ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 484 ต่างมองหลินอิ่งผิดไป

บทที่ 484 ต่างมองหลินอิ่งผิดไป

ได้ยินแล้ว สายตาหลินอิ่งเย็นชาทันที ส่อแววอาฆาตที่ทำให้คนรู้สึกหวาดกลัว

ตอนแรกจางเถียนไห่ยังอยากพูดต่อ แต่พอเห็นแววตาของหลินอิ่งแล้ว ก็ขนหัวลุกทันที ร่างกายเย็นเฉียบไปทั้งร่าง

“นี่……หลินอิ่ง คำพูดพวกนี้ ฉันไม่ได้เป็นคนปล่อยข่าวลือ นายอย่ามาหาเรื่องที่ฉัน…….” จางเถียนไห่พูดอ้ำๆอึ้งๆ สีหน้าหวาดกลัวมาก

วันนี้หลินอิ่งดูโหดเหี้ยมมาก

ท่าทางที่แสดงออกมา กดดันเขาจนเกือบหายใจไม่ออก

“ข่าวลือที่ใครเป็นคนปล่อยออกมา?” หลินอิ่งถามด้วยสีหน้าเย็นชา

จางเถียนไห่เหงื่อท่วมหน้าผาก พูดอย่างหวาดกลัว “อันนี้ มัน……น่าจะเป็นคนตระกูลโจปล่อยออกมา ลือกันอย่างเอิกเกริกในแวดวงไฮโซ”

“แต่ว่า เรื่องที่คุณชายโจผิงจะแต่งงานกับจางฉีโม่ คือความจริง ฉันไม่ได้พูดไปเลื่อย” จางเถียนไห่พูด

เขาก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ทั้งๆที่เบื้องหลังตัวเองมีอำนาจของตระกูลโจคอยหนุนหลังอยู่

ทำไมถึงได้กลัวลูกเขยไร้น้ำยาอย่างหลินอิ่ง?

ถึงแม้ว่าหลินอิ่งจะรู้จักหัวหน้าใหญ่ในโลกแห่งความมืดอย่างหลิวจุน นั่นก็สู้ตระกูลโจไม่ได้

“ตระกูลโจอีกแล้ว……เหอะ” แววตาของหลินอิ่งเย็นชาขึ้นเรื่อยๆ

“หลินอิ่ง ปล่อยฉันไปเถอะ ถ้านายไม่อยากมีปัญหากับตระกูลโจ ทางที่ดีปล่อยฉันไป จากนี้ไป ตระกูลโจก็จะไม่ไปหาเรื่องนาย” จางเถียนไห่พูดอย่างทดสอบ

หลินอิ่งค่อยๆลุกขึ้น ยืนมือไขว้หลัง แววตาเคลื่อนไหวเล็กน้อย หันไปมองหลิวจุน

หลิวจุนพยักหน้ารับรู้ ยกมือขึ้นอย่างรวดเร็ว สะบัดมือตบลงไปอย่างแรง

เพี๊ยะ เพี๊ยะ เพี๊ยะ เพี๊ยะ

ตบหน้าลงไปสี่ห้าครั้ง บนหน้าของจางเถียนไห่

“เอื้อก อ้าก”

“อย่าตบอีกเลย หลินอิ่ง ประธานหลิน ที่นี่มันบริษัท มีอะไรก็พูดกันดีๆ ผมบอกคุณไปทุกอย่างแล้ว ไว้หน้าผมหน่อยเถอะ”

จางเถียนไห่ร้องด้วยเสียงโอดโอย ถูกหลิวจุนตบจนกลิ้งอยู่บนพื้น ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำดำเขียว เลือดไหลจากปากไม่หยุด

“แกกล้าพูดเรื่องในครอบครัวของประธานหลินอยู่ข้างนอกไปเรื่อยอีก ไม่ต้องให้ประธานหลินลงมือเอง ฉันจะจัดการแกเอง”

หลิวจุนพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา ทำให้จางเถียนไห่ตกใจตัวสั่น

“ไม่ ต่อไปนี้ผมจะไม่พูดอะไรไปเรื่อยอีก”

จางเถียนไห่จับแก้มที่ถูกตบจนปวด พูดอย่างหดหู่

ใจเขารู้สึกโกรธแค้นมาก รู้สึกถึงความอับอายขายหน้าอย่างที่สุด

ถูกหลินอิ่งลูกเขยไร้น้ำยาที่โดนเขาดูถูกมาตลอดเวลา ต่อหน้าผู้บริหารระดับสูงของบริษัท ตบหน้าอย่างจับหมาตัวหนึ่ง ตบติดต่อกันเกือบยี่สิบสามสามครั้ง

ขายหน้าจริงๆ จากนี้ไปไม่รู้จะเอาไปหน้าที่ไหนมาใช้ชีวิตในสังคมอีก

แต่ว่า ในใจจางเถียนไห่ก็เต็มไปด้วยความสงสัย

ทำไมหลินอิ่งถึงสั่งการหลิวจุนได้

ทำไมหลินอิ่งถึงมีอำนาจใหญ่โตกะทันหันแบบนี้? แม้แต่ตระกูลโจก็ไม่กลัว?

เขาก็แค่คนพึ่งจางฉีโม่ลูกเขยไร้น้ำยาที่เกาะเมียกินคนหนึ่งไม่ใช่เหรอ?

“หลิวจุน โทรหาเสิ่นซาน ให้เขาไปหาโจผิงของตระกูลโจออกมา” หลินอิ่งพูดอย่างเรียบเฉย

“ครับ”

ได้รับคำสั่งของหลินอิ่งแล้ว หลิวจุนก็พูดอย่างเคารพ ถีบจางเถียนไห่ที่อยู่บนพื้นออก จากนั้นก็ตบฝุ่นบนตัวออก หยิบมือถือออกมาโทรศัพท์

“แม่งเอ้ย? บริษัทเกิดอะไรขึ้น?”

“หลินอิ่ง? แกพาคนมาวุ่นวายในบริษัทเหรอ?”

เวลานี้เอง น้ำเสียงที่ตกตะลึงก็ดังขึ้นมา

เห็นเพียง จางหงจุนและจางหงซวนทั้งสองใส่ชุดสูทเดินเข้ามา พร้อมบอดี้การ์ดติดตามหลายคน เข้ามาในออฟฟิศอย่างรีบร้อน

จากนั้น มองเห็นจางเถียนไห่ที่ถูกตอบจนเลือดอาบปากนอนอยู่บนพื้น ทั้งคนก็โมโหขึ้นมาทันที

“ลูก? หลินอิ่งทำร้ายลูกเหรอ?” จางหงซวนโกรธมาก ถามด้วยเสียงเคร่งขรึม

“หวูอ้าก พ่อ มันนั่นแหละ ตอนนี้หลินอิ่งมันเหิมเกริมแล้ว รู้จักกับหลิวจุนของท่านเสิ่นซาน ไม่ได้มีตระกูลเราอยู่ในสายตาเลย พาคนมาหาเรื่องถึงบริษัท” จางเถียนไห่ตะโกนพูดไม่หยุด วิ่งไปยืนข้างจางหงซวน พูดบ่นร้องทุกข์

จางหงซวนมองเห็นสภาพลูกชายแล้ว ความโมโหก็พุ่งขึ้นมา สีหน้าเคร่งขรึมทันที

“หลินอิ่ง แกกล้ามาก แกถูกน้องห้าไล่ออกมาจากบ้านแล้ว ไม่ใช่คนของตระกูลจางเราแล้ว” จางหงซวนพูดอย่างเคร่งขรึม “เมื่อก่อนแกก็อวดดีอยู่แล้ว ฉันเห็นแก่หน้าน้องห้า ยังไม่ได้ทำอะไรแก”

“ตอนนี้ แก้กลับยโสโอหังขนาดนี้ พาคนมาทำร้ายคนถึงบริษัท? ยังทำร้ายลูกชายฉันถึงขนาดนี้?” จางหงซวนพูดอย่างโมโห “แกคิดว่าไอ้ลูกเขยไร้น้ำอย่างแกมันคือตัวอะไร?”

เมื่อก่อนเพราะครอบครัวจางฉีโม่ก้าวหน้าร่ำรวยแล้ว ก็เลยถูกกดดันไว้

วันนี้ครอบครัวจางฉีโม่ล้มละลายแล้ว ไอ้ลูกเขยไร้น้ำยาเกาะเมียกินอย่างหลินอิ่งถูกไล่ออกจากบ้าน ยังกล้ามาทำร้ายคน?

“เหอะ แกไปเอาความกล้าจากไหนมา” จางหงจูนพูดอย่างเย็นชา “หลินอิ่ง เมื่อก่อนเห็นแก่หน้านายท่าน ฉันให้แกกินอยู่ฟรีในตระกูลจาง สองปีนี้แกก็เกาะตระกูลจางกินมาตลอด ปรากฏว่า แกมันไม่รู้จักบุญคุณเลยแม้แต่น้อย กลับมาทำร้ายร่างกายคนของตระกูลจางอีก”

“แกมันงูเห่าเลี้ยงไม่เชื่องจริงๆ” จางหงจูนพูดอย่างเป็นเหตุมีผล สายตามองไปที่หลิวจุน

“หลิวจุน ผมรู้จักคุณ” จางหงจูนค่อยๆพูด “ผมเคยได้ยิน ไอ้ไร้น้ำยาหลินอิ่งมันเคยมีความสัมพันธ์กับคุณหนูตระกูลหวาง คุณเห็นแก่ความสัมพันธ์นี้เหรอถึงได้ช่วยมัน?”

“เอาอย่างนี้ พี่ใหญ่หลิว คุณเรียกราคามาเลย ต้องการเท่าไหร่ ผมให้คุณ” จางหงจูนพูดด้วยท่าทางมั่นใจ “เอาไอ้ไร้น้ำยาหลินอิ่ง ให้ตระกูลจางเราจัดการ นี่เป็นเรื่องขจัดสิ่งเลวร้ายของตระกูลจางเรา”

หลังจากนำตระกูลจางติดตามตระกูลโจแล้ว จางหงจูนสองพี่น้องก็ได้ผลประโยชน์ไม่น้อย ยังได้ส่วนแบ่งจากบริษัทเครื่องประดับฉีซื่อ

พูดจานั้นเต็มไปด้วยความมั่นใจ

เท่าที่เขาสองคนดูแล้ว หลินอิ่งก็แค่ลูกเขยไร้น้ำยาที่ไม่มีหน้าที่การงาน ไม่มีรากฐานอะไรเลย

รู้จักคนมากมายขนาดนี้ มันก็ไม่มีประโยชน์อะไร

“เหอะเหอะเหอะ” หลิวจุนหัวเราะอย่างเย็นชา ไม่ได้สนใจจางหงจูนทั้งสองคน มองไปที่หลินอิ่ง

หลินอิ่งสีหน้าเรียบเฉย มองไปที่จางหงจูนสองคน

“ผมตบหน้าลูกชายคุณจางเถียนไห่ ต้องให้เหตุผลคุณเหรอ?” หลินอิ่งพูดอย่างเย็นชา “ถึงผมจะทำให้คนแก่อย่างพวกคุณสองคนพิการ จำเป็นต้องมีเหตุผลไหม?”

“ถ้าผมไม่ได้เห็นแก่นายท่านจางตี้งติ่ง พวกคุณสองคนเป็นลูกของท่าน ผมเอาคุณถ่วงแม่น้ำชิงหยูนไปนานแล้ว” หลินอิ่งพูดอย่างไม่เกรงใจ

“แก หลินอิ่ง แกลองพูดอีกทีซิ? ช่างไม่มีขื่อมีแป?” จางหงจูนยื่นนิ้วชี้หน้าหลินอิ่งด้วยความโมโห

“จัดการมันสองคนคุกเข่าลง”

หลินอิ่งพูดด้วยเสียงเรียบ

“ครับ”

คำสั่งออกไป หลิวจุนก็หันตัวทันที สีหน้าเย็นชาโหดเหี้ยมสุดขีด

เพี๊ยะ

เพี๊ยะ

ชั่วพริบตา หลิวจุนก็พุ่งเข้าไปตบหน้าไปสองครั้ง ตบไปที่หน้าของจางหงจูนพี่น้อง

ตบจนเขาสองคนตะลึงมึนงงไปทันที ตัวหมุนล้มลงไปกับพื้น

“แก ลูกเขยเข้าบ้านตระกูลจางคนหนึ่ง แกกล้าเรียกคนมาทำร้ายผู้ใหญ่ของตระกูลจาง?”

จางหงจูนมองหลินอิ่งอย่างไม่อยากเชื่อสายตา

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท