ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 487 ไอ้ไร้น้ำยาแกมาทำไม?

บทที่ 487 ไอ้ไร้น้ำยาแกมาทำไม?

“ใช่ ตระกูลจางของพวกคุณนี่มันอะไรกัน? เรื่องใหญ่โตขนาดนี้ จางฉีโม่เจ้าตัวทำไมไม่มา? ไม่ให้เกียรติใครเหรอ? ดูถูกตระกูลโจเราใช่ไหม?”

โจตงก็เปิดปากถาม สีหน้าไม่พอใจอย่างมาก

โจตงและโจยู่ถาน ก่อนหน้านี้หลายครั้งที่ไปหาเรื่องหลินอิ่งและต้องเสียหน้า สำหรับครอบครัวจางฉีโม่แล้วไม่มีความรู้สึกดีอะไร

เท่าที่พวกเขาดูแล้ว มันก็แค่ตระกูลจางอยากเกาะตระกูลโจของพวกเขา

ในใจนั้น ดูถูกตระกูลเล็กๆอย่างตระกูลจางแบบนี้

จางฉีโม่แต่งเข้าตระกูลโจ แต่งงานกับน้องชายที่เก่งที่สุดในรุ่นพวกเขา โจผิง ในงานหมั้นหมายแบบนี้ เจ้าตัวกลับไม่มา? ช่างทำให้เขาดีใจนัก

ก็เป็นแค่ของมือสองที่แต่งงานใหม่ ยังทำตัวเย่อหยิ่งเหรอ?

“นี่……วันนี้ฉีโม่ไม่ค่อยสบาย ก็เลยไม่ได้มา” จางซิ่วเฟิงพูดด้วยสีหน้าไม่ค่อยดี

“ใช่ คุณชายโจ พวกคุณอย่าถือสาเลยนะ ฉีโม่ไม่สบายจริงๆ เรื่องงานหมั้นนี้ พวกเราคนเป็นพ่อแม่ตัดสินใจแทนก็พอ พวกเรามา ก็มีค่าเท่ากัน” ลู่หย่าฮุ่ยรีบช่วยพูดสีหน้ายิ้มแย้ม

“น้องชายผมโจผิงจริงใจขนาดนี้ ลูกสาวพวกคุณแต่งเข้ามาตระกูลโจ แต่เจ้าตัวกลับไม่มา พฤติกรรมแบบนี้ หมายความว่ายังไง?” โจยู่ถานพูดอย่างไม่พอใจ กดดันพวกเขาต่อ

“นี่…….” ลู่หย่าฮุ่ยสีหน้าไม่ค่อยดี สำหรับการหาเรื่องของคนตระกูลโจ ไม่กล้าแสดงความไม่พอใจแม้แต่น้อย

เพราะว่าตระกูลโจอำนาจใหญ่โต ทรัพย์สินมหาศาล

พวกโจยู่ถาน ฐานะตำแหน่งก็สูงกว่าเขาสองผัวเมีย จะมีเรื่องด้วยไม่ได้

“ช่างเถอะ พี่รองอย่าไปถามอีกเลย ในเมื่อฉีโม่ไม่สบาย พวกเราก็ต้องเห็นใจ” โจผิงสีหน้ายิ้มแย้ม ช่วยพูดอย่างสุภาพบุรุษ “คุณป้า ช่วยผมบอกฉีโม่ว่า ให้เขาดูแลสุขภาพดีๆ”

“ได้ได้ได้ ป้าจะบอกฉีโม่ให้เอง คุณชายโจช่างเป็นคนเอาใจใส่ อนาคต ฉีโม่ของเราต้องให้คุณดูแลแล้ว” ลู่หย่าฮุ่ยพูดอย่างยิ้มแย้ม ท่าทางหน้าตาปลื้มปริ่ม

“ฮาฮา แน่นอน อนาคตฉีโม่เข้ามาอยู่ในตระกูลโจ ผมต้องทำให้บริษัทของเธอกลับมาบริหารได้อีกแน่นอน มีชื่อเสียงทั่วเมืองตุงไห่” โจผิงพูดอย่างสง่า

“โอ้โห คุณชายโจช่างเป็นผู้ชายที่ดีจริงๆ ฉันว่าตระกูลจางครั้งนี้ได้รับโชคลาภอันประเสริฐแล้ว สามารถได้เป็นญาติกับตระกูลโจ หาลูกเขยที่ดีอย่างโจผิง”

“จะไม่ใช่ได้ไง เรื่องดีแบบนี้บุญกุศลจากสวรรค์จริงๆ คุณชายโจโจผิง เมื่อเทียบกับลูกเขยไร้น้ำยาหลินอิ่งของตระกูลจางคนก่อน ไม่รู้ว่าดีกว่ากี่เท่า ตระกูลจางไล่หลินอิ่งไป ต้อนรับลูกเขยโจผิงคนนี้ ก็เจริญก้าวหน้าจริงๆแล้ว”

“ใช่ จางฉีโม่แต่งงานรอบสอง คุณชายโจผิงเขายังไม่รังเกียจแม้แต่น้อย วาสนาแบบนี้ เป็นบุญที่จางฉีโม่สะสมมาแต่ชาติปางก่อนจริงๆ”

ตอนนี้ แขกในงานต่างก็พากันสนทนากันอย่างครึกครื้น ชื่นชมโจผิงต่างๆนานา พูดกันอย่างสนุกสนาน

“ทุกท่านชมเกินไปแล้ว ได้แต่งงานกับจางฉีโม่ นั่นเป็นบุญวาสนาของผม” โจผิงพูดอย่างถ่อมตัว ใบหน้ายิ้มแย้ม

“แหม คุณชายโจช่างถ่อมตัวจริงๆ”

“จางซิ่วเฟิงคุณสองคนยังไม่รีบดื่มเหล้าให้ลูกเขยในอนาคตของพวกคุณอีก?”

ฟังคำพูดของแขกในงานแล้ว ลู่หย่าฮุ่ยผัวเมียสีหน้ายิ่งได้ใจ มีความสุขกับความรู้สึกที่ถูกคนชื่นชมแบบนี้มาก

คิดถึงอนาคต ลูกสาวได้แต่งเข้าตระกูลโจแล้ว ฐานะก็สูงส่งขึ้น จะมีคนมีหน้ามีตาในสังคมมากมายขนาดนี้เข้ามาประจบ พวกเขาทั้งสองก็รู้ใจหัวใจเบิกบาน รู้สึกว่าชีวิตเศรษฐีอยู่ไม่ไกลแล้ว

“มา คุณชายโจ ผมดื่มให้คุณหนึ่งแก้ว” จางซิ่วเฟิงพูดอย่างเคร่งขรึม ท่าทางเคารพ

ต่อหน้าคุณชายอย่างโจผิง เขาไม่กล้าวางมาดการเป็นพ่อตาเลยแม้แต่น้อย

“ครับ” โจผิงพยักหน้า ยกแก้วเหล้าขึ้นมากำลังจะดื่ม

“ครึกครื้นกันจริง ตระกูลโจของพวกคุณ จะจัดงานใหญ่อะไรเหรอ?”

เวลาเดี๋ยวกันนั้น น้ำเสียงอันเย็นชาก็ดังขึ้นในงาน

ตรงทางเข้า ชายหนุ่มเสื้อเชิ้ตสีขาวเรียบง่ายคนหนึ่ง พาบอดี้การ์ดหนึ่งคน เดินเข้ามาในงานช้าๆ

หลินอิ่งพาหลิวจุนมาแล้ว

“คนนี้? ลูกเขยไร้น้ำยาของตระกูลจางคนนั้นไม่ใช่เหรอ? เขามาได้ยังไง?”

“ออ? มันก็คือลูกเขยไร้น้ำยาคนนั้น? วันนี้เป็นวันงานหมั้นของจางฉีโม่กับคุณชายโจ โจผิง ทำไมมันยังมีหน้ามีงานแบบนี้อีก? นี่จะมาสร้างความวุ่นวายเหรอเนี่ย?”

“โอ้ย ได้ยินตั้งนานแล้ว ไอ้หลินอิ่งคนนี้ความสามารถอะไรไม่มี รู้แต่เกาะจางฉีโม่กินไปวันๆ ดูท่าแล้วน่าจะโกรธแค้นที่ถูกตระกูลจางไล่ออกจากบ้าน ไม่พอใจแน่นอน”

จากการเข้ามาในงานของหลินอิ่ง แขกในงานต่างก็จำหน้าเขาได้ ต่างพากันมองด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยาม พูดจาเสียดสีต่อหลินอิ่ง

เท่าที่พวกเขาดูแล้ว หลินอิ่งมาเป็นตัวตลกชัดๆ คนไร้ประโยชน์อย่างกับขยะแบบนี้ ยังมีหน้ามาร่วมงานเลี้ยงของคุณชายโจผิงอีก?

“หลินอิ่ง? ไอ้ไร้น้ำยาอย่างแกมาที่นี่ทำไม?”

ลู่หย่าฮุ่ยเห็นหลินอิ่งเข้ามาในงาน ก็แสดงท่าทางรังเกียจ สีหน้ารำคาญ ถามอย่างไม่พอใจ

“หลินอิ่ง แกถูกพวกเราไล่ออกจากบ้านไปตั้งนานแล้ว ไอ้ไร้น้ำยาอย่างแกไม่ใช่ลูกเขยของตระกูลจางเราแล้ว แกมาที่นี่ทำไม? ไม่รู้สึกขายหน้าหรือไง?” จางซิ่วเฟิงพูดอย่างเย็นชา ไม่เกรงใจหลินอิ่งแม้แต่น้อย

หลินอิ่งมองลู่หย่าฮุ่ยสองผัวเมีย ด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่มีอารมณ์ความรู้สึกแม้แต่น้อย

จากนั้น สายตาก็หันไปมองโจผิง

“คุณจะแต่งงานกับจางฉีโม่? ยังจะหมั้นหมาย? เคยถามผมหรือยัง?” หลินอิ่งถามอย่างเย็นชา

น้ำเสียงอันเรียบเฉยของเขา แปร่งประกายราศีความเยือกเย็น ความเย็นชาที่กดดันหัวใจคน

ได้ยินแล้ว โจผิงตะลึงไปครู่หนึ่ง จากนั้นมุมปากก็แสดงท่าทางเหยียดหยาม

“แกคิดว่าแกเป็นใคร? ฉันจะแต่งงานกับจางฉีโม่ ต้องทักทายแกก่อนเหรอ?” โจผิงหัวเราะพูดอย่างเย็นชา

“ฉันได้ยินชื่อหลินอิ่งของแกมานานแล้ว คนมีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนคนหนึ่งเลย” โจผิงพูดอย่างเหยียดหยาม “ทำไม? หลังจากถูกตระกูลจางไล่ออกจากบ้าน เกาะฉีโม่กินไม่ได้แล้ว ก็กลัวจนกระโดดโลดเต้นแล้ว?”

“แกอยากก่อกวน ก็ดูหน่อยว่าที่นี่มันสถานที่อะไร”

โจผิงจับนาฬิกาพกพาในมือเล่นไปมา มองหลินอิ่งด้วยสีหน้าเหยียดหยาม

พูดตามตรง เขาไม่รู้ว่าไอ้ไร้น้ำยาหลินอิ่งมาตระกูลโจต้องการทำอะไร?

ลำพังแค่ขยะไร้น้ำยาอย่างหลินอิ่ง จะมาห้ามเขาแต่งงานกับจางฉีโม่?

“ฉันจะบอกแกให้ละกัน ตระกูลโจของเราไม่ต้อนรับไอ้ไร้น้ำยาอย่างแกมาร่วมงาน แน่นอน เห็นแก่หน้าฉีโม่ รอวันที่ฉันแต่งงาน สามารถให้แกมาดื่มเหล้าได้” โจผิงพูดอย่างใจเย็น “ถ้าหากแกคิดว่าฉันจะแต่งงานกับจางฉีโม่ ส่วนแกไม่พอใจละก็ ถ้าอย่างนั้น ช่วยมองตัวเองด้วยว่ามีความสามารถอะไรมาสู้ฉันได้”

หลินอิ่งหัวเราะเย็นชา

“โจผิง รู้ไหมว่าคุณกำลังทำเรื่องโง่แค่ไหน?”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท