ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 486 หมั้นหมายแต่งงาน?

บทที่ 486 หมั้นหมายแต่งงาน?

คุณชายตระกูลโจ โจผิง เป็นทายาทที่ตระกูลโจเมืองชิงหยูนตั้งใจเลี้ยงดูเป็นพิเศษ หลายปีก่อนไม่ได้อยู่ในแวดวงเมืองชิงหยูน แต่ไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ

หลังจากโจผิงเรียนจบกลับมา ก็ถูกตระกูลโจส่งไปที่ตี้จิง จิงหลิง เมืองก่าง เมืองใหญ่เหล่านี้เพื่อฝึกฝน เพิ่มประสบการณ์การเข้าสังคม เสริมสร้างมนุษยสัมพันธ์

ดังนั้น ในเมืองชิงหยูน โจผิงก็เหมือนดั่งคนในตำนาน

บุคคลนี้ชื่อเสียงโด่งดังในแวดวงสังคมไฮโซ แต่ความจริงแล้วน้อยคนมากที่จะเคยเห็นความสามารถของเขา

ส่วนครั้งนี้ หลังจากโจผิงกลับมาเมืองชิงหยูนแล้ว ประกาศกะทันหันว่าจะแต่งงานกับคนมีชื่อเสียงในวงการเครื่องประดับเมืองตุงไห่ สาวงามแห่งตระกูลจาง จางฉีโม่ สร้างความสะเทือนให้กับวงการไฮโซเป็นอย่างมาก

เพราะว่า จางฉีโม่ก็เป็นคนดังในเมืองชิงหยูนเช่นกัน และยังเป็นหญิงสาวในตำนานคนหนึ่ง

จางฉีโม่เป็นสาวงามผู้มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมานานแล้ว

แต่เธอถูกนายท่านตระกูลจางจัดให้แต่งงานกับเด็กกำพร้าหลินอิ่ง ที่ไร้อำนาจเงินทอง หลินอิ่งแสดงออกมาอย่างไร้ค่า เป็นคนที่ถูกมองเหมือนดั่งขยะ คนไร้น้ำยา

นี่เป็นเรื่องน่าเสียดายของผู้คนมากมายในเมืองชิงหยูน สาวงามที่หายากอย่างจางฉีโม่ ยังมีความสามารถที่หาที่เปรียบไม่ได้ กลับไปแต่งงานกับคนไร้น้ำยาอย่างหลินอิ่ง และแต่งงานกัน สามปีแล้ว เหมือนดั่งดอกฟ้ากับหมาวัด

ช่วงนี้ ได้ข่าวว่าตระกูลจาง ไล่ลูกเขยไร้น้ำยาคนนี้ออกจากตระกูลจางแล้ว ตัดขาดความสัมพันธ์กับหลินอิ่งอย่างสิ้นเชิง

ส่วนจางฉีโม่ แล้วก็คุณชายแห่งตระกูลจางที่อายุน้อยมีความสามารถหมั้นหมายกัน ช่างเป็นเรื่องน่าทึ่งของผู้คน และให้ความสนใจกับการแต่งนี้ครั้งนี้

“ดู นั่นคุณชายโจผิงใช่ไหม? ช่างดูสง่ามีราศีจริงๆ”

“ไม่เสียที่เรียบจบจากต่างประเทศ เห็นอะไรมากมายแล้ว ท่าทางสง่าดูน่ายกย่องจริงๆ ฉันอยู่ในเมืองชิงหยูนยังไม่เคยเห็นคนหนุ่มที่ดูมีราศีขนาดนี้มาก่อน”

ภายในห้องรับรอง ครึกครื้นขึ้นมา แขกที่นั่งในงาน ต่างก็พากันมองไปด้านใน พากันสนทนาขึ้นมา

ประตูห้องด้านใน ชายหนุ่มชุดสูทสีขาว ใส่แว่นขอบทองเดินออกมา เขาผิวพรรณขาว หน้าตาสง่างาม บุคลิกดูแล้วเงียบขรึม เพียงแค่ยายาวไปหน่อย ดูแล้วเจ้าเล่ห์ ในมือจับนาฬิกาพกพาเล่นไปมา

ท่านนี้ ก็คือคุณชายแห่งตระกูลโจ โจผิง และเป็นเจ้าของงานเลี้ยงนี้

“ขอบคุณทุกท่านที่ให้เกียรติผม มาร่วมงานในวันนี้ ขอบพระคุณมาก” โจผิงสีหน้ายิ้มแย้ม ทักทายอย่างเกรงใจ

เขาบนพรมแดงตลอดทาง ทักทายกับแขกทุกคนอย่างเป็นกันเอง ค่อยๆเดินไปถึงข้างที่นั่งเจ้าภาพ

ข้างที่นั่งเจ้าภาพ มีคนนั่งอยู่หลายคน

แบ่งเป็นตัวแทนฝั่งผู้หญิงตระกูลจาง พ่อแม่จางฉีโม่ จางซิ่วเฟิงและลู่หย่าฮุ่ย และคนของตระกูลจางอีกหลายคน โจยู่ถานและโจตงของตระกูลโจ และผู้อาวุโสท่านหนึ่งของโจผิง

เพราะว่าพ่อแม่ของโจผิงขยายกิจการในต่างประเทศ เรื่องแต่งงาน ก็ให้ผู้อาวุโสที่มีตำแหน่งในตระกูลโจเป็นตัวแทนในการเจรจา

อีกอย่าง โจผิงเองก็ไม่ได้ใส่ใจเรื่องพิธีในการจัดงานของงานแต่งครั้งนี้

เพราะว่า โจผิงตัดสินใจแต่งงานกับจางฉีโม่กะทันหัน ไม่ใช่ความหมายของเขาเอง แต่เพื่อหวังผลประโยชน์อื่น

ถ้าหากไม่ใช่ตระกูลจ้าวแห่งตี้จิงไปหาโจผิง ให้เขาไปจัดการเรื่องนี้ ตอนรับผลประโยชน์มหาศาล บางทีเขายังคิดไม่ถึงที่จะไปทำอย่างนี้

“คุณลุง คุณป้า ขอบคุณที่ให้เกียรติมา” โจผิงรักษารอยยิ้มบนหน้า ทักทายกับลู่หย่าฮุ่ยผัวเมีย ดื่มเหล้าเคารพ

พูดไป เขาดื่มเหล้าหมดไปหนึ่งแก้ว แล้วยกแก้วเหล้าขึ้นหันไปในงาน พูดว่า “ทุกท่าน พวกท่านกินดื่มกันตามสบาย ผมยังมีเรื่องต้องคุยกับผู้ใหญ่ทั้งสอง ไม่สะดวกที่จะดูแลทุกท่าน มีเรื่องอะไร ทุกท่านเรียกใช้คนของตระกูลโจเราได้เลย”

“คุณชายโจเกรงใจแล้ว ตระกูลโจมีงานมงคล เชิญพวกเรามาร่วมงาน ก็ถือว่าให้เกียรติพวกเราแล้ว”

“ใช่แล้ว คุณชายโจ คุณเป็นถึงชายหนุ่มผู้ยอดเยี่ยมในเมืองชิงหยูนของเรา ได้เป็นคู่ครองกับจางฉีโม่ นั่นเป็นเรื่องดี กิ่งทองใบหยก เป็นข่าวดีของเมืองชิงหยูนเรา”

“ได้ข่าวว่าเรื่องนี้นายกเทศมนตรีหลี่เป็นแม่สื่อให้ ดีงามมาก ตระกูลจางช่างมีบุญจริงๆ”

แขกในงานทุกคน ต่างก็พูดจาชื่นชม ประจบประแจง

คนมีหน้ามีตาในสังคมแต่ละคนต่างพากันชื่นชม จางซิ่วเฟิงกับลู่หย่าฮุ่ย สีหน้าได้ใจ ท่าทางอิ่มเอิบมีความสุข

คนแก่คนท่านนี้ดูโจผิงอย่างละเอียด ยิ่งดูยิ่งพอใจ สนทนากันเอง พยักหน้าเล็กน้อย

“งานแต่งครั้งนี้สำเร็จแล้ว ก็เป็นโอกาสที่ดีของตระกูลจางเรา”

“ใช่ ฉันว่าโจผิงดีมาก ดีกว่าไอ้ไร้น้ำยาหลินอิ่งนั้นเป็นพันเท่า มีทั้งเงินทั้งอำนาจ เคารพพวกเรา อนาคตลูกสาวอยู่กับเขา ต้องมีความสุขแน่”

ลู่หย่าฮุ่ยและจางซิ่วเฟิงซุบซิบกันเบาๆ สีหน้าพอใจมาก

เท่าที่พวกเขาสองคนดูแล้ว คุณชายตระกูลโจจะแต่งงานกับลูกสาว จางฉีโม่ นั่นเหมือนดั่งของขวัญที่หล่นมาจากสวรรค์

ตอนที่ลูกสาวกำลังอยู่ที่ช่วงลำบาก ตระกูลโจยินดีช่วย นั่นก็คือผู้มีพระคุณ ลูกสาวโชคดีจริงๆ

โดยเฉพาะ คุณชายตระกูลโจ โจผิงเป็นคนรู้กาลเทศะ ช่างเป็นเรื่องที่ดีมาก

“คุณชายโจ เกรงใจเกินไป เรื่องนี้ พวกเราสองคนต้องมาอยู่แล้ว” จางซิ่วเฟิงพูดอย่างเกรงใจ

โจผิงยิ้มไม่พูด หยิบอั่งเปาใหญ่จากกระเป๋าเสื้อออกมาก ด้านในเป็นเอกสารสัญญาเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ ยื่นไปให้ลู่หย่าฮุ่ยสองผัวเมีย

“คุณลุง คุณป้า นี่เป็นคฤหาสน์หลังหนึ่งที่ผมซื้อในวิลล่าหิมะมังกร แล้วก็รถMaresatiที่ผมซื้อให้สองท่าน แล้วก็อำนาจการบริหารรีสอร์ตนอกเมืองแห่งหนึ่ง ท่านทั้งสองว่างไม่มีอะไรทำ ก็สามารถไปใช้ชีวิตอย่างสงบในรีสอร์ตได้”

“ของขวัญเล็กๆน้อยๆ หวังว่าท่านทั้งสองจะรับไว้”

“โอ้โห ของขวัญนี่มันแพงเกินไป”

“ใช่ โจผิง คุณออกมือไม่ธรรมดาแบบนี้ สำหรับลูกสาวของพวกเราแล้ว ช่างมีความจริงใจเหลือเกิน ฉันชื่นชมคุณ”

ลู่หย่าฮุ่ยและจางซิ่วเฟิงยิ้มอย่างดีใจ รับอั่งเปาซองใหญ่มาด้วยรอยยิ้มกว้าง

โจผิงใจป้ำขนาดนี้ ช่างเป็นเรื่องน่าดีใจที่สุดสำหรับพวกเขา นี่เป็นแค่ของขวัญการพบหน้ากันเท่านั้น ถ้าได้จัดงานแต่ง นั่นก็คงเป็นงานอันยิ่งใหญ่แห่งเมืองชิงหยูนแน่นอน

ดูท่าทางรับของขวัญอย่างดีใจของลู่หย่าฮุ่ยสองคนแล้ว โจผิงยิ้มเล็กน้อยที่มุมปาก มีความดูถูกในสายตา

พูดตามตรง สองผัวเมียที่ไม่เคยเห็นโลกแบบนี้ ในใจเขารู้สึกดูถูกอย่างมาก

ถ้าหากไม่ใช่จ้าวหลินเอ๋อร์ คุณหนูจ้าวเป็นคนสั่ง ให้เขาไปแต่งงานกับจางฉีโม่ ยังไงเขาก็ไม่ยอมมีความสัมพันธ์เป็นญาติกับตระกูลเล็กๆแบบนี้

ก่อนหน้านี้ จ้าวหลินเอ๋อร์มาหาโจผิงด้วยตัวเอง มีนายกเทศมนตรีหลี่มาด้วย สถานการณ์ตอนนั้น ทำให้โจผิงตะลึง

โจผิงเคยใช้ชีวิตในตี้จิง รู้ว่าฐานะจ้าวหลินเอ๋อร์สูงส่งแค่ไหน เป็นคุณหนูผู้สูงศักดิ์ที่สุดในประเทศหลุง

ความแตกต่างระหว่างจ้าวหลินเอ๋อร์กับเขา นั้นราวฟ้ากับดิน

จ้าวหลินเอ๋อร์แค่กระดิกนิ้ว ก็สามารถทำให้ตระกูลโจเป็นผงธุลีได้เลย เช่นเดียวกัน คำพูดแค่คำเดียว ก็สามารถทำให้เขาโจผิงเจริญก้าวหน้าได้ ราบรื่นในเมืองชิงหยูน เข้าสู่แวดวงไฮโซตี้จิงได้

จ้าวหลินเอ๋อร์ยอมช่วยเหลือเขาโจผิง ให้เขาไปแต่งงานกับจางฉีโม่ หลังจากเสร็จเรื่องนี้แล้ว จะพาเขาโจผิงเข้าไปรู้จักกับลุงในตระกูลจ้าวแห่งตี้จิง รับโจผิงเป็นลูกบุญธรรม

การได้พึงบารมีแบบนี้ โอกาสแบบก้าวเดียวถึงจุดหมาย โจผิงต้องไม่ยอมพลาดแน่

โดยเฉพาะ หลังจากที่เขาได้เห็นความสวยงามของจางฉีโม่แล้ว ก็รู้สึกดีใจที่โชคดีขนาดนี้ เป็นเหมือนข่าวดีที่หล่นมาจากสวรรค์ รับทำเรื่องนี้อย่างไม่ลังเลเลย

สำหรับเรื่องทำไมจ้าวหลินเอ๋อร์ถึงต้องทำแบบนี้ โจผิงไม่กล้าถาม และไม่กล้าไปสืบ ทำได้แค่ทำตามคำสั่ง

“เอ๋? ครอบครัวพวกคุณเกิดอะไรขึ้น? ทำไมวันนี้จางฉีโม่ไม่มาด้วยตัวเอง? น้องชายผมจริงใจขนาดนี้ งานใหญ่แบบนี้ เขายังไม่มาด้วยตัวเองอีกเหรอ?”

ในเวลาเดียวกัน โจยู่ถานสีหน้าไม่พอใจ มองหน้าลู่หย่าฮุ่ยสองผัวเมียด้วยสีหน้ารำคาญ แล้วถามคำถาม

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท