ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 499 ตรวจสอบอาการป่วยให้ชัดเจน

บทที่ 499 ตรวจสอบอาการป่วยให้ชัดเจน

“หยูจื๋อเฉิง เรื่องในเขตหัวหยางยังไม่ต้องสนใจ คุณสืบดูว่าถังฮุยอยู่ไหน จับตาดูคนของชีซิงกรุ๊ปในตี้จิงไว้ แล้วก็บริษัทยามาโตะหยิงหวา” หลินอิ่งสั่งด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

ในใจเขาพอจะคาดเดาออกแล้ว ว่าใครเป็นคนควบคุมทุกอย่างอยู่เบื้องหลัง

“ครับ” หยูจื๋อเฉิงพยักหน้าจริงจัง

หลินอิ่งใช้นิ้วเคาะที่เข่าเบาๆ หลับตาครุ่นคิด

ดูจากสถานการณ์ความเคลื่อนไหวแล้ว ตระกูลสวี ชีซิงกรุ๊ป บริษัทยามาโตะหยิงหวาปฏิบัติการพร้อมกันหมด

อำนาจทั้งสามฝ่าย บางทีอาจจะมีความสัมพันธ์กันลับหลัง

สำหรับตัวเขาแล้ว จะรับมือกับตระกูลสวีหรือชีซิงกรุ๊ป ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร

แต่บริษัทยามาโตะหยิงหวาที่ลึกลับนั้น ตอนนั้นคนที่ควบคุมตระกูลนิ่งอยู่เบื้องหลังนั้น ควบคุมตระกูลนิ่งที่ใหญ่โตอย่างกงจิ่วผู้ลึกลับ อาจจะเป็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่ง

สิ่งที่สำคัญที่สุด คือวันนี้คุณปู่ป่วยกะทันหัน นี่เป็นเรื่องค่อนข้างยุ่งยาก ส่งผลต่อสภาพจิตใจหลินอิ่ง

ถ้าหากคุณปู่ต้องตาย เขาต้องให้ตระกูลสวีถูกฝังไปด้วย

แต่ว่าฆ่าตระกูลสวีหมดตระกูล ก็เอาชีวิตคุณปู่คืนมาไม่ได้

ระหว่างที่คิด รถก็ขับมาถึงป้อมยามตรงข้ามถนนอย่างไม่รู้ตัว

มองไปที่ไกลนั่น ก็คือจื่อหลงซานโรงพยาบาลที่คุณปู่พักฟื้นอยู่

“ขับเข้าไป” หลินอิ่งสั่ง หยูจื๋อเฉิงสีหน้าเคลื่อนไหวเล็กน้อย ขับรถเข้าไปในฝั่งป้อมยาม

หลินอิ่งหยิบบัตรสีเงินออกจากกระเป๋าเสื้อ ยื่นออกไป

ชายหนุ่มในชุดทหารพร้อมอาวุธ มองบัตรแล้วสีหน้าตกใจ รีบก้มหน้าเคารพ

จากนั้น รั้วกั้นก็ยกขึ้น รถขับเข้าไป

หลังจากรถขับเข้าไปแล้ว สมาชิกกองพิเศษเว่ยอันที่อยู่เวร ต่างก็แสดงแววตาตกใจ มองทะเบียนรถอีกครั้ง

ใบหน้าของทุกคน ต่างก็แสดงสีหน้าตะลึง

“เมื่อครู่เป็นรถของใคร? ผู้นำจากสภาประเทศเหรอ? ทำไมถึงขับเข้าไปได้?”

ตั้งแต่พวกเขาเริ่มมาอยู่เวร ยังไม่เคยได้เห็น รถทะเบียนส่วนตัว ขับเข้าไปในจื่อหลงซานได้

พูดได้ว่า ในตี้จิงนอกจากผู้นำรัฐบาล ก็มีไม่กี่คนที่นั่งรถเข้าไปในจื่อหลงซานได้

เด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ในรถคนนั้นฐานะอะไรกันแน่? ถึงได้มีสิทธิ์ใหญ่โตขนาดนี้?

“เลิกมองได้แล้ว ในตำแหน่งพิเศษนี้ ไม่ใช่เรื่องที่พวกนายต้องสงสัย ก็อย่าไปสงสัย”

น้ำเสียงอันเคร่งขรึมดังขึ้น ชายชุดดำที่มีตรายศบนไหล่เดินเข้ามา สีหน้าเคร่งเครียดมองไปที่ไกล ก็คือหัวหน้าหน่อยในจื่อหลงซาน

หัวหน้าหน่วยถอนหายใจเบาๆ มองไปทางด้านที่รถหลินอิ่งขับไป

สิบนาทีผ่านไป

จื่อหลงซาน สถานพยาบาลทหารหมายเลข 2

หลินอิ่งเดินเข้าไปในบ้านพักคนชราคนเดียว บนทางเดินยาวนั้นมีชายหนุ่มร่างกายแข็งแกร่งยืนเรียงกันเป็นแถว

หลังจากพนักงานตรวจสอบหลักฐานของหลินอิ่งแล้ว ถึงปล่อยให้เข้าไป

มาถึงชั้นสอง ภายในห้องผู้ป่วยอาการหนัก มีหมอในเสื้อคลุมสีขาวเดินไปมา

หลินอิ่งสีหน้าเคร่งเครียด มองทะลุผ่านกระจก สามารถมองเห็นคนแก่ผมขาวท่านหนึ่งที่นอนอยู่บนเตียง สีหน้าอ่อนเพลีย อยู่ในอาการสลบ ให้ออกซิเจนอยู่

คุณปู่ของเขาเอง สีหน้าดูอ่อนเพลียมาก

นี่ทำให้หลินอิ่งเป็นห่วง เวลาเดียวกันในใจก็รู้สึกโมโห

“หัวหน้าหลิน ขอโทษด้วย เหตุการณ์ในครั้งนี้ เป็นความละเลยในหน้าที่ผมเอง ผมผิดสมควรตาย”

เวลานี้ เป็นเสียงที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด

หัวหน้าหน่อยในชุดพร้อม เดินเข้ามา ยืนตรงอยู่หน้าหลินอิ่ง ก้มหัวเล็กน้อย

บนใบหน้าของเขา เต็มไปด้วยความเสียใจ

หัวหน้าหลินกำชับหลายครั้งว่าให้เขาดูแลสุขภาพความปลอดภัยของนายท่าน ปรากฏว่ากลับเกิดอุบัติเหตุครั้งนี้ ทำให้ขายหน้าอย่างสิ้นเชิง

หลินอิ่งมองไปที่หัวหน้าหน่วยอย่างเรียบเฉย พูดว่า “ไม่ต้องพูดคำพูดที่ไม่มีประโยชน์เหล่านี้ เรื่องนี้ผมไม่โทษคุณ เงยหน้าขึ้น ผมขอถามคุณ ช่วงที่ผมไม่อยู่ตี้จิง นายท่านได้ออกจากจื่อหลงซานหรือเปล่า?”​

หัวหน้าเงยหน้าขึ้น สีหน้าลังเล คิดไปครู่หนึ่ง พูดว่า “สองอาทิตย์ก่อน นายท่านฉีบอกอยากออกไปสูดอากาศ ออกไปภูเขาโจวเทียนครั้งหนึ่ง ตอนนั้นมีสมาชิกกองพิเศษเว่ยอันติดตามไปด้วย นอกจากนี้ นายท่านก็พักฟื้นอยู่แต่ในเขตสถานพยาบาล”

“หัวหน้าหลิน ท่านสงสัยว่า? เรื่องนี้มีข้อสงสัย?” หัวหน้าถามด้วยสีหน้าสงสัย

เรื่องนี้ ไม่ใช่หัวหน้าไม่เคยสงสัยว่าเป็นการกระทำของคน แต่ว่าเขาไม่กล้าคิดไปด้านนั้น ไม่กล้ามั่นใจ เพราะว่าเรื่องมันใหญ่โตเกินไป

ฐานะของนายท่านฉีเวิ่นติ่ง สำคัญมากอยู่แล้ว บวกกับ หัวหน้าหลินเป็นผู้บัญชาการทหารกิตติมศักดิ์ และยังเป็นคนที่ผู้นำสูงสุดให้ความสำคัญเป็นพิเศษ ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ มันสำคัญเกินไป

“มิน่า” หลินอิ่งพึมพำ ในใจเริ่มรู้แล้ว

ระบบความปลอดภัยในจื่อหลงซาน สูงสุดในประเทศหลุงแน่นอน ไม่มีใครกล้าทำอะไรไม่ดีแน่

นายท่านต้องโดนลอบทำร้ายจากการออกไปข้างนอกครั้งที่แล้วแน่นอน

“คุณไปเตรียมตัวหน่อย ผมต้องการดูอาการป่วยของนายท่านด้วยตัวเอง” หลินอิ่งพูดสั่งอย่างจริงจัง

“ครับ ผมจะให้ศูนย์พยาบาลเตรียมตัวเดี๋ยวนี้” หัวหน้าพูดอย่างจริงจัง

พูดไป หัวหน้าก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา กดเบอร์โทรออก

หยุดไปครู่หนึ่ง หัวหน้าก็พูดต่อ “หัวหน้าหลิน มีเรื่องหนึ่งต้องรายงานท่าน สองวันก่อน ผู้บัญชาการสูงสุดมาเยี่ยมนายท่านด้วยตัวเอง”

หลินอิ่งมองหัวหน้าพูดว่า “ไม่ได้มีอย่างอื่น?”

หัวหน้าสีหน้าลังเล พูดว่า “ผู้บัญชาการสูงสุดยังเคยหานายท่านเพื่อคุยธุระครั้งหนึ่ง ยังคงเป็นความหมายเดิม ท่านน่าจะรู้ดี”

“แน่นอน ครั้งนี้นายท่านป่วยหนัก ผู้บัญชาการสูงสุดปฏิบัติเช่นเดิม มาเยี่ยมผู้นำเก่า ผมเองก็กล้าคาดเดาความคิดของผู้บัญชาการสูงสุด”

หัวหน้าพูด “หัวหน้าหลิน ผู้บัญชาการสูงสุดทิ้งคำพูดไว้ เรื่องของนายท่าน หากท่านต้องการตรวจสอบ สามารถหาผู้บัญชาการได้ตลอด”

หลินอิ่งสีหน้าเรียบเฉย พูดว่า “ช่วยผมขอบคุณผู้บัญชาการสูงสุดด้วย ให้ท่านไม่ต้องห่วง”

“ถ้าหากแม้แต่เรื่องในครอบครัวยังจัดการไม่ได้ ผมก็ทำให้ผู้บัญชาการผิดหลังแล้ว”

พูดจบ หลินอิ่งก็ไม่ได้พูดอะไรอีก หันตัวเดินไปทางห้องผู้ป่วยนายท่าน

หัวหน้าพยักหน้าอย่างเคารพ เดินไปเฝ้าหน้าห้องผู้ป่วย

มาถึงห้องผู้ป่วย หลินอิ่งยื่นมือไปจับข้อมือฉีเวิ่นติ่ง

หลี่ผูก็ตามเข้าไป มองฉีเวิ่นติ่งด้วยสีหน้าเสียใจ

“คุณชาย ร่างกายนายท่านแข็งแรงมาตลอด ทำไมถึงได้อ่อนเพลียถึงขนาดนี้ สลบครั้งที่แล้ว นายท่านก็ไม่ได้เป็นถึงขนาดนี้” หลี่ผูถอนหายใจพูด

หลี่ผูเป็นพ่อบ้านอยู่ที่ตระกูลฉีมาหลายสิบปี ในอดีต เขาเป็นทหารที่อยู่ภายใต้การดูแลของนายท่านฉี นายท่านฉีสำหรับเขานั้นมีบุญคุณมหาศาล

หลินอิ่งจับชีพจรสีหน้าเคร่งเครียด ผ่านไปสักพัก ดึงมือกลับ แล้วหยิบกล่อมเข็มเงินที่เตรียมพร้อมไว้ในกระเป๋า หยิบเข็มที่สั้นยาวไม่เท่ากันออกมา

ฝีมืออันถนัด ฝังเข็มลงไปที่หน้าอกและหน้าท้องของฉีเวิ่นติ่ง จากนั้นก็เก็บเข็มกลับ

“รบกวนแล้ว”

หลินอิ่งพึมพำเอง ในมือจับเข็มเงินไว้ด้ามหนึ่ง มีสีเรืองแสงเล็กน้อย

จากทักษะทางการแพทย์ของเขา สามารถตัดสินอาการของนายท่านได้แล้ว นี่เป็นการได้รับพิษที่หายาก

“เป็นอะไร? คุณชาย อาการป่วยของนายท่านรักษาได้ไหม?” หลี่ผูถามอย่างเป็นห่วง

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท