ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 497 ความผันผวน

บทที่ 497 ความผันผวน

ชีซิงกรุ๊ปในประเทศเกาหลี เกือบจะเทียบเท่าตระกูลราชวงศ์ อำนาจยิ่งใหญ่ล้นฟ้า

พูดถึงเรื่องทรัพย์สิน ประธานเผียวที่อู่ตรงหน้าคนนี้ก็เกินจำนวนล้านล้าน พูดถึงตำแหน่ง ก็สามารถเทียบเท่ากับนายท่านตระกูลสวีได้แล้ว

เผียวจินฮุนมาตี้จิงด้วยตัวเอง ยังมาเงียบขนาดนี้ ทำให้สวีไป๋เห้อยังรู้สึกตะลึง

“ผู้นำสวี เห็นคุณในสภาพนี้แล้ว ผมก็รู้สึกเสียใจ” เผียวจินฮุนมองสวีไป๋เห้อ พูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“เรื่องครั้งที่แล้ว ผมได้ยินแล้ว หลินอิ่งหาเรื่องลูกชายทั้งสองของผม ผู้นำสวีก็เพื่อที่จะออกหน้าแทนลูกชายที่ไม่เอาไหนของผม ถึงต้องลำบาก”

พูดถึงเรื่องนี้ เผียวจินฮุนสีหน้าก็เย็นชาขึ้นมาทันที มีแววอาฆาต

สวีไป๋เห้อยิ่งสีหน้าแดงก่ำ ท่าทางโมโหมาก

หลินอิ่งคนนี้ เขาเกลียดจนอยากจะฆ่าทิ้งทันที

จากเดิมเขาเป็นผู้นำตระกูลที่สง่าผ่าเผย ในตี้จิงเดินไปถึงไหนก็มีแต่คนเคารพนับถือ

ปรากฏว่า กลับถูกหลินอิ่งบีบจนคุกเข่าต่อหน้า ยังถูกทำร้ายจนขาหักจนต้องนั่งรถเข็น ชื่อเสียงที่สะสมมาต้องจบสิ้น

ความแค้นถลำลึก แค้นนี้ต้องชำระ

“แต่ว่า ผู้นำสวี คุณวางใจ ผมมาตี้จิงครั้งนี้ ก็เพื่อที่จะจัดการหลินอิ่งโดยเฉพาะ” เผียวจินฮุนพูดอย่างจริงจัง “เชื่อว่าอีกไม่นาน พวกเราก็สามารถร่วมมือกันจัดการหลินอิ่งได้แล้ว”

สวีไป๋เห้อพยักหน้า พูดว่า “ประธานเผียว หลินอิ่งเป็นศัตรูร่วมกันของเรา จัดการเขา ผมยอมทุ่มเททุกอย่าง สิ่งที่คุณพูดมานั้น มันก็ดูเหมือนคนนอกเกินไป ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลเผียวกับตระกูลสวีของเรา ช่วยเหลือกันมันเป็นเรื่องที่สมควรอยู่แล้ว แต่ไอ้หลินอิ่งของตระกูลฉีนั่น ช่างเกลียดจริงๆ”

“ไม่ทราบว่า ลูกชายทั้งสองของประธานเผียว เป็นยังไงบ้าง?” สวีไป๋เห้อถามอย่างจริงจัง

“พิการแล้ว” เผียวจินฮุนถอนหายใจ “ไอ้ลูกไม่เอาไหนทั้งสองคน พิการไปแล้ว ตอนนี้ผมกำลังปลูกฝังทายาทคนใหม่แล้ว”

ลูกชายสองคนเผียวซิ่วชวนและเผียวจื้อจาง ตั้งแต่ถูกหลินอิ่งทำพิการแล้ว ถูกหักแขนหักขายังเรื่องเล็ก แม้แต่จิตใจก็ถูกทำให้หวาดกลัวไปหมดแล้ว ถูกทำร้ายทำเสียสติไปหมดแล้ว ทุกวันนี้ยังใช้ชีวิตอยู่ในความหวาดกลัวจากหลินอิ่ง กลายเป็นคนพิการไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิงแล้ว

ก็เพราะว่าเห็นสภาพอันทรหดของลูกชายทั้งสองคนทุกวัน ในใจเผียวจินฮุนก็ลุกเป็นไฟ สุดท้ายก็ทนไม่ไหว จนต้องพาคนมาที่ตี้จิงด้วยตัวเอง มาแก้แค้นหลินอิ่งโดยเฉพาะ

“ท่านทั้งสอง ผมเชิญทั้งสองท่านมาเจรจางานใหญ่ ก็เพราะว่า พวกเรามีศัตรูคนเดียวกัน ก็คือหลินอิ่ง” กงจิ่วสีหน้ายิ้มแย้ม พูดอย่างเรียบเฉย

พูดไป กงจิ่วก็เปิดแชมเปญหนึ่งขวด เอาแก้วทรงสูงมาสามใบ เอาแก้วบริการให้พวกเขาสองคน

ทั้งสามคนก็นั่งลงไปตรงโต๊ะใหญ่ มีเพียงสวีไป๋เห้อนั่งอยู่บนรถเข็น

“ประธานเผียว เราสองคนก็เป็นเพื่อนเก่าแก่แล้ว เมื่อก่อนก็ไปมาหาสู่ประจำ คุณน่าจะรู้วิธีการทำงานของผม” กงจิ่วพูดด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย “ผมให้ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับหลินอิ่งฉบับหนึ่ง คุณน่าจะเคยดูแล้วนะ”

“ผมดูแล้ว อำนาจของเด็กหนุ่มหลินอิ่งคนนี้ ไม่ธรรมดาจริงๆ ในประเทศหลุง ลำพังอำนาจของตระกูลเผียวเรายังไม่พอที่จะล้มเขาได้ นี่ก็จำเป็นต้องใช้ความช่วยเหลือของสองท่านแล้ว” เผียวจินฮุนพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

สวีไป๋เห้อขมวดคิ้ว ท่าทางเหมือนอยากพูดอะไร

“น้องไป๋เห้อ ข้อมูลฉบับนี้ ผมก็เอาให้นายท่านตระกูลคุณไปแล้วหนึ่งฉบับ” กงจิ่วพูดอย่างใจเย็น “แต่ว่า นายท่านตระกูลคุณ สำหรับเรื่องจัดการหลินอิ่งแล้ว ดูเหมือนยังไม่ได้ตัดสินใจอย่างเด็ดขาด”

“คุณก็น่าจะรู้ ผมมาหาคุณ เพราะว่าความแค้นที่คุณมีต่อหลินอิ่งมันลึกพอ ที่จะยินดีทำที่วิถีทาง” กงจิ่วพูดอย่างใจเย็น “ครั้งนี้ ขอแค่คุณฟังทำจัดการวางแผนทุกอย่างก็พอ คุณไม่เพียงแค่ได้แก้แค้น ผมยังทำให้คุณฟื้นตัวอีกครั้งได้”

ได้ยินแล้ว สวีไป๋เห้อก็อารมณ์ตื่นเต้น

“คุณกงจิ่ว ผมฟังคำสั่งคุณทุกอย่าง ทุกวันนี้ผมอยู่ตี้จิงก็พอมีอำนาจบ้าง รอฟังคำสั่งจากคุณทุกอย่าง” สวีไป๋เห้อพูดอย่างเคารพ เท่ากับว่าก้มหัวยอมรับตำแหน่งหัวหน้าสำหรับกงจิ่วในกลุ่มนี้แล้ว

เผียวจินฮุนแววตากะพริบ ก็พยักหน้าเล็กน้อย พูดว่า “คุณกงจิ่ว ผมเคยร่วมงานกับคุณ ผมเชื่อในความฉลาดและความสามารถของคุณ”

“ดีมาก ชนแก้ว”

กงจิ่วยิ้มอย่างพอใจ ยกแก้วขึ้นมา ทั้งสามคนก็ชนแก้วดื่ม

เผียวจินฮุนในฐานะของผู้คุมอำนาจของครึ่งประเทศเกาหลี ถึงแม้จะไม่รู้ความสามารถที่แท้จริงของกงจิ่ว แต่ก็รู้ว่ามีสำนักยุทธ์เชียนอยู่เป็นเรื่องธรรมดา

สำนักยุทธ์เชียน เป็นองค์กรขนาดใหญ่หนึ่งในสามของแวดวงลึกลับแห่งต้าเหอที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานของประเทศต้าเหอ ควบคุมบริษัทยักษ์ใหญ่หลายแห่งของต้าเหอ ความสามารถแข็งแกร่ง

เบื้องหลังของกงจิ่วก็คือสำนักยุทธ์เชียน ความสามารถก็ไม่ต้องสงสัย

นอกจากสวีไป๋เห้อ ก็เคยได้ยินยุทธ์เชียนบ้างแล้ว สำหรับกงจิ่วนั้นทั้งกลัวและเคารพ เวลาเดียวกันก็เห็นกงจิ่วเป็นที่พึ่งสุดท้าย

เพราะว่าถ้าไม่ได้รับการช่วยเหลือจากภายนอก เขารู้ดีว่าไม่สามารถแก้แค้นหลินอิ่งได้อยู่แล้ว

“จากการวางแผนของผม ญาติคนเดียวของหลินอิ่ง ฉีเวิ่นติ่ง ได้รับยาพิษอย่างร้ายแรงจากต้าเหอของเราแล้ว” กงจิ่วพูดอย่างใจเย็น “ถ้าผมเกาไม่ผิด ตอนนี้ หลินอิ่งน่าจะอยู่ระหว่างทางกลับตี้จิง”

“ฉีเวิ่นติ่งถูกวางยาพิษ หลินอิ่งต้องใจร้อนจนวุ่นแน่ เวลานี้ ขอแค่เห็นจุดอ่อนของเขา ก็คือวันตายของเขา”

“ฉีเวิ่นติ่งถูกวางยาพิษร้ายแรง? คุณกงจิ่ว คุณนี่ฝีมือดีจริงๆ” สวีไป๋เห้อสีหน้าดีใจ พูดจาชื่นชม

ต้องรู้ว่า ฉีเวิ่นติ่งรักษาตัวอยู่ที่บ้านพักคนชราจื่อหลงซาน ปกติเก็บตัวลึกลับไม่ค่อยออกมา ส่วนกงจิ่วยังสามารถหาโอกาสไปวางยาฉีเวิ่นติ่งได้ เห็นได้ว่าอำนาจลึกลับนั้นแข็งแกร่งขนาดไหน

เผียวจนฮุนพูดว่า “ผมได้รับข่าวสารลับอย่างหนึ่ง ก่อนหน้านี้หลินอิ่งไปที่เมืองก่าง ช่วงนี้เรื่องเอิกเกริกในเมืองก่างที่อภิมหาเศรษฐีเมืองก่างจี้ฉงซานฆ่าตัวตาย ได้ข่าวว่า ถูกหลินอิ่งบีบจนตาย”

“จี้ฉงซานก็เคยมีความสัมพันธ์กับผม นั่นเป็นคนแกที่ฉลาดมากแห่งประเทศหลุง คิดไม่ถึงว่าจะแพ้อย่างย่อยยับในมือของหลินอิ่ง แม้แต่กิจการในมือก็ถูกชำระอย่างสิ้นเชิง” เผียวจินฮุนพูดอย่างเคร่งขรึม “คุณกงจิ่ว ความลึกลับระหว่างนั้น คุณพอจะรู้บ้างไหม?”

กงจิ่วยิ้มเล็กน้อย พูดว่า “พูดตามตรง เรื่องที่หลินอิ่ฆ่าล้างจี้ฉงซาน ผมก็ตะลึงพอสมควร”

“ผมพอจะคาดเดาได้ หลินอิ่งเพราะต้องการช่วยพ่อแก้แค้น จึงไปจัดการกับจี้ฉงซานที่เมืองก่าง เพราะว่าตระกูลเหวินกับจี้ฉงซานมีความสัมพันธ์อย่างลึกซึ้งในที่ลับ” กงจิ่วพูดอย่างใจเย็น “แต่ว่าขั้นตอนระหว่างนั้นมีอะไรบ้าง ผมก็ไม่รู้”

“เสียดาย ผมติดต่อกับคนของตระกูลเหวินไม่ได้ มิฉะนั้น พวกเราก็จะได้เพื่อนร่วมอุดมการณ์อันแข็งแกร่งเพิ่มอีกคน” กงจิ่วพูดเสียงเคร่งขรึม “แต่ก็ไม่เป็นไร หลินอิ่งไปสู้รบกับจี้ฉงซานที่เมืองก่างกลับมา ก็ได้รับความสูญเสียไปไม่น้อย”

“เพื่อที่จะสู้รบกับจี้ฉงซานด้านการเงินที่เมืองก่าง เขาเคลื่อนย้ายเงินมหาศาลจากตี้จิงไป อาณาจักรธุรกิจของเขา ได้เกิดหลุมมหาศาลแล้ว นี่เป็นโอกาสที่ดีของเรา”

“ประธานเผียว วิธีการด้านธุรกิจ คุณถนัดที่สุด” กงจิ่วพูดอย่างจริงจัง “เชื่อว่าจากความสามารถของคุณ จะทำให้หลินอิ่งล้มละลายจากอาณาจักรธุรกิจตี้จิง เป็นเรื่องง่ายดายมาก”

“ส่วนด้านอื่นๆ ผมกับน้องไป๋เห้อ จะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยเอง”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท