ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 483 คำซุบซิบนินทา

บทที่ 483 คำซุบซิบนินทา

จางเถียนไห่ยิ่งพูดยิ่งได้ใจ ได้ใจอย่างลืมตัว โบกมืออย่างโอหัง เรียกบอดี้การ์ดชุดสูทหลายคนที่เฝ้าหน้าประตู

“หลินอิ่งเอ้ย เมื่อก่อนนายใช้อำนาจเมียนาย อวดดีเหลือเกิน” จางเถียนไห่พูดด้วยสีหน้าหยอกล้อ “ฉันรอวันนี้มานานแล้ว”

ครอบครัวจางฉีโม่เจริญก้าวหน้า ทำให้จางเถียนไห่อิจฉาตาร้อนจนตาจะถลนออกมาแล้ว อิจฉามาก

วันนี้ได้เห็นบริษัทของจางฉีโม่ถูกคนทำให้ล้มละลาย เขาอยากเหยียบย่ำหลินอิ่งมาตลอด ก็ถูกจางฉีโม่ไล่ออกจากบ้าน ความรู้สึกไม่พอใจนั่น เกินจะบรรยาย

“ไอ้นี่มันมาก่อกวนที่บริษัทเรา ช่วยฉันจัดการสั่งสอนมันหน่อย จากนั้นเอาตัวมันไปคุกเข่าหน้าประตูบริษัท เพื่อเป็นการตักเตือน” จางเถียนไห่พูดอย่างโอหัง จ้องหลินอิ่งด้วยสายตาโหดเหี้ยม

พูดไปด้วย บอดี้การ์ดชุดสูทหลายคนที่ยืนอยู่หน้าประตูก็เตรียมตัว เดินเข้ามาหาหลินอิ่ง

หลินอิ่งสีหน้าเรียบเฉย มุมปากยิ้มขึ้นอย่างเย็นชา

เขาไม่เคยคิดเลย ว่าบริษัทเครื่องประดับฉีซื่อที่ตัวเองสร้างขึ้นเพื่อฉีโม่ จะกลายเป็นสภาพนี้

ตัวตลกอะไรก็กระโดดโลดเต้นที่นี่ได้

คุณชายตระกูลโจรับซื้อ? ยังให้จางเถียนไห่พ่อลูกร่วมหุ้นด้วย?

“หลิวจุน เข้ามาทำงาน”

หลินอิ่งพูดอย่างเรียบเฉย ดึงเก้าอี้ตัวหนึ่งออกมา นั่งลงไปอย่างสง่าผ่าเผย จุดบุหรี่มวนหนึ่ง

“ประธานหลิน ผมอยู่นี่ครับ”

หลิวจุนที่ยืนรออยู่หน้าประตู เดินเข้ามาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

เคร้งเคร้ง

กลุ่มบอดี้การ์ดที่จางเถียนไห่เรียกเข้ามา กำลังจะลงมือกับหลินอิ่ง หลิวจุนดึงเก้าอี้ขึ้นมาตัวหนึ่งพุ่งเข้าไป เคร้งคร้างไม่กี่ที ก็ต่อยจนบอดี้การ์ดหลายคนนั้นหัวแตกเลือดอาบ ล้มลงไปร้องโอดโอยบนพื้น

“อ้าก นี่มันอะไรกัน? ทำร้ายคนจนขนาดนี้? พวกเราจะแจ้งความไหม?”

“รีบโทรรายงานประธานจางทั้งสองท่านให้รีบมา เรื่องราวใหญ่โตแล้ว”

พอหลิวจุนลงมือ ก็ทำให้พนักงานธุรการในออฟฟิศตกใจกันทุกคน ต่างก็แสดงอาการสีหน้าตกใจ มองดูบอดี้การ์ดที่เลือดไหลนอนอยู่กับพื้น ก็พากันพูดคุยกันขึ้นมา

“แม่งเอ้ย ยังกล้าพาคนมาหาเรื่องอีก?” จางเถียนไห่ด่าไปประโยคหนึ่ง ด้วยสีหน้าโมโห แล้วรีบไปหลบอยู่ข้างหลังคนอื่น หยิบโทรศัพท์ออกมาโทร

“คุณชายโจ ผมคือจางเถียนไห่ บริษัทเกิดเรื่องแล้ว หลินอิ่งสามีเก่าของจางฉีโม่มาก่อเรื่อง”

“ใช่ ก็คือไอ้ลูกเขยไร้น้ำยาขึ้นชื่อของตระกูลจางเราคนนั้น”

“คุณชายโจ คุณรีบพาคนมา? ครับครับครับ…….”

เพี้ยะ

จางเถียนไห่ยังอยากโทรเรียกคนมาอีก หลิวจุนกระโดดห้ามโต๊ะทำงาน พุ่งเข้ากลุ่มคน ดึงตัวจางเถียงไห่ออกจากกลุ่มคน ตบไปที่หน้าของเขาจนตัวหมุน จนมือถือกระเด็นออกไป

“ไอ้ระยำ ต่อหน้าประธานหลินยังอวดดีไม่จบไม่สิ้น ยังกล้าโทรเรียกคนมา?” หลิวจุนบีบคอของจางเถียนไห่ไว้ พูดอย่างโหดเหี้ยม

“อยากเป็นอริกับท่านหลิน? ในเมืองชิงหยูน แกเรียกใครมาก็ช่วยแกไม่ได้ รู้หรือยัง?” หลิวจุนด่าอย่างเย็นชา ดึงหัวของจางเถียนไห่โยนลงพื้น

“เอื้อกอ้าก แก แม่งเอ้ยแกกล้าทำร้ายฉันเหรอ? พ่อฉันจางหงซวน เบื้องหลังตระกูลฉันเป็นถึงตระกูลโจ แกกล้ามีเรื่องด้วยไหม” จางเถียนไห่ร้องอย่างเจ็บปวด ตะโกนอย่างโมโห

หลิวจุนสะบัดมือตบไปอีกสองครั้ง ตบไปที่หน้าของจางเถียนไห่อย่างแรง รุนแรงมาก ตบไปสองครั้งจนทำให้เขาหน้าบวม แลบลิ้นหายใจหอบเหมือนหมา

ตามนั้น หลิวจุนลากตัวจางเถียนไห่ที่ล้มอยู่กับพื้นเหมือนหมา ลากไปถึงข้างหน้าหลินอิ่ง

“ต่อหน้าท่านหลินพูดจาระวังหน่อย ยังกล้าอวดดีอีก วันนี้ฉันจัดการแกแน่” หลิวจุนพูดอย่างโหดเหี้ยม “ฉันชื่อหลิวจุน กลับไปถามพ่อแกดู ว่าฉันเป็นคนระดับไหนในเมืองชิงหยูน”

พูดไป หลิวจุนก็ถีบไปที่เข่าของจางเถียนไห่ ให้เขาคุกเข่าต่อหน้าหลินอิ่ง

“อะไร? คุณคือหลิวจุน ทำไมคุณถึงเรียกไอ้ไร้น้ำยาหลินอิ่งว่าท่านหลิน?” จางเถียนไห่สีหน้าหวาดกลัว เงยหน้าขึ้น มองหลินอิ่งอย่างไม่อยากเชื่อ

เขาเคยได้ยินชื่อเสียงของหลิวจุน นั่นเป็นหัวหน้าแห่งโลกใต้ดินในตุงไห่ ลูกน้องที่ท่านเสิ่นซานไว้ใจที่สุด อำนาจตำแหน่งในโลกแห่งความมืดเมืองชิงหยูนนั้นสูงมาก

คนสูงส่งขนาดนี้ ทำไมถึงเรียกไอ้ไร้น้ำยาหลินอิ่งนี่ว่าท่านหลิน?

หลินอิ่งค่อยๆดับบุหรี่ในมือ มองจางเถียนไห่ด้วยสีหน้าเรียบเฉย

“จางเถียนไห่ จนถึงวันนี้แล้ว นายยังแยกแยะไม่ถูก ว่านายอยู่ต่อหน้าฉันแล้ว เป็นแค่ตัวอะไร?” หลินอิ่งพูดอย่างเย็นชา

“พ่อนาย จางหงจูน เข้ามามีหุ้นส่วนในบริษัทฉีซื่อได้ยังไง?” หลินอิ่งถามอย่างเย็นชา

“นี่…….”

จางเถียนไห่สมองว่างเปล่า คุกเข่าต่อหน้าหลินอิ่ง รู้สึกอับอายและโมโหอย่างที่สุด

ตอนนี้ เขารู้สึกว่า ท่าทางที่หลินอิ่งแสดงออกมา ไม่ใช่ลูกเขยไร้น้ำยาเกาะเมียกินที่เขาเคยรู้จัก

“ท่านหลินให้นายพูด นายไม่ได้ยินเหรอ?”

เพี๊ยะเพี๊ยะเพี๊ยะ

หลิวจุนดึงหัวของจางเถียนไห่ไว้ ตบลงไปสองครั้งอย่างแรง ตบจนจางเถียนไห่กระอักเลือด

“ผม ผมพูด อย่าตบอีกเลย ตบอีกต้องตายแน่”

จางเถียนไห่คุกเข่าขอร้องอยู่กับพื้น ถูกหลิวจุนตบจนหวาดกลัวไปหมดแล้ว

“หลินอิ่ง ฉันบอกนาย ครอบครัวฉันเป็นหุ้นส่วนของบริษัทเครื่องประดับฉีซื่อ นั่นก็เพราะได้ความช่วยเหลือจากคุณชายตระกูลโจโจผิง” จางเถียนไห่พูด “นายอย่าทำเกินเลยไปนะ ฉันจะบอกนาย ตอนนี้ตระกูลจางของเราติดตามตระกูลโจอยู่ ทำงานภายใต้ตระกูลโจ นายกล้าทำฉัน นั่นก็เท่ากับไม่ไว้หน้าตระกูลโจ”

จางเถียนไห่ใช้ชื่อตระกูลโจ หวังอยากข่มขู่หลินอิ่ง

เท่าที่เขาดูแล้ว หลินอิ่งไม่รู้ใช้ความสัมพันธ์เส้นสายอะไร ถึงได้รู้จักท่านเสิ่นซาน

แต่ว่า ไม่ว่าหลินอิ่งจะแน่แค่ไหน ก็คงไม่กล้าเป็นอริกับตระกูลโจเมืองชิงหยูนหรอก?

“ตระกูลโจ โจผิง? เหอะเหอะ……” หลินอิ่งหัวเราะเย็นชา ส่ายหน้า

ตระกูลโจเมืองชิงหยูน?

ตอนที่เขาช่วยประคับประคองเสิ่นซานให้ขึ้นตำแหน่ง จัดการโจปินของตระกูลโจ ตระกูลโจไม่กล้าพูดสักคำ

ตอนนี้โจผิงโดดออกมา ดูท่าแล้วกล้าไม่เบา

หลินอิ่งรู้ ว่าโจผิงก่อนหน้านี้ถูกจ้าวหลินเอ๋อร์สั่งให้ทำงาน บวกกับเจียงฉีกับเสิ่นซานไม่ได้อยู่ดูแลเมืองชิงหยูน ตระกูลโจนี่ก็ขึ้นมาเหิมเกริมแล้ว

“อีกอย่าง หลินอิ่งฉันจะบอกนาย ช่วงนี้ในแวดวงไฮโซเมืองชิงหยูนต่างก็ลือกันว่า โจผิงกับจางฉีโม่หมั้นหมายกันแล้ว อีกไม่กี่วันทั้งสองคนก็จะจัดงานแต่งแล้ว” จางเถียนไห่พูดเสียงเรียบ “นายวิ่งมาหาเรื่องฉันตอนนี้ ถ้าหากทำให้คุณชายโจเข้าใจผิด นึกว่านายไม่พอใจ นายไม่รอดแน่”

“ข่าวลือในวงไฮโซเมืองชิงหยูน? ใครเป็นคนปล่อยข่าวลือ?” หลินอิ่งมองจางเถียนไห่เย็นชา

“เหอะเหอะ เรื่องนี้แกไม่เคยได้ยินเหรอ? ลือกันไปทั่ว มีเขาสวมอยู่บนหัวนาย ช่วงที่นายไม่อยู่เมืองชิงหยูน จางฉีโม่กับคุณชายโจใกล้ชิดมีความสัมพันธ์กัน ทั้งสองคนขึ้นเตียงกันแล้วด้วย ยังมีคนเคยเห็นทั้งสองคนเข้าห้องนอนพร้อมกัน” จางเถียนไห่พูดด้วยสีหน้าหยอกล้อ แววตาโกรธแค้นและเหยียดหยาม

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท