ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 502 มังกรถึงจะตายแล้ว ก็ไม่ใช่สิ่งที่มดจะดูหมิ่นได้

บทที่ 502 มังกรถึงจะตายแล้ว ก็ไม่ใช่สิ่งที่มดจะดูหมิ่นได้

ปัง ปัง ปัง

หัวหน้าพุ่งเข้าไป ถีบอีกหลายครั้ง ถีบจนสวีถันโจวกระตุกไปทั้งร่าง เลือดไหลจากปากไม่หยุด เหมือนดั่งถูกรถปราบดินทับ นอนราบอยู่กับพื้น

ดูท่าทางน่ากลัวขนาดนี้ สวีฉางเฟิงร่างอ่อนเพลียไปทั้งร่าง คุกเข่าอยู่กับพื้น ตกใจจนเข่าอ่อน

หัวหน้าคนนี้ที่ลงมือ โหดเหี้ยมจริงๆ

ต้องรู้ว่า หัวหน้า เป็นผู้นำในอาณาจักรทหารแห่งจื่อหลงซาน เป็นยอดฝีมือระดับสูงในกองพิเศษเว่ยอัน ฝีมือนั้นไม่ใช่คนทั่วไปจะคาดการณ์ได้

“แก แกเป็นคนขององค์กรจื่อหลงซาน ทำไมถึงไปช่วยหลินอิ่งทำร้ายคน? ยังมีกฎหมายอีกไหม?” สวีถันโจวมองหัวหน้าด้วยสายตาหวาดกลัว ตั้งคำถาม

เพี๊ยะ

ได้ยินแล้ว หัวหน้ายกมือตบไปที่หน้าของสวีถันโจวอีกครั้ง ตบจนเขากลิ้งอยู่บนพื้น

“จะฆ่าคนแล้ว ที่นี่เป็นถึงจื่อหลงซาน หรือแกยังกล้าฆ่าคนที่นี่เหรอ? ฉันเป็นคนของตระกูลสวี ลูกชายของสวีจิ่วหลิง” สวีถันโจวท่าทางหวาดกลัวไร้ที่พึ่ง พูดด้วยความกลัว

“วันนี้ถึงฉันจะเฆี่ยนตีแกที่นี่แล้วจะทำไม?” หัวหน้าพูดอย่างเย็นชา “ถุย ลูกของสวีจิ่วหลิง? คุณท่านสวีมีลูกชายหน้าโง่อย่างแก? นั่นก็แก่เลอะเลือนแล้ว?”

“แกรู้ไหมว่าสมัยคุณท่านฉียังดำรงตำแหน่งในราชการนั้น ฐานะตำแหน่งอะไร?” หัวหน้าพูดอย่างเย็นชา “เอาชีวิตคุณท่านฉีมาข่มขู่หัวหน้าหลิน? เชื่อไหมว่าฉันยิงแกตายตอนนี้โทษฐานกบฏ”

“หา?”

หัวหน้าตะโกนอย่างโมโห ทำให้สวีถันโจวตกใจเหงื่อท่วมหัว หวาดกลัวอย่างรุนแรง

“อย่า อย่า” สวีถันโจวสีหน้าซีดขาว มองไปที่หลินอิ่ง พูดด้วยอาการตัวสั่น “เรื่องลอบวางยาคุณท่านฉี ฉันไม่ได้เป็นคนทำ ฉันแค่เป็นคนส่งข่าวเท่านั้น หลินอิ่ง แกต้องคิดให้ดีนะ คิดก่อนทำด้วย ชีวิตปู่แกสำคัญหรือไม่”

“วันนี้แกไม่คุกเข่าขอโทษยอมรับผิดกับฉัน ไม่ยอมก้มหัว ถ้าอย่างนั้น แกก็จะไม่มีวันได้ยาแก้พิษ ได้แค่มองปู่แกตายไปต่อหน้าแก” สวีถันโจวฝืนความกลัวพูดประโยคพวกนี้ออกไป จ้องหลินอิ่งอย่างเย็นชา

“เหอะๆๆ……”​

หลินอิ้งหัวเราะ เขายืนมือไขว้หลัง ค่อยๆเดินไปทางด้านสวีถันโจว

“แกอยากทำอะไร? แกคิดให้รอบคอบนำ?” สวีถันโจวพูดอย่างหวาดกลัว

ปัง

หลินอิ่งเหยียบไปที่หน้าของสวีถันโจว เหยียบหน้าของเขาแนบอยู่กับพื้น เหยียบจนเขากระอักเลือดไม่หยุด

“ตระกูลสวีคิดว่า พึ่งแค่คนต้าเหอตัวเล็กๆคนเดียว จะบีบผมจนหมดหนทางได้เหรอ? แล้วคิดว่าเอาชีวิตของคุณปู่ ก็จะบีบให้ผมก้มหัวได้เหรอ? ไม่มียาแก้พิษของคนต้าเหอ ผมก็ไม่มีวิธีแล้วเหรอ?”

หลินอิ่งพูดอย่างเย็นชา

“วันนี้ ผมจะบอกเหตุผลหนึ่งให้พวกคุณรู้ มังกรที่แท้จริงถึงจะตาย เน่าจนเหลือแค่กระดูก นั่น ก็ไม่ใช่สิ่งที่มดจะสามารถดูหมิ่นได้”

“ที่สำคัญ แค่ฝูงหมูหมาอย่างพวกคุณ คิดอยากจะสะเทือนผม?”

“วันนี้ ผมจะไว้ชีวิตคุณ วันหน้า ผมต้องไปตระกูลสวีแน่ ฆ่าล้างตระกูลสวี”

ปัง!

พูดจบ หลินอิ่งสะบัดมือลงไป ตบเข้าที่หน้าของสวีถันโจว ตบจนเขากระเด็นไปไกลสิบกว่าเมตร นอนกระตุกอยู่บนพื้น บนหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวด

วินาทีนี้ ทุกคนในเหตุการณ์ ต่างเต็มไปด้วยความหวาดกลัว มองเหลินอิ่งเหมือนดั่งเทพเทวดา

ทุกคนต่างก็ถูกราศีที่เขาแปร่งประกายออกมาทำให้ชะงัก

ถูกต้อง มังกรถึงแม้จะเน่าจนเหลือเพียงกระดูก ก็ไม่มีวันที่มดจะดูหมิ่นได้

ที่สำคัญ มังกรที่แท้จริงอย่างหลินอิ่ง ยังเหินบินอยู่เหนือเมฆ

“สั่งลงไป ลากตัวพวกเขาออกไป ส่งกลับตระกูลสวี”

“กลับไปบอกกงจิ่ว ภายในสามวัน ส่งยาแก้พิษมา ถ้าหากคุณท่านตระกูลผมตาย ผมจะฆ่าไปถึงต้าเหอ ให้ตระกูลที่อยู่เบื้องหลังกงจิ่ว ตายล้างตระกูล”

หลินอิ่งทิ้งคำพูดแห่งเจตนาฆ่าล้างอย่างเด็ดขาดไว้ หมุนตัวเดินเข้าอาคาร

ทิ้งคนตระกูลสวีไว้ ต่างก็ตะลึงตาค้าง ตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว

ในใจพวกเราเริ่มสงสัยและเสียใจ คนอย่างหลินอิ่ง ทำให้เขาพ่ายแพ้ได้เหรอ?

ขณะนี้ หัวหน้าได้เรียกกองพิเศษเว่ยอันในจื่อหลงซานมาแล้ว เริ่มจัดการกับคนตระกูลสวีที่ถูกซ้อมจนโง่

เวลาแค่ชั่วครู่ ต่อจากนั้น ก็เป็นการทำความสะอาด

คนของตระกูลสวีแต่ละคน ต่างก็ถูกซ้อมจนเบลอ โยนเขารถบรรทุกกองทัพคันหนึ่ง โยนออกไปนอกจื่อหลงซาน

หลังจากกลับไปที่ห้องคุณท่านแล้ว หลินอิ่งสีหน้าเคร่งเครียด แรงอาฆาตในสายตายังไม่จางหาย คนทั้งคนยังคงมีราศีแห่งแรงสังหารที่คนอื่นไม่กล้าเข้าใกล้

หลี่ผูและหัวหน้ายืนเฝ้าอยู่นอกห้องด้วยสีหน้าเคร่งเครียด มองหลินอิ่งแบบนี้ นั่งอยู่ขอบเตียงผู้ป่วยของคุณท่านฉีเวิ่นติ่ง

พวกเขาสองคนสามารถรับรู้ได้ถึงความรู้สึกของหลินอิ่งในตอนนี้

“คุณปู่ หลานไม่ดีเอง ที่ดูแลความปลอดภัยของท่านไม่ดี” หลินอิ่งมองคุณท่าน พูดพึมพำเอง

ความรู้สึกในใจของเขาตอนนี้ วุ่นวายอย่างสุดขีด

คาดหวังยาถอนพิษจากกงจิ่วเพื่อช่วยคุณปู่? นั่นเป็นไปไม่ได้

อย่าบอกว่าเขาไปคุกเข่าขอร้อง ถึงแม้จะเอาชีวิตไปแลกยาถอนพิษกับกงจิ่ว ผลสุดท้าย ก็คือตระกูลฉีตายอย่างราบคาบ แม้แต่โอกาสในการช่วยคุณปู่แก้แค้นก็ไม่มี

คุณปู่จะรอดหรือไม่ ความจริง ก็ต้องพึ่งโชคชะตาแล้ว

หลินอิ่ง รู้สึกถึงความโกรธแค้นอย่างเอือมระอา

เวลาเดียวกัน ก็คิดถึงความทรงจำมากมาย

สมัยเด็กติดตามแม่ ออกจากตระกูลฉีอย่างไม่มีทางเลือก ตอนนั้นยังเด็ก ต้องทนดูแม่เศร้าโศกเสียใจ ทนต่อคำด่าว่าดูถูก แต่ช่วยอะไรไม่ได้

พอโตขึ้น แม่เพราะว่าต้องทนรับความกดดันในใจมานานปี ทำให้สุขภาพร่างกายเสื่อมโทรม ชะตาชีวิตจบสิ้น มาถึงจุดจบแล้ว ถึงแม้ทักษะการแพทย์ของเขาสำเร็จแล้ว แต่ก็ไม่สามารถช่วยได้แล้ว

เรื่องพวกนั้น มันก็ผ่านไปแล้ว

แต่วันนี้ ถึงแม้เขาจะร่ำรวยเหนือประเทศ อำนาจล้นฟ้า วิชาการต่อสู้เหนือโลกแล้วยังไง?

ญาติคนเดียวอยู่ตรงหน้าตัวเอง ชีวิตอยู่ในอันตราย แต่ทำอะไรไม่ได้

ขอแค่เป็นคน ต่างก็หนีไม่พ้นเกิดแก่เจ็บตาย

หลินอิ่งนั่งอยู่ข้างเตียงผู้ป่วย เฝ้าข้างกายคุณท่าน ค่อยๆหลับตา

พอนั่ง ก็นั่งไปหนึ่งคืน

หลินอิ่งไม่ได้นอนทั้งคืน

หลี่ผูและหัวหน้า ก็เฝ้าอยู่หน้าห้องทั้งคืน

“คุณชาย กินอะไรหน่อยนะครับ ผมเตรียมอาหารเช้าและน้ำชาให้”

หลี่ผูมือถือถาดอาหาร พูดด้วยสีหน้าเป็นห่วง

“เรื่องของคุณท่าน เรื่องมาถึงวันนี้แล้ว เชื่อว่าคนดีฟ้าย่อมคุ้มครอง บางทีคุณชายอาจจะได้ข่าวดีเรื่องยาก็ได้”

หลินอิ่งค่อยๆลืมตา หนังตากระตุก ลุกขึ้นจากเตียง เดินออกจากห้อง

“ผมไม่กิน พวกคุณก็ไม่ได้นอนทั้งคืน กินอาหารเช้านี้ก่อนเถอะ” หลินอิ่งค่อยๆพูด รับน้ำชาจากมือหลี่ผูมา ดื่มไปสองคำ

หลี่ผูพยักหน้า ไม่ได้พูดอะไรอีก

“หัวหน้าหลิน เมื่อคืน หยูจื๋อเฉิงหาท่านเพื่อรายงานสถานการณ์ไม่เจอ โทรมาหาผม ส่งข้อความมาหลายฉบับ” หัวหน้าพูดอย่างจริงจัง

หลินอิ่งพยักหน้า พูดว่า “หยูจื๋อเฉิงพูดอะไรบ้าง เลือกสาระสำคัญพูด”

หัวหน้าพูด “หยูจื๋อเฉิงบอกว่า เมื่อคืน ตระกูลสวีมีความเคลื่อนไหวใหญ่ อีกอย่าง ชีซิงกรุ๊ปเปิดงานแถลงข่าวในวงการธุรกิจ เจาะจงกับกิจการทั้งหมดที่อยู่ในนามของท่านในตี้จิง”

“รู้แล้ว เรื่องพวกนี้ คุณบอกกับหยูจื๋อเฉิง ให้เขาควบคุมจัดการทั้งหมด” หลินอิ่งออกคำสั่ง

ตอนนี้เขาไม่มีอารมณ์ไปจัดการกับคนพวกนี้ในเรื่องธุรกิจ

คืนที่ผ่านมา เขานั่งคิดทั้งคืน ว่าจะลากตัวกงจิ่วออกมาอย่างไร แล้วจะหายาภายในสามวันได้ยังไง

ติ๊ดติ๊ด

ขณะเดียวกัน มือถือของหลินอิ่งดังขึ้น

นิ่งซวนเป็นคนโทรมา

แววตาหลินอิ่งเป็นประกาย

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท