ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 491 คุณไม่มีสิทธิ์ช่วยผมเช็ดรองเท้า

บทที่ 491 คุณไม่มีสิทธิ์ช่วยผมเช็ดรองเท้า

จากการที่โจผิงคุกเข่าลงไป ทุกคนในงาน ต่างก็ตะลึงตาค้าง แสดงสีหน้าไม่น่าอยากเชื่อสายตา

ลู่หย่าฮุ่ยกับจางซิ่วเฟิง สีหน้าก็ตกใจอย่างขีดสุด รู้สึกเหมือนตัวเองฝันไป

คุณชายตระกูลโจ โจผิงทั้งคน คนใหญ่โตมีอำนาจในเมืองชิงหยูนขนาดนี้ กลับคุกเข่าขอโทษให้กับลูกเขยไร้น้ำยาขึ้นชื่ออย่างหลินอิ่ง?

โดยเฉพาะ ที่นี่ยังเป็นถิ่นของตระกูลโจ ตระกูลโจเป็นคนเชิญแขกมาร่วมงานเลี้ยง

ในวันที่คุณชายโจผิงหมั้นหมายกับจางฉีโม่

โจผิงคุกเข่าขอโทษให้กับลูกเขยไร้น้ำยาหลินอิ่ง

ภาพนี้ ทำให้ทุกคนในงานที่เห็น ไม่อาจลืมไปตลอดชีวิต

สะเทือนความรู้ความเข้าใจของพวกเขาเป็นอย่างมาก พลิกผันความคิดของพวกเขาอย่างมาก

“นายผิดไปแล้ว? นายผิดตรงไหน?”

หลินอิ่งหัวเราะเย็นชา มีไปที่โจผิงสีหน้าเรียบเฉย

สายตานี้ มองจนโจผิงใจสั่นหวาดกลัว ตัวสั่นไปทั้งร่าง

โจผิงรีบก้มหัวลง ไม่กล้าสบตากับหลินอิ่ง มุมปากกระตุกไม่หยุด ควบคุมความรู้สึกกลัวของตัวเองไม่ได้

ฐานะที่แท้จริงของหลินอิ่ง คุณชายอิงแห่งตี้จิง นี่ก็ทำให้เขาตกใจจนหวาดกลัวไปหมดแล้ว

อีกอย่าง ราศีที่หลินอิ่งแสดงออกมาในตอนนี้ ยิ่งทำให้เขารู้สึกสิ้นหวัง

สร้างความขุ่นเคืองให้กับคนระดับนี้ ยังมีจุดจบที่ดีได้เหรอ?

“คุณชายอิ่ง ผม ผมผิดที่ไม่ควรโต้เถียงกับคุณ ผมผิดที่ไม่รู้ที่ต่ำที่สูงไปหมั้นกับจางฉีโม่” โจผิงคุกเข่าตัวสั่นอยู่บนพื้น สีหน้าไม่ดีจนเหมือนสูญเสียใครไป พูดจาอ้ำๆอึ้งๆ

“ผมคุกเข่าให้ท่านแล้ว ขอให้ท่านปล่อยผมไปเถิด ยกโทษให้กับความโง่เขลาของผม เหลือหนทางไว้ให้ตระกูลโจด้วย”

ปังปัง

ไม่รอหลินอิ่งตอบ โจผิงก็เอาหน้าผากแนบพื้น คำนับโคกพื้นไม่หยุด

โจผิงกลัวแล้วจริงๆ

ฐานะความสามารถของหลินอิ่ง จะลบล้างตระกูลโจ ง่ายดายเหมือนกินข้าวกินน้ำ เพียงคำพูดง่ายๆคำเดียว หลินอิ่งไม่จำเป็นต้องลงมือเอง ก็มีคนมากมายลงมือลบล้างตระกูลโจอย่างหมดสิ้นแน่นอน

อำนาจของคุณชายอิ่งแห่งตี้จิง ความสามารถแข็งแกร่งเกินไป

ถูกเรียกว่าเป็นอภิมหาเศรษฐีอายุน้อยที่รวยที่สุดในประเทศหลุง

คุณชายอันดับหนึ่งแห่งประเทศหลุง

โจผิงรู้สึกเสียใจจนท้องไส้พันกันหมดแล้ว ยังไงก็ไม่เข้าใจ ทำไมคนแข็งแกร่งอย่างหลินอิ่ง จะซ่อนตัวอยู่ในสถานที่เล็กๆอย่างเมืองชิงหยูน

ถ้ารู้แต่แรกว่าหลินอิ่งก็คือคุณชายอิ่ง ถึงจะเอามีดจี้คอเขาโจผิง เขาก็ไม่มีวันไปหาเรื่องหลินอิ่ง ไม่กล้าไปสู่ขอที่บ้านจางฉีโม่

ตุ๊บตั๊บ

หลี่ชิงซงก็พรวดพราดคุกเข่าลงไป คุกเข่าตรงหน้าหลินอิ่ง สีหน้าซีดเขา

“คุณชายอิ่ง ยกโทษให้ผมด้วย ผมไม่รู้จริงๆว่าที่แท้เป็นท่านนั่นเอง ถ้าหากผมรู้ว่าเป็นท่าน จะเอาความกล้าให้ผมหลี่ชิงซงร้อยเท่า ผมก็ไม่กล้าทำอะไรหุนหันพลันแล่นต่อหน้าท่าน” หลี่ชิงซงขอโทษด้วยความหวาดกลัว

“ขอให้ท่านอภัยให้ผมสักครั้ง ผมยินดีคุกเข่าขอโทษ ทำอะไรก็ได้”

หลี่ชิงซงขอโทษหลินอิ่งไม่หยุด ความน่าเกรงขามก่อนหน้านี้หายไปอย่างปริทิ้ง

เพราะว่า หลี่ชิงซงเป็นแค่ผู้นำสูงสุดของเมืองชิงหยูนที่เกษียณไปแล้ว อำนาจใหญ่แค่ไหน มีผลกระทบมากแค่ไหน นั่นก็อยู่ในขอบเขตแค่เมืองชิงหยูนเท่านั้น จะไปเทียบกับมังกรที่แท้จริงอย่างหลินอิ่งที่มาจากตี้จิงได้อย่างไร?

ถึงแม้ว่าตอนที่เขายังไม่เกษียณ ก็ไม่กล้าไปท้าทายกับหลินอิ่ง

ฐานะของหลินอิ่งอยู่ตรงนี้ เพียงแค่คำสั่งเดียว ก็สามารถปลดเขาออกจากตำแหน่งได้

“เหอะเหอะ ตอนนี้รู้ตัวว่าผิด พวกคุณไม่คิดว่ามันสายไปแล้วเหรอ”

หลินอิ่งส่ายหน้า บนใบหน้านั้นไม่มีอารมณ์ความรู้สึกใดๆ มีเพียงมุมปากที่เห็นแววแห่งความโหดเหี้ยม

“หลี่ชิงซง คุณ ต่อจากนี้ห้ามออกหน้าให้เห็นหน้าในมณฑลตุงไห่อีก จากนี้ไป สามตระกูลใหญ่แห่งตุงไห่จะไม่มีตระกูลโจอีก ผมไม่อยากได้ยินเรื่องเกี่ยวกับตระกูลโจอีก ในประเทศหลุง ตระกูลโจอย่าคิดที่จะทำธุรกิจอะไรอีก” หลินอิ่งพูดอย่างเรียบเฉย

คำพูดเรียบง่ายคำหนึ่ง ได้ตัดสินโทษตายให้หลี่ชิงซงและตระกูลโจทั้งตระกูลไปแล้ว

ทั้งสองนี้ ภายในประเทศหลุง ไม่มีวันมีโอกาสใดๆอีก

เมื่อคำพูดของหลินอิ่งพูดจบ

สีหน้าของโจผิงและหลี่ชิงซง ก็ซีดขาวไปทันที

ทั้งสองคนร่างกายแข็งทื่อ เหมือนดั่งคนไร้วิญญาณ ล้มลงกันพื้นแล้วก็คุกเข่า

พวกเขาเข้าใจ คำพูดของหลินอิ่ง ได้ตัดสินชีวิตพวกเขาว่าจบสิ้นทุกอย่างแล้ว

จากนี้ไป อำนาจเงินทอง ทรัพย์สินวงศ์ตระกูล ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพวกเขาแล้ว ใช้ชีวิตอยู่ต่อได้เหมือนหมาตัวหนึ่ง

คำพูดคำเดียวของหลินอิ่ง สามารถเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของพวกเขาได้

นี่เปรียบได้กับพระราชกฤษฎีกา ไม่มีใครกล้าคัดค้าน

“อะไรคุณชายอิ่ง? นี่มันสถานการณ์อะไร? คุณชายโจผิง คุณคุกเข่าให้ไอ้ไร้น้ำยาหลินอิ่งทำไม?”

“นี่มันเรื่องอะไรกัน? คุณท่านหลี่ คุณชายโจ พวกคุณเข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่า? ขอโทษให้ไอ้ไร้น้ำยาหลินอิ่งทำไม?”

ลู่หย่าฮุ่ยกับจางซิ่วเฟิงสีหน้าตกใจ เมื่อเรียกสติกลับมา ก็รีบถามคำถามอย่างสงสัย

พวกเขาสองคนดูยังไงก็ไม่เข้าใจ โจผิงกับหลี่ชิงซงผู้มีอำนาจล้นฟ้าในเมืองชิงหยูน ทำไมถึงคุกเข่าให้หลินอิ่ง

ขอร้องขออภัยเหมือนตัวตลก?

หลินอิ่งคุกเข่าขอโทษสองคนนี้ถึงจะถูก นี่มันพลิกผันไปหมดแล้ว

“นี่……”

ได้ยินคำถามของลู่หย่าฮุ่ยผัวเมียแล้ว โจผิงกับหลี่ชิงซงสีหน้ายิ่งซีดเข้าไปอีก ไม่กล้าที่จะพูดกับพวกเขาสองคน

มันช่างนัก เทพตัวจริงอยู่ตรงหน้าแล้วยังไม่รู้จักไหว้

ลู่หย่าฮุ่ยผัวเมียเป็นพ่อตาแม่ยายของคุณชายอิ่ง แต่ในใจกลับดูถูกเหยียดหยามลูกเขยผู้สูงส่งคนนี้ นี่คงไม่ได้ตาบอดหรอกนะ?

จนถึงขั้นนี้แล้ว ยังสงสัยความสามารถของหลินอิ่งอีก?

หลินอิ่งหัวเราะเย็นชา ส่ายหัว ไม่ได้พูดอะไร

อคติของลู่หย่าฮุ่ยผัวเมีย เขาไม่เคยอยากอธิบาย

พูดไปก็ไม่เชื่อ พูดไปก็ฟังไม่เข้าใจ

ในสายตาพวกเขา เห็นได้แค่เพียงอำนาจเงินทองเท่านั้น แต่ไม่รู้ว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า วัดค่าของคนจากภายนอกไม่ได้

“คุณชายอิ่ง อภัยให้ตระกูลโจของเราด้วยเถอะ ผมยินดีเป็นวัวเป็นควาย หรือแม้แต่เป็นสุนัขรับใช้ตัวหนึ่ง ทำอะไรผมก็ยินดี” โจผิงคุกเข่าอยู่บนพื้น พูดขอร้อง “ขอแค่ท่าน อย่าลบล้างตระกูลโจของเราเลย”

“ขอร้องนะครับ คุณชายอิ่ง ขอให้ท่านเห็นใจด้วย ผมทำเรื่องพวกนี้ เพราะมีตาแต่ไร้แวว เพราะได้รับคำสั่งจากคุณหนูจ้าว ไม่อย่างนั้นผมไม่มีวันที่จะเป็นศัตรูกับท่าน”

โจผิงมองหลินอิ่งด้วยความหวัง หวังว่าหลินอิ่งจะยอมปล่อยเขาสักครั้ง

ใช้ชีวิตร่ำรวยจนเคยชินแล้ว ความเจริญรุ่งเรือง เขาจะทิ้งมันไปได้ยังไง

ให้เขาสูญเสียทุกอย่างที่มีอยู่ตอนนี้ รถหรู คฤหาสน์หรู กิจการธุรกิจ เครือข่ายความสัมพันธ์ ไปเป็นคนทำงานธรรมดาคนหนึ่ง นั่นมันเจ็บปวดยิ่งกว่าฆ่าเขาโจผิงไปเลยดีกว่า

หลินอิ่งสีหน้าเย็นชา มองท่าทางเหมือนตัวตลกของโจผิง รู้สึกแค่ตลก

“คุณชายอิ่ง รองเท้าท่านสกปรกแล้ว ผมช่วยเลียให้มันสะอาด จากนี้ไป ผมยินดีเป็นสุนัขรับใช้ให้ท่าน ขอแค่ท่านดีใจ เรื่องอะไรผมก็ทำได้”

โจผิงหน้าตายิ้มแย้ม ขยับเข้าไปใกล้รองเท้าหลินอิ่ง กำลังจะเลียฝุ่นให้สะอาด

ปัง

หลินอิ่งถีบลงไป ถีบจนโจผิงกระเด็นไปไกลสิบกว่าเมตร ชนโต๊ะล้มไปหลายตัว ล้มกระอักเลือดอยู่บนพื้น

“นายไม่มีสิทธิ์ช่วยฉันเลียรองเท้า”

หลินอิ่งพูดอย่างเรียบเฉย ยกมือสะบัดฝุ่นบนกางเกง

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท