ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 494 ข่าวด่วนจากตี้จิง

บทที่ 494 ข่าวด่วนจากตี้จิง

“ลูก ในสมองลูกมันใส่อะไรไปบ้าง? อะไรคือคนที่อยู่คนละโลก?” ลู่หย่าฮุ่ยรีบพูดขัด ไม่สนใจความรู้สึกของจางฉีโม่เลย “ไม่ว่ายังไง ลูกเรียกหลินอิ่งกลับมาก็แล้วกัน ครอบครัวเราจะปล่อยลูกเขยมหาเศรษฐีคนนี้ไปไม่ได้”

“แม่ ถ้าทำแบบนี้แล้วมันทำให้หนูรู้สึกสะอิดสะเอียน” จางฉีโม่พูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ครั้งที่แล้วเรื่องที่หลินอิ่งอยู่กับผู้หญิงผมทองคนนั้นที่เมืองก่าง ยังพูดไม่ชัดเจนเลย ตอนนี้แม่ก็เปลี่ยนไปคนละหน้าเลย ทำอย่างนี้มันดีจริงเหรอ”

ลู่หย่าฮุ่ยพูด “นั่นมันจะเป็นไรไป? ในเมื่อหลินอิ่งมีเงินมีอำนาจขนาดนี้ ถึงจะมีผู้หญิงอยู่ข้างนอกหน่อยก็ไม่เห็นจะเป็นไรเลย? ยังไงลูกก็เป็นเมียแต่ง”

“ครั้งนี้ หนูฟังแม่ก็ถูกแล้ว” ลู่หย่าฮุ่ยรีบพูดจูงใจ

หลังจากได้รู้ถึงอำนาจทรัพย์สินของหลินอิ่งแล้ว ลู่หย่าฮุ่ยพลิกผันอคติทุกอย่างที่เคยมีต่อหลินอิ่งทั้งหมด

“เห้อ”

จางฉีโม่ถอนหายใจ ไม่ได้พูด

เธอรู้ว่าแม่เธอคิดอะไรอยู่ ก็เพราะเห็นแก่อำนาจและทรัพย์สินของหลินอิ่ง

แม่เธอไม่ได้ใส่ใจเลยแม้แต่น้อยว่าหลินอิ่งเป็นคนยังไง

จนถึงขั้น ในสายตาแม่เธอ มีเพียงเงินและอำนาจเท่านั้น จะเป็นหลินอิ่งก็ดี โจผิงก็ได้ เธอไม่ได้ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย

ทัศนคติแบบนี้ จางฉีโม่รู้สึกว่าเข้ากับเธอไม่ได้เลยแม้แต่น้อย

“พอแล้ว ลูก เมื่อก่อนแม่ผิดเอง ไม่ควรแยกลูกกับหลินอิ่ง ตอนนี้มันไม่ใช่เวลาที่ลูกจะมาใช้อารมณ์ ตอนนี้ที่บ้านกำลังลำบาก ลูกจะเอาแต่ใจไม่ได้” ลู่หย่าฮุ่ยพูดวางแผนให้ “ลูกต้องรู้ไว้ ผู้ชายมันปลอบง่าย ลูกไปโทรหาหลินอิ่งเอง เขาจะไม่รับเหรอ? จะไม่ยอมมาดีๆเหรอ?”

“ลูกจะปล่อยหลินอิ่งเย็นชาต่อไปไม่ได้ ผ่านไปอีกสักพัก ผู้ชายเจ้าชู้แบบนี้ ก็อาจจะเปลี่ยนใจก็ได้ แล้วไปชอบคนอื่น ลูกต้องรักษาโอกาสไว้ดีๆ”

ลู่หย่าฮุ่ยพยายามพูดโน้มน้าวไม่หยุด

ตอนนี้เธอตัดสินใจแน่นอนแล้ว ไม่ว่ายังไง ก็จะจับหลินอิ่งไว้ในตระกูลจางให้ได้

จางฉีโม่หมกมุ่นอยู่กับความในใจ คิดอะไรบางอย่าง ไม่ได้แสดงอาการใดๆ

“ซิ่วเฟิง คุณก็พูดกับลูกสาวหน่อยซิ เวลาแบบนี้จะใช้อารมณ์ไม่ได้” ลู่หย่าฮุ่ยพูดอย่างใจร้อน “คุณดูตระกูลโจ หลินอิ่งพูดแค่คำเดียวก็ราบคาบไปแล้ว แม้แต่เสิ่นซานกับเจียงฉีก็เป็นลูกน้องของเขา คนระดับนี้ ชีวิตนี้ลูกสาวจะได้เจออีกไหม?”

“คุณ…..เห้อ” จางซิ่วเฟิงถอนหายใจ สีหน้าไม่ดี “เรื่องแบบนี้ ก็แล้วแต่ลูกสาวเถอะ ผมไม่ยุ่งแล้ว”

เมื่อก่อนด่าว่าหลินอิ่งอยู่บ่อยครั้ง ปรากฏว่าหลินอิ่งเป็นคนเก่งขนาดนี้ จางซิ่วเฟิงก็รู้สึกขายหน้าจนไม่มีชิ้นดีแล้ว

ยังจะไปเชิญหลินอิ่งกลับมาด้วยตัวเอง จางซิ่งเฟิงรู้ตัวเองว่าทำเรื่องแบบนี้ไม่ได้

เขายังพอมียางอายอยู่

“หลี่ผู คุณเป็นพ่อบ้านที่หลินอิ่งจ้างมา คุณเรียกเขาคุณชายตลอด ดูแล้ว คุณต้องรู้ฐานะของเขาตั้งนานแล้ว?” ลู่หย่าฮุ่ยหันไปมองหลี่ผูที่ยืนนิ่งอยู่ด้านข้าง

หลี่ผูสีหน้านิ่งเฉย พูดอย่างเรียบเฉย “ฐานะของคุณชายผม คุณดูไม่ออก ก็ต้องโทษที่แง่มุมของต่ำเกินไป”

พูดตลกอะไร

ครั้งแรกที่หลี่ผูตามคุณชายมาที่คฤหาสน์วิลล่าหิมะมังกร ก็เห็นลู่หย่าฮุ่ยทิ้งเฟอร์นิเจอร์โบราณอันมีค่าที่คุณชายซื้อ

ตอนนั้น เขาก็ดูออกแล้ว ลู่หย่าฮุ่ยคนนี้ ก็เป็นแค่ผู้หญิงไร้การศึกษาที่สายตาคับแคบ

คนแบบนี้ ไม่รู้ทำไมถึงมีลูกสาวที่ดีอย่างคุณนายน้อย

หรืออาจจะเป็นเพราะคุณนายน้อยถูกนายท่านจางเวิ่นติ่งสอนมาตั้งแต่เด็ก เคยเรียนและเปิดหูเปิดตาในมหาลัยตี้จิง

หากเป็นเหมือนอย่างลู่หย่าฮุ่ย เช่นนั้นคุณชายก็เลือกคู่ครองผิดแล้ว

ลู่หย่าฮุ่ยขมวดคิ้วเล็กน้อย กำลังจะต่อว่าหลี่ผู แต่พอคิดถึงอำนาจที่หลินอิ่งแสดงออกมาวันนั้น ในใจก็รู้สึกกังวล

“หลี่ผู คุณไปพูดกับคุณชายของคุณหน่อย เมื่อก่อนเป็นแค่เรื่องเข้าใจผิด ต่างก็เป็นครอบครัวเดียวกัน จะไปมีความแค้นข้ามคืนที่ไหน? บอกเขาว่าอย่าใส่ใจ ถ้าไม่ได้จริงๆ พวกเราสองคน จัดโต๊ะเหล้าเลี้ยงเขา” ลู่หย่าฮุ้ยพูด

หลี่ผูมุมปากยิ้มอย่างเย็นชา ส่ายหัว ไม่ได้พูดอะไร

หากรู้วันนี้ อดีตจะทำเช่นนั้นทำไม?

เรื่องของคุณชาย เขาหลี่ผูไม่กล้าก้าวก่าย

เขาอยู่ที่วิลล่าหิมะมังกร หน้าที่เดียวก็คือปกป้องคุณนายน้อย

“แม่ เลิกพูดได้แล้ว หนูมีการตัดสินใจของตัวเอง” จางฉีโม่พูดอย่างจริงจัง ทนฟังต่อไปไม่ไหวแล้ว

พูดไป จางฉีโม่ก็ลุกขึ้นเดินกลับห้องนอนตัวเอง

ติ้งต่อง

เวลาเดียวกัน กริ่งประตูคฤหาสน์ดังขึ้น

หลี่ผูเดินออกไปด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เปิดประตู ก็มองเห็นนอกรั้ว มีเห็นรถRolls-Royceจอดอยู่

หลินอิ่งพาเสิ่นซานมาด้วย ยืนอยู่หน้าประตู

“คุณชาย” หลี่ผูเรียกอย่างเคารพ

“บอกฉีโม่ว่า ผมกลับมาแล้ว” หลินอิ่งพูดอย่างจริงจัง

“ครับ คุณชาย” หลี่ผูพยักหน้าอย่างเคารพ จากนั้นก็หมุนตัว

“คุณนายน้อย คุณชายกลับมาแล้ว คุณชายอยากพบคุณ” หลี่ผูพูดอย่างจริงจัง

ลู่หย่าฮุ่ยผัวเมียมองหน้ากัน สีหน้าแปลกใจ ไม่ได้พูดอะไร

พวกเขาสองคน ไม่กล้าเผชิญหน้ากับหลินอิ่งแล้ว

หลินอิ่งในวันนี้ ไม่เหมือนเดิมแล้ว ราศีอันแข็งแกร่งนั้น ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขากล้าไปเผชิญหน้า

ถ้าหากไม่ใช่เพราะความสัมพันธ์ของลูกสาวกับหลินอิ่ง ลำพังครอบครัวพวกเขา แม้แต่พบหน้าหลินอิ่งยังไม่มีสิทธิ์

“พ่อบ้านหลี่ ต่อไปนี้ไม่ต้องเรียกฉันว่าคุณนายน้อยแล้ว” จางฉีโม่เดินออกมาจากห้อง พูดอย่างจริงจัง “ฉันไม่มีความสัมพันธ์อะไรกับหลินอิ่งแล้ว ต่อจากนี้ คุณก็ทำงานอยู่ข้างกายหลินอิ่งก็พอ”

“คุณให้หลินอิ่งกลับไปเถอะ”

จางฉีโม่สีหน้าวุ่นวายใจ ใจเต้นตุ๊บตั๊บ กัดฟันและฝืนใจจนพูดประโยชน์นี้จบ

อารมณ์ความรู้สึกของเธอวุ่นวายไปหมด

ในใจของเธอนั้นรู้สึกเสียดาย แต่ก็ไม่แน่ใจว่าหลินอิ่งยังชอบตัวเองอยู่ไหม และสงสัยหลินอิ่งกับสาวผมทองคนนั้น ว่ามีความสัมพันธ์อะไรกันหรือไม่

จุดที่สำคัญที่สุด

ในใจของเธอ เธอกับหลินอิ่งไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันแล้ว ระดับของเธอ ไม่คู่ควรกับหลินอิ่ง

จางฉีโม่เป็นผู้หญิงที่แข็งแกร่ง

ถ้าหากหลินอิ่งรักเธอจริงก็ยังดี สามารถทดแทนความไม่เท่าเทียมกันทั้งหมดได้

แต่ว่า เรื่องที่หลินอิ่งไปยุ่งเกี่ยวกับผู้หญิงอื่นนอกบ้าน ความสัมพันธ์ไม่ชัดเจน ทำลายความเท่าเทียมนี้หมดแล้ว

จางฉีโม่ไม่อนุญาต ให้ตัวเองไปเป็นตัวถ่วงของหลินอิ่ง สำหรับอนาคต ถูกหลินอิ่งรังเกียจหรือทิ้ง…….

หลี่ผูสีหน้าเคร่งเครียด หันตัวเดินออกไปหน้าประตูคฤหาสน์ บอกต่อคำพูดของจางฉีโม่

“หลี่ผู บอกฉีโม่ว่าอย่าเข้าใจผิดในเรื่องบางอย่าง ผมจะอธิบายให้เธอฟังทุกอย่างเอง” หลินอิ่งพูดอย่างจริงจัง

เสียงของเขาดังมาก จางฉีโม่ที่อยู่ในคฤหาสน์ ได้ยินทุกอย่าง

ได้ยินเสียงของหลินอิ่ง ความรู้สึกของจางฉีโม่ก็หวั่นไหว สีหน้าดูซับซ้อนมาก

“ฉันไม่อยากฟังคำอธิบายของเขา ฉันอย่างอยู่เงียบๆสักพัก คุณบอกหลินอิ่ง ว่าไม่ต้องมาหาฉันอีก……” จางฉีโม่พูดด้วยเสียงเบา ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความไม่แน่ใจ ไม่มั่นใจ

หลี่ผูเดินออกมาจากคฤหาสน์ บอกต่อคำพูดทั้งหมด

“คุณชาย หลังจากที่คุณนายน้อยรู้ฐานะของท่านแล้ว ความคิดของเธอ เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด……คุณนายน้อย เธอไม่ใช่ผู้หญิงทั่วไป” หลี่ผูพูดอย่างจริงจัง

หลินอิ่งมองไปในคฤหาสน์ ค่อยๆหลับตา สีหน้าเคร่งเครียด

ติ๊ดติ๊ด

ขณะเดียวกัน มือถือล็อกรหัสของหลินอิ่งดังขึ้น

เขากดรับสาย

“ฮัลโหล ท่านอิ่ง ยุ่งอยู่ไหมครับ? ทางตี้จิงมีปัญหานิดหน่อย ทางด้านนายท่านฉี เมื่อครู่อาการป่วยกำเริบ ตอนนี้ส่งไปที่โรงพยาบาลทหารแล้ว ก่อนที่ท่านจะสลบ ให้ผมแจ้งกับท่าน ให้ท่านกลับมาตี้จิงมาดูท่าน”

ในโทรศัพท์ เป็นเสียงของหยูจื๋อเฉิงที่พูดอย่างรีบร้อน

สีหน้าของหลินอิ่งเปลี่ยนเล็กน้อย

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท