ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 508 คุณจะวางตัวสูงเกินไปแล้ว

บทที่ 508 คุณจะวางตัวสูงเกินไปแล้ว

“หลินอิ่ง นี่เป็นพฤติกรรมขอร้องคนของคุณหรือ? คุณกำลังขู่ผม?”​ ฉู่หยุนซานขมวดคิ้ว สายตาเย็นชา จ้องไปที่หลินอิ่ง

“อายุแค่นี้ คิดว่าทำเรื่องเล่นๆทางโลกนิดหน่อย ก็เก่งกาจไร้คู่ต่อสู้แล้วเหรอ? ช่างไม่รู้วินัยจริงๆ” ฉู่หยุนซานพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แสดงท่าทางน่าเกรงขามออกมาเช่นกัน

เวลานี้ หลี่ผูและหัวหน้าที่ยืนอยู่ข้างหลังหลินอิ่ง ทั้งสองคนต่างก็ขนลุกทั้งร่าง

ใช่แล้ว วินาทีที่ฉู่หยุนซานแสดงความน่าเกรงขาม พวกเขาสองทั้งรู้สึกถึงความหวาดกลัวอย่างชัดเจน

คนทั่วไปรับรู้ถึงอารมณ์ราศีที่ยอดฝีมือในแวดวงลึกลับแสดงออกมาไม่ได้ ส่วนหลี่ผูและหัวหน้าเป็นคนเคยเรียนวิชาการต่อสู้โบราณมา รู้สึกได้อย่างชัดเจน

เห็นได้ชัดว่า ฉู่หยุนซานรู้ดีว่าหลินอิ่งอำนาจล้นฟ้าในตี้จิง ยังกล้ายโสโอหังต่อหน้าเช่นนี้ นั่นเพราะมีความสามารถจริง

หลินอิ่งแววตาค่อยๆเฉียบคมขึ้น ตรวจดูฉู่หยุนซานใหม่อีกครั้ง

ไม่เสียแรงที่เป็นลูกชายคนโตของฉู่จี้ชังแห่งเตียนหนาน ไม่ธรรมดาจริงๆ

ถ้าหากฉู่หยุนซานไม่แสดงออกครั้งนี้ เขาเองก็ไม่ได้สังเกตจริงๆ ว่ามียอดฝีมือนั่งอยู่ตรงข้าม

สองรอบนี้ หลินอิ่งสามารถตัดสินได้ว่า

ฉู่หยุนซานคนนี้ อย่างน้อยก็มีชื่อในลำดับยอดฝีมือรายการดินในแวดวงลึกลับ เทียบกับหรงหยัง เผยหวูหมิง อยู่เหนือกว่าอย่างน้อยหนึ่งระดับ

มิน่าฉู่สงซานอยู่ต่อหน้าเขาแล้วพูดอะไรไม่ได้ และมิน่าเขาถึงได้กล้านั่งทำตัวยโสอย่างไม่กลัวต่อหน้าเขาเลยแม้แต่น้อย เพราะคิดว่าตัวเองมีที่พึ่ง

“หลินอิ่ง ไม่ใช่ผมดูถูกคุณ นี่เป็นโอกาสที่ดีที่คุณท่านให้คุณ เอาหลานสาวสุดรักให้แต่งงานกับคุณ นำดอกโคมเป็นสินสอด” ฉู่หยุนซานพูดอย่างเย็นชา “ถ้าเป็นความหมายของผมแล้ว คุณไม่คู่ควรกับดอกโคมแม้แต่น้อย และไม่คู่ควรได้เข้าประตูตระกูลฉู่”

หลินอิ่งมองไปที่ฉู่หยุนซานด้วยใบหน้ายิ้มเล็กน้อย “ถ้าเช่นนั้น คุณคิดว่ายังไงถึงจะคู่ควร?”

“เหอะ” ฉู่หยุนซานหัวเราะเสียงเย็นชา พูดอย่างใจเย็น “ผมบอกคุณละกัน ดอกโคมอยู่กับผม ถ้าหากคนมีปัญญาเอาไปจากผมได้ ด้วยตัวคุณคนเดียว เช่นนั้นคุณก็คู่ควร”

“พี่ใหญ่ ไม่ได้นะ” ฉู่สงซานรีบพูดห้ามปราม “คุณท่านไม่ได้บอกให้หลินอิ่งจำเป็นต้องตอบรับเรื่องนี้ หากประธานหลินต้องรีบใช้ ก็ให้เขาเอาไปใช้ ประธานหลินก็ตอบตกลงแล้ว เมื่อเสร็จธุระแล้วจะไปที่ตระกูลฉู่ด้วยตัวเอง ทำไมต้องลงมือด้วย?”

ฉู่สงซานกลัวว่าหากหลินอิ่งกับฉู่หยุนซานสู้กันแล้ว จะทำให้เรื่องราวใหญ่โตเกินไป

เขารู้ว่าหลินอิ่งฝีมือไม่ธรรมดา แค่กลัวว่าหลินอิ่งอายุน้อย หากไม่พอใจแล้วลงมือกับฉู่หยุนซานขึ้นมาจริง

ต้องรู้ว่า ฉู่หยุนซาน ถึงจะดูแล้วท่าทางไร้สติปัญญาทางอารมณ์ ท่าทางอวดดียโส แต่มีความสามารถในการอวดดีอยู่จริง

หากอยู่ในแวดวงลึกลับนั้น พี่ใหญ่ของเขาก็เป็นคนมีชื่อเสียงโด่งดัง ความสามารถในวิชาการต่อสู้แข็งแกร่ง

“คุณลุง คุณลุงบีบบังคับกันเกินไปแล้ว ประธานหลินก็ไม่ได้พูดว่าไม่ตกลงเรื่องอะไร เพียงแค่ ก็ต้องให้เวลาพิจารณากันหน่อย ทำไมลุงก็แตกหักกันแบบนี้” ฉู่ฉู่สีหน้าแดงก่ำ พูดอย่างระวัง

“เห้อ น้องหก เรื่องนี้พี่ใหญ่ก็พิจารณาแทนนาย นายยังมาช่วยหลินอิ่งพูดอีก? ฉู่ฉู่ก็เหมือนกัน ลุงจะทำร้ายหลานได้เหรอ? ไอ้หนุ่มแซ่หลินนี่มันไม่มีหลานอยู่ในสายตาเลย” ฉู่หยุนซานพูดอย่างน่าเกรงขาม “ทั้งสองคนไม่ต้องพูดแล้ว เรื่องนี้ ฉันมีสิทธิ์ในการตัดสินใจ”

พูดจบ ฉู่หยุนซานก็กันไปมองหลินอิ่งอย่างเย็นชา พูดว่า “หลินอิ่ง ผมได้ยินมาว่าคุณพอมีกังฟูอยู่บ้าง มาลองดู ผมก็อยากดูว่าคุณมีความสามารถแค่ไหน”

เสียงดังปัง

ฉู่หยุนซานตบลงไปบนโต๊ะ จับแก้วน้ำชาใบหนึ่งไว้ พูดอย่างใจเย็น “คุณจะคุยต่อไม่ใช่เหรอ คุยข้อเสนอไม่ใช่เหรอ? อย่าบอกว่าผมไม่ให้โอกาสคุณ ผมก็อยากดูว่า คุณมีความสามารถในการนั่งดื่มน้ำชากับผมไหม”

หลินอิ่งมุมปากยิ้มขึ้นอย่างเย็นชา

เสียงซิ้วทีหนึ่ง

หลินอิ่งยื่นมือข้างหนึ่งออกไป จับข้อมือข้างหนึ่งของฉู่หยุนซานไว้ ขับเคลื่อนกำลังภายใน

ทันใดนั้น ถ้วยน้ำชาที่ถูกปิดไว้เริ่มเคลื่อนไหว แม้แต่โต๊ะอาหารก็เริ่มสั่นไหวเล็กน้อย

“อือ?”

ฉู่หยุนซานสายตาหวั่นไหวเล็กน้อย รู้สึกถึงแรงกำลังภายในที่มือเปลี่ยนแปลง มองหลินอิ่งด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

หลินอิ่งสีหน้าเรียบเฉย

“ฉู่หยุนซาน คุณวางตัวสูงเกินไปแล้ว”

พูดจบ หลินอิ่งยกมือขึ้น ลมกระโชกแรงพัดมา

เสียงลมกระแทกเพี๊ยะเพี๊ยะดังขึ้น

ร่างของฉู่หยุนซานเหมือนโดนของหนักกระแทก สะเทือนออกจากที่นั่งลอยออกไป ถ้วยน้ำชาในมือก็แตกกระจายอย่างละเอียด กระจายไปทั่วทุกทิศ

เสียงตุ๊บตั๊บ

ฉู่หยุนซานล้มอยู่บนพื้น สีหน้าแดงก่ำ จ้องหน้าหลินอิ่งด้วยความโมโห

“เด็กเมื่อวานซืนกล้าดึงผมออกจากโต๊ะเหรอ? คุณนี่มันจะกล้าเกินไปแล้ว” ฉู่หยุนซานพูดอย่างโมโห ทันใดนั้น ลมหายใจเขาเหมือนดั่งสายฟ้า แปร่งประกายพลังอันแข็งแกร่งทั่วราง

เห็นได้ชัดว่า โมโหจริงๆแล้ว

หลินอิ่งมุมปากยิ้มขึ้นเล็กน้อย ยิ้มเล็กน้อย

“ฉู่หยุนซาน มารยาทที่ควรมีผมก็ให้หมดแล้ว แต่คุณก็ใช้ความเป็นผู้ใหญ่กดดันไม่เลิก บุญคุณเรื่องยาของตระกูลฉู่ ผมไม่มีวันลืม แต่ว่า ผมก็จะไม่ลืมที่จะสั่งสอนคุณ”

พูดจบ หลินอิ่งก็ลุกขึ้น ร่างหมุนขึ้นดั่งสายลม พุ่งเข้าหาฉู่สงซาน

เสียงลมกังวาน เพี้ยวพร้าว กระทบกันดังไม่หยุด

ร่างของทั้งสองคนเหมือนดั่งสายฟ้า เคลื่อนไหวไปมา ไม่รู้ว่าปะทะกันไปกี่ท่วงท่า

เห็นได้ชัดเจนว่าฉู่หยุนซานทนรับหลินอิ่งไม่ไหวแล้ว ค่อยๆถอยหลัง

หลินอิ่งสะบัดมือ ยื่นมือจับไหล่ของฉู่หยุนซานไว้ หมุนตัว ยกร่างของเขาสูงขึ้นเหนือพื้น เสียงดังปัง กดร่างทั้งร่างไว้บนพื้น

“คุณ คุณกล้าทำเช่นนี้”

ฉู่หยุนซานสีหน้าแดงก่ำอย่างสุดขีด ถูกหลินอิ่งล็อกแขนสองข้างไว้ กดไว้บนพื้น หมุนร่างกายไปมาอย่างบ้าคลั่ง

ขณะนี้ จุดชีพจรของเขาเหมือนถูกล็อกตายแล้ว ใช้เรี่ยวแรงไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว

ไม่รู้ว่าหลินอิ่งใช้วิธีแบบไหน ทำให้เขาใช้วิชาไม่ได้เลยในเวลาเพียงสั้นๆแบบนี้ แม้แต่กำลังภายในก็ใช้ไม่ได้ ปกติสามารถหมัดเดียวทะลุกำแพงได้ ตอนนี้แม้แต่พลิกตัวก็ทำไม่ได้

“ขออภัยด้วย”

หลินอิ่งพูดอย่างเรียบเฉย ยื่นมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อฉู่หยุนซาน จับกล่องไม้จันทน์ได้กล่องหนึ่ง ภายในกล่องมีชิ้นส่วนอำพันพิเศษที่โปร่งแสงและวิจิตรงดงาม ซึ่งภายในบรรจุด้วยกิ่งและใบคล้ายมังกร

“หลินอิ่ง นี่มันแย่งกันอย่างโจ่งแจ้ง ยังไม่เคยมีใครกล้าแย่งของจากตระกูลฉู่ของเรา” ฉู่หยุนซานพูดด้วยความโมโห ทั้งตกใจทั้งโกรธและอับอาย

ยังไงเขาก็คิดไม่ถึง ว่าตัวเองจะถูกเด็กเมื่อวานซืนอย่างหลินอิ่งจับตัวไว้

และยังต่อหน้าน้องหกและหลานสาวอีก อับอายขายหน้าจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว

เวลาเดียวกัน ในใจเขาก็รู้สึกตะลึงอย่างมาก

ความสามารถในวิชาการต่อสู้ ปรากฏว่าเขาคาดเดาไม่ออกเลยแม้แต่น้อย

นี่มันน่ากลัวถึงระดับไหนกัน?

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท