ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 481 อย่าท้าทายความอดทนของผม

บทที่ 481 อย่าท้าทายความอดทนของผม

ได้ยินคำพูดทั้งหมดนี้แล้ว

หลินอิ่งส่ายหัว มุมปากยิ้มขึ้น แววตาค่อยๆเย็นชาขึ้นเรื่อยๆ

“จ้าวหลินเอ๋อร์เอ้ย จ้าวหลินเอ๋อร์ คุณมองตัวเองสูงส่งเกินไป หรือว่ามองผม หลินอิ่งต่ำเกินไป?” หลินอิ่งพูดอย่างเรียบเฉย

“ผมหลินอิ่ง ใช่คนที่คุณสามารถคาดเดาได้?”

“ออกไปจากเมืองชิงหยูน ภายในหนึ่งชั่วโมง กลับไปตระกูลจ้าวที่ตี้จิง”

“อย่ามาท้าทายความอดทนของผม”

ทิ้งคำพูดอันเย็นชาไว้

หลินอิ่งหมุนตัวเข้าไปนั่ง สีหน้าเย็นชา ยกน้ำชาขึ้นมาดื่ม

ทันใดนั้น บรรยากาศกลายเป็นเย็นชาเคร่งขรึม เหมือนดั่งอากาศแข็งตัว

คนที่อยู่ในเหตุการณ์ ต่างก็รู้สึกได้ถึงแรงสังหารที่พุ่งเข้ามา

“คุณ อวดสีสามหาวจริงๆ กล้าพูดแบบนี้กับคุณหนูใหญ่ได้ยังไง?”​

“คุณหนู พฤติกรรมที่นายคนนี้ทำต่อท่าน เราควรจับตัวมันไว้ทันที ให้มันมาขอโทษถึงจะถูก ถึงจะเป็นคุณชายอิ่งแห่งตระกูลฉีก็ตาม”

บอดี้การ์ดหญิงข้างกายจ้าวหลินเอ๋อร์ทั้งสองต่างพูดด้วยความโมโห ต่อว่าหลินอิ่ง

คราวนี้ คนในเหตุการณ์ต่างก็สีหน้าไม่ดี รู้สึกตะลึงมาก

ฉินฝู้กุ้ยยิ่งตกใจจนหน้าซีด

ฐานะเบื้องหลังของจ้าวหลินเอ๋อร์ ทุกคนในเหตุการณ์ต่างก็รู้ดี

หยกในกำมือของตระกูลจ้าวผู้โด่งดัง รูปร่างหน้าตาสวยระดับประเทศหลุง สาวงามผู้มีชื่อเสียงแห่งตี้จิง

หญิงสาวผู้เพียบพร้อมระดับนี้ วิ่งตามหลินอิ่งมาถึงเมืองชิงหยูน แต่หลินอิ่ง กลับมีพฤติกรรมเย็นชาขนาดนี้?

และยังทำท่าทางเหินห่างไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย

นี่ต้องเป็นคนที่เคยพบเห็นและผ่านเรื่องราวใหญ่โตมามากแค่ไหน ถึงจะมีกิริยาเรียบเฉยขนาดนี้ได้?

ในใจฉินฝู้กุ้ยรู้สึกทึ่งในตัวหลินอิ่งมาก รู้สึกยกย่อง

หากเปลี่ยนเป็นเขาสมัยหนุ่ม อย่าว่าแต่จ้าวหลินเอ๋อร์เลย

แค่สาวคนหนึ่ง มีฐานะหนึ่งในสิบของจ้าวหลินเอ๋อร์ หรือความงามหนึ่งในสาม เขาก็ไม่สามารถปฏิเสธได้แล้ว

ฉินฝู้กุ้นถอนกายใจในใจ มิน่า ท่านหลินเขาเป็นลูกพี่ใหญ่ เขาก็เป็นได้แค่ลูกน้องเท่านั้น

“หลินอิ่ง คุณ คุณจะรังแกฉันมากเกินไปแล้วนะ”

จ้าวหลินเอ๋อร์กำหมัดไว้แน่น สีหน้าแดงก่ำ ดวงตาคู่สวยกะพริบไม่หยุด โมโหจนยากจะระงับอารมณ์

เธอคิดไม่ถึงเลย ในสถานการณ์ที่คนมากมายขนาดนี้ หลินอิ่งจะไม่ไว้หน้าเธอเลยแม้แต่น้อย

อีกอย่าง พฤติกรรมยังเย็นชาถึงขนาดนี้

เธอจ้าวหลินเอ๋อร์สู้คนอื่นไม่ได้ตรงไหน?

“สิ่งที่ควรพูด ผมพูดไปหมดแล้ว”​ หลินอิ่งพูดอย่างเย็นชา “คุณอย่าคิดว่าคำพูดของผมเป็นเรื่องเด็กเล่น”

“ฉันไม่ยอมออกจากเมืองชินหยูนสักอย่าง คุณจะทำอะไรฉันได้?”

จ้าวหลินเอ๋อร์โกรธจนกระทืบเท้า เดินไปจ้องหน้าหลินอิ่งที่ข้างโต๊ะทำงาน

“อย่าคิดว่าอำนาจของฉันในเมืองตุงไห่จะเล็กกว่าคุณ ผู้ว่าเมืองชิงหยูน ก็ไม่กล้าขัดคำพูดฉัน ข้าราชการชั้นสูงและผู้นำกองทัพทั้งหลายในเมืองตุงไห่ ล้วนเป็นลูกน้องเก่าของปู่ฉัน” จ้าวหลินเอ๋อร์พูดอย่างไม่พอใจ

“ฉันจะที่เมืองชิงหยูน ยังไงก็จะตามติดคุณแบบนี้”

หลินอิ่งสีหน้าเย็นชา มองจ้าวหลินเอ๋อร์ที แล้วหันไปมองฉินฝู้กุ้ย

ฉินฝู้กุ้ยรีบก้มหน้ารอคำสั่ง เหงื่อท่วมหน้าผาก

การทะเลาะของท่านหลินกับจ้าวหลินเอ๋อร์ทั้งสองนี้ เหมือนดั่งเทวดาสู้รบ

เขารู้ดี คำพูดของจ้าวหลินเอ๋อร์ไม่ได้โม้สักคำ

อำนาจของตระกูลจ้าวแห่งตี้จิ่งสูงส่งเช่นนี้จริง

เขาได้เห็นกับตามาแล้ว ผู้นำสูงสุดของเมืองชิงหยูน ต่อหน้าจ้าวหลินเอ๋อร์ก็เคารพนับถืออย่างเกรงใจมาก ไม่กล้าขัดใจแม้แต่น้อย

“ฉินฝู้กุ้ย ก่อนหน้านี้คุณไม่รู้ความจริง ไปช่วยจ้าวหลินเอ๋อร์ทำงาน ผมจะไม่เอาความติดใจเรื่องที่คุณทำ” หลินอิ่งพูดอย่างเรียบเฉย “ตอนนี้ ผมให้โอกาสคุณทำงานถ่ายโทษ เชิญจ้าวหลินเอ๋อร์ออกไปจากเมืองชิงหยูน”

“อีกอย่าง เชิญเสิ่นซานกับเจียงฉีกลับมาควบคุมงานในเมืองชิงหยูน”

พูดจบ หลินอิ่งก็ค่อยๆหลับตา ไม่พูดอะไรอีก

พูดเรื่องเหตุผลกับผู้หญิงเอาแต่ใจ มันไม่มีประโยชน์

โดยเฉพาะ ยังเป็นผู้หญิงที่เกิดในตระกูลมหาอำนาจอย่างจ้าวหลินเอ๋อร์

ในสายตาพวกเขา ตัวเองก็คือจุดศูนย์กลางของโลก โลกต้องหมุนรอบพวกเธอเท่านั้น

เรื่องกักขังตัวเสิ่นซานและเจียงฉี เรื่องที่ทำให้บริษัทของฉีโม่ล้มละลาย

หลินอิ่งไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับจ้าวหลินเอ๋อร์อีก

วันข้างหน้า ไปที่ตระกูลจ้าวแห่งตี้จิง ค่อยคิดบัญชีความแค้นนี้ให้จบในครั้งเดียว

บุญคุณความสัมพันธ์ของคุณปู่กับนายท่านตระกูลจ้าว ก็ถือว่าเคลียร์จบแล้ว

เมื่อได้ยินคำพูดของหลินอิ่งแล้ว ฉินฝู้กุ้ยสีหน้าเคร่งขรึม ทันใดนั้นใบหน้าก็โหดเหี้ยมเคร่งขรึมทันที โบกมืออย่างไม่ลังเล

“เข้ามา”

เสียวฮวั๊ก

ชายชุดดำใบหน้าโหดเหี้ยมสิบกว่าคน ก็ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว มองจ้าวหลินเอ๋อร์และบอดี้การ์ดหญิงสองคนด้วยสีหน้าเย็นชา

นอกประตู ก็มีชายชุดดำสิบกว่าคนเดินเข้ามาในเวลาเดียวกัน ต่างก็ยื่นมือไว้บนกระเป๋าเสื้อ

ทันใดนั้น บรรยากาศเปลี่ยนเป็นพร้อมชักปืนสู้

“พวกแกจะกล้าเกินไปแล้ว กล้าใช้อาวุธต่อหน้าคุณหนู?”

“คุณชายอิ่ง? คุณยังไม่เรียกลูกน้องคุณถอยไปอีก ยังไม่รีบเก็บอาวุธอีก?”

บอดี้การ์ดหญิงทั้งสองที่อยู่ข้างกายจ้าวหลินเอ๋อร์สีหน้าตกใจ ยืนปกป้องจ้าวหลินเอ๋อร์ซ้ายคนขวาคน

จ้าวหลินเอ๋อร์มองไปรอบด้าน แววตาจะลุกเป็นไฟ สูดหายใจเข้าลึกๆ โกรธถึงสุดขีดจนหัวเราะออกมา

“หลินอิ่ง คุณมันช่างมีศักดิ์ศรีจริงๆนะ พาคนมามากมายขนาดนี้ เพื่อจะรังแกผู้หญิงอย่างฉันคนเดียว?” จ้าวหลินเอ๋อร์พูดเย็นชา

“คุณยิงเลย ยิงฉันให้ตายไปเลย”

จ้าวหลินเอ๋อร์ยิ่งคิดยิ่งโมโห ยิ่งไม่พอใจ วิ่งไปยืนอยู่หน้าหลินอิ่ง ท่าทางเสียใจอย่างมาก

“คุณยิงฉันให้ตายไปเลยดีกว่า ให้คนอื่นรู้ว่าคุณชายอิ่งแห่งตี้จิงมีศักดิ์ศรีแค่ไหน โหดเหี้ยมแค่ไหน แม้แต่ภรรยาตัวเองบอกจะฆ่าก็ฆ่า”

จ้าวหลินเอ๋อร์สีหน้าท่าทางเต็มไปด้วยความโกรธไม่พอใจ พูดอยู่หน้าหลินอิ่ง

หลินอิ่งสีหน้าเรียบเฉย ยังคงหลับตา

“หลินเอ๋อร์ พอได้แล้ว”

เวลาเดียวกัน น้ำเสียงอันเคร่งขรึมดังมาจากด้านนอก

จ้าวเฉิงเฉียนพาหม่าผิงชวนและเผยหวูหมิง เดินเข้ามาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

พอเดินเข้าไป จ้าวเฉิงเฉียนก็ดึงตัวจ้าวหลินเอ๋อร์ ดึงตัวจ้าวหลินเอ๋อร์ที่ควบคุมอารมณ์ไม่ได้มายืนข้างๆ

“หลินอิ่ง วันนี้มาโดยไม่ได้รับเชิญ เพราะเหตุจำเป็นจริงๆ” จ้าวเฉิงเฉียนพูดอย่างจริงจัง น้ำเสียงเกรงใจ

“น้องสาวผมอายุยังน้อย เรื่องบางอย่างอาจทำโดยไม่ได้คิด เธอยังเป็นเด็กอยู่ คุณคงไม่ได้ถือสาอะไรกับเธอมากหรอกนะ?” จ้าวเฉิงเฉียนพูดช้าๆ “ไม่ว่ายังไง ด้วยฐานะแล้ว คุณก็ถือว่าเป็นสามีเธอไม่ใช่เหรอ? ยอมๆหน่อยละกัน”

“ไม่ใช่ พี่ พี่มาได้ยังไง? ทำไมพี่ต้องไปเกรงใจหลินอิ่งขนาดนี้?” จ้าวหลินเอ๋อร์พูดอย่างไม่พอใจ

เท่าที่เธอคิดแล้ว พี่ชายเธอจ้าวเฉิงเฉียน เวลาแบบนี้น่าจะสั่งสอนหลินอิ่งถึงจะถูก ทำให้หลินอิ่งไม่กล้าเสียมารยาทอีก

แต่ไม่ใช่มาดึงเธอออก ยังพูดจาเกรงใจแบบนี้กับหลินอิ่ง

“จ้าวเฉิงเฉียน พาจ้าวหลินเอ๋อร์ ออกไปจากตุงไห่เดี๋ยวนี้”

หลินอิ่งค่อยๆลืมตา มองจ้าวเฉิงเฉียนแล้วพูดว่า

“หลินอิ่ง ต่อหน้าพี่ชายฉัน คุณยังกล้าพูดจาอวดดีขนาดนี้? คิดว่าตระกูลจ้าวเราไม่มีคนแล้วเหรอ?” จ้าวหลินเอ๋อร์ถาม

หลินอิ่งหัวเราะ พูดว่า “ในสายตาผม ไม่มีตระกูลจ้าวจริง”

“คุณ” จ้าวหลินเอ๋อร์โมโหจนพูดไม่ออก “พี่ ฟังซิ นี่เขาพูดอะไรของเขา?”

“ช่างเถอะ หลินเอ๋อร์ กลับตี้จิงกับพี่ก่อน คุณปู่หาเธอมีเรื่องจะพูดด้วย” จ้าวเฉิงเฉียนพูดด้วยสีหน้าเอือมระอา

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท