงหยูน ไม่มีคุณอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย จนถึงวันนี้ พวกเขาก็ยังคงคิดว่าคุณเป็นลูกเขยไร้ประโยชน์”

“ตระกูลเล็กๆที่เห็นเงินก็ตาสว่างแบบนี้ ตระกูลบ้านนอกที่ไม่เคยเห็นโลก คุณอยู่ไปมีความหมายอะไร?”​

หลินอิ่งกำลังจะพูดอะไร

จ้าวหลินเอ๋อร์ก็เปิดปากก่อน พูดอย่างโมโห “ไม่ต้องเอาจางฉีโม่มีเป็นข้ออ้างกับฉันอีก พฤติกรรมที่คุณทำในเมืองก่าง ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าคุณเป็นผู้ชายเจ้าชู้”

“อีกอย่าง ฉันก็ไม่ได้รู้สึกว่า จางฉีโม่จะรักคุณมากขนาดนั้น” จ้าวหลินเอ๋อร์พูดอย่างเย็นชา

“คุณหมายความว่ายังไง?”​ หลินอิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย ถามอย่างเย็นชา

“หลินอิ่ง ฉันทำเรื่องที่เมืองชิงหยูนตั้งมากมาย ก็เพื่ออยากจะให้คุณดูหน้าตาของคนตระกูลจางให้ชัดเจน ดูโฉมหน้าที่แท้จริงจางฉีโม่” จ้าวหลินเอ๋อร์พูดเรียบเฉย

“ทุกอย่างที่ฉันทำไม ก็เพื่อคุณทั้งนั้น” จ้าวหลินเอ๋อร์พูดอย่างจริงจัง

“รออีกสองสามวัน คุณก็จะได้เห็น พอสูญเสียทุกอย่างแล้ว จางฉีโม่ทั้งครอบครัว จะเลือกยังไง คุณอยู่ในสายตาพวกเขา ไม่มีคุณค่าอะไรเลย” จ้าวหลินเอ๋อร์พูดอย่างจริงจัง

“เรื่องของผม คุณไม่ต้องเข้ามายุ่ง” หลินอิ่งพูดอย่างเย็นชา

“จ้าวหลินเอ๋อร์ คุณออกไปจากเมืองชิงหยูนเดี๋ยวนี้” หลินอิ่งพูดอย่างเรียบเฉย “ต่อจากนี้อย่ามายุ่งกับเรื่องของผมอีก ผมจะไม่ไปติดใจเอาความกับตระกูลจ้าว”

“เหอะเหอะ หลินอิ่ง คุณไม่มั่นใจแล้วเหรอ? กลัวแล้วใช่ไหม?” จ้าวหลินเอ๋อร์พูดอย่างเย็นชา

หลินอิ่งมองจ้าวหลินเอ๋อร์ พูดอย่างเย็นชา “ผมไม่มั่นใจและกลัว?”

“คุณกลัวหรือไม่กลัว สิ่งที่ฉันพูดคือความจริงหมด ช่วงเวลาสำคัญ ครอบครัวจางฉีโม่จะโยนคุณทิ้ง ทำให้คุณขายหน้า?” จ้าวหลินเอ๋อร์พูดอย่างเย็นชา

“ฉันบอกคุณก็ได้ แผนการที่ฉันวางไว้ในเมืองชิงหยูน อีกสองวัน ฉันจะให้คุณชายตระกูลโจไปสู่ขอที่ตระกูลจาง” จ้าวหลินเอ๋อร์พูดอย่างเรียบเฉย “คุณทายซิ ว่าตระกูลจางจะไว้หน้าคุณไหม? จางฉีโม่จะตกลงกับงานแต่งครั้งนี้ไหม?”​

หลินอิ่งส่ายหน้า “ตลกไร้สาระสิ้นดี”

“เหอะเหอะ คุณคิดว่าเรื่องที่ฉันทำตลกไร้สาระ? ถ้าอย่างนั้นคุณกล้าปล่อยให้ฉันทำเรื่องนี้ถึงที่สุดไหมล่ะ? มีว่าผลลัพธ์จะเป็นยังไง?” จ้าวหลินเอ๋อร์ถามอย่างเคร่งขรึม

“สุดท้าย คุณจะเข้าใจ คนตระกูลจางไม่เคยเห็นคุณอยู่ในสายตาเลย จางฉีโม่ก็ไม่เคยคิดว่าคุณเป็นสามี จางฉีโม่ไม่ได้ชอบคุณจริงๆ ตอนนี้เธอดีกับคุณ ก็เพราะคุณมีอำนาจเงินทองมหาศาลเท่านั้น”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท