ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 513 โรงแรมสากลกวงหุย

บทที่ 513 โรงแรมสากลกวงหุย

หลินอิ่งพยักหน้าเบาๆ นั่งลงบนโซฟา ยกกาน้ำชาเทน้ำชาสองแก้ว โบกมือให้เย่เฮยนั่งลง

“เย่เฮย นั่งลงค่อยพูด” หลินอิ่งพูดเสียงเรียบ

เย่เฮยรับน้ำชามาหนึ่งแก้ว นั่งลงบนโซฟาอย่างเคารพ

“ก่อนมา สถานการณ์ในเมืองก่างเป็นอย่างไรบ้าง?” หลินอิ่งมองไปทางเย่เฮย ดื่มน้ำชาไปคำหนึ่ง แล้วถาม

เย่เฮยพูด “ท่านประมุข เมืองก่างไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ท่านมังกรดำเหมือนหายตัวไปเลย ไม่มีปฏิบัติการแก้แค้นอะไรเลย”

“กิจการในเมืองก่างของท่าน คริสก็จัดการดูแลอย่างจงรักภักดี มีการพบปะคนในวงการไฮโซเมืองก่างทุกวัน” เย่เฮยพูดอย่างจริงจัง

หลินอิ่งพยักหน้า เย่เฮยทำงานทำให้เขาวางใจมาก

ทางด้านเมืองก่าง มีคริสคอยดูแลกิจการของบริษัทหลินซื่อ และมีเย่เฮยคอยจับตาดูอยู่ที่ลับ เขาก็ไม่ต้องเป็นห่วง

ท่านมังกรดำในระยะสั้น คาดว่าคงไม่ออกมาให้เห็นแน่นอน นอกจากเขาแล้ว ในเมืองก่างก็ไม่มีใครสะเทือนอาณาจักรธุรกิจอันใหญ่โตของหลินซื่อได้แล้ว

“เพียงแค่ ท่านประมุข คุณหนูของตระกูลโครเมียร์คนนั้น โครเมียร์ แอนนา ไปถามเรื่องของท่านกับคริสที่อาคารสุ่ยจินหลายครั้ง” เย่เฮยพูดอย่างจริงจัง “ถึงแม้ว่าคริสจะบอกว่าท่านไปตี้จิงแล้ว เธอก็ยังไปที่อาคารสุ่ยจินทุกวัน”

“และผู้หญิงคนนี้ยังพูดกับคริสว่า รอเธอจัดการเรื่องทุกอย่างในเมืองก่างให้มั่นคงแล้ว ก็จะบินมาหาท่านที่ตี้จิง”

“โครเมียร์ แอนนา?” หลินอิ่งดื่มน้ำชาอย่างใจเย็น “ผู้หญิงคนนี้มีเบื้องหลังโลกแห่งความมืดแห่งตะวันตก มีความสัมพันธ์กับเธอมากไปไม่ได้”

หลินอิ่งคิดภาพของแอนนา สาวผมทองคนนี้ไม่ธรรมดา ต้องไม่ได้น่ารักไร้เดียงสาอย่างที่แสดงออกมาแน่

เย่เฮยพูดอย่างจริงจัง “ท่านประมุข ท่านพูดถูก ผมเคยติดตามโครเมียร์ แอนนาในที่ลับ พบว่ามียอดฝีมือคอยปกป้องเธออยู่ข้างกาย ยอดฝีมือท่านนั้นถึงแม้ว่าผมจะไม่เคยประลองฝีมือกับเขา แต่สามารถตัดสินได้ว่าอยู่เหนือผม”

“เท่าที่ผมดูแล้ว มียอดฝีมือระดับนี้ซ่อนตัวอยู่ในเมืองก่างคนหนึ่ง เป็นเรื่องค่อนข้างอันตราย”

“ผมเคยเจอยอดฝีมือที่อยู่ข้างกายเธอมาแล้ว” หลินอิ่งพูดอย่างเรียบเฉย “ผมได้เตือนเขาคนนั้นแล้ว ถ้าหากผมเดาไม่ผิด ยอดฝีมือคนนั้นแค่ได้รับคำสั่งให้ปกป้องแอนนาเท่านั้น กับตระกูลโครเมียร์ ตอนนี้ยังอยู่ในสถานะการณ์ร่วมงานกัน เพราะฉะนั้น ต่างคนต่างอยู่ไม่ก้าวก่ายซึ่งกันและกัน เขาไม่กล้าทำอะไรหรอก”

ยอดฝีมือที่เย่เฮยพูดถึง น่าจะเป็นผู้ปกป้องโครเมียร์แอนนาในที่ลับ มีความสามารถที่ไม่ธรรมดาจริง

แต่ว่า ตัวเองเปิดหนทางให้ตระกูลโครเมียร์ที่เมืองก่าง ถือว่าเป็นความสัมพันธ์การร่วมงานกัน ไม่จำเป็นต้องกังวล

“ผมเข้าใจแล้วครับ” เย่เฮยพยักหน้าอย่างเคารพ

“เย่เฮย ผมเรียกคุณมาที่ตี้จิงครั้งนี้ มีเรื่องใหญ่ต้องไปจัดการ” หลินอิ่งมองเย่เฮย พูดอย่างจริงจัง

“คุณไปสืบให้ชัดเจน อำนาจมืดของประเทศต้าเหอ อำนาจฝ่ายไหนที่อยู่ในตี้จิงประเทศหลุง ระยะนี้มีปฏิบัติการอะไรหรือไม่” หลินอิ่งพูดอย่างเรียบเฉย “อีกอย่าง คุณซ่อนตัวในตี้จิง สืบเรื่องคนต้าเหอที่มีพฤติกรรมผิดปกติในตี้จิงทั้งหมดให้ชัดเจน”

“ต้องรีบหาคนต้าเหอที่ชื่อกงจิ่วให้เจออย่างเร็วที่สุด”

“ต้าเหอ?” เย่เฮยสีหน้าลังเล แล้วพูดว่า “ท่านประมุข ผมเคยไปต้าเหอครั้งหนึ่ง เท่าที่ผมรู้ ต้าเหอมีอำนาจมืดอยู่สามตระกูล สืบทอดกันมาร้อยกว่าปี แบ่งออกเป็น สำนักยุทธ์เชียน กลุ่มงูเป็ด องค์ต้าหยัง อำนาจแข็งแกร่งมาก”

“ออ? คุณเคยไปต้าเหอ?” หลินอิ่งรู้สึกสนใจ “ถ้าเช่นนั้นก็ดีมาก เย่เฮย พยายามไปจัดการเรื่องนี้ให้ดี ต้องหาคนต้าเหอกงจิ่วให้เจอ สามารถลงมือจากคนที่ติดต่อกับตระกูลสวี นี่คือเบาะแสข่าวกรองที่เกี่ยวข้อง เก็บไว้ให้ดี”

“ครับ ท่านประมุข ผมต้องจัดการให้ดีแน่นอนครับ” เย่เฮยพยักหน้าอย่างเคารพ รับกล่องสีดำมาจากบนโต๊ะอย่างเคารพ

หลินอิ่งพยักหน้าอย่างเรียบเฉย “ไปเถอะ”

จากนั้น ร่างเย่เฮยดุจสายลม หายไปจากห้องอย่างรวดเร็ว

หลินอิ่งแววตาเฉียบคม ดื่มน้ำชาไปคำหนึ่ง มองเวลาจากนาฬิกาบนผนัง

จากนั้น เขาก็กดเบอร์โทรศัพท์เพื่อโทรออก

ไม่นาน หยูจื๋อเฉิงก็เดินเข้ามา หรงหยังก็พาลูกน้องหนุ่มฝีมือดีกลุ่มหนึ่ง เดินมาถึงหน้าประตู สั่งให้ลูกน้องรออยู่หน้าประตู

“หยูจื๋อเฉิง หรงหยัง พวกคุณสองคนเคยเจอกันแล้วที่เมืองก่าง” หลินอิ่งมองไปที่ทั้งสองคนที่เดินเข้ามา พูดอย่างใจเย็น “ผมก็ไม่ทำการแนะนำอะไรมากแล้ว คืนนี้ คุณสองคนเดินทางไปที่เขตหัวหยาง พาถังฮุยกลับมา”

หยูจื๋อเฉิงและหรงหยังมองตากัน พยักหน้าให้กันอย่างเคารพ

“รับคำสั่งท่านอิ่งครับ”

ทั้งสองตอบเป็นเสียงเดียวกัน

หรงหยังถอนตัวออกจากแก๊งหยางเหมินแล้ว เป็นอิสระแล้ว กลายเป็นหัวหน้าแก๊งในเมืองก่างให้หลินอิ่ง เป็นนักสู้มือทองเบอร์หนึ่ง

เพราะฉะนั้น หลินอิ่งแค่โทรไป เขาก็พาลูกน้องบินมาตี้จิงอย่างไม่ต้องคำนึง

“นั่งลงดื่มชา” หลินอิ่งพูดอย่างเรียบเฉย ถือกาน้ำชาไว้ เทน้ำชาสามแก้ว

“ประธานหยู จากนี้ในตี้จิง เราสองคนก็ร่วมงานกันอย่างดี” หรงหยังยกน้ำชาอย่างเคารพ ในใจเขารู้ดี หยูจื๋อเฉิงทำงานให้หลินอิ่งนานแล้ว เป็นลูกน้องคนสนิทอย่างแน่นอน

เห็นได้จาก ตั้งแต่จี้ฉงซานกับตัวหยูจื๋อเฉิงไป มีจุดจบที่อนาถขนาดไหน

“น้องหรงเกรงใจแล้ว” หยูจื๋อเฉิงสีหน้ายิ้มแย้ม พูดอย่างถ่อมตัว “เรื่องหลายอย่าง ก็ต้องพึ่งคนของคุณเหมือนกัน”

ทั้งสองทักทายกันอย่างเกรงใจ แล้วยกน้ำชาดื่มเคารพหลินอิ่ง

หลังจากที่หลินอิ่งสั่งงานเรียบร้อย หรงหยังและหยูจื๋อเฉิงก็พากันออกไป ลงไปเตรียมคนให้พร้อม เพื่อไปทำธุระที่เขตหัวหยาง

ติ๊ดติ๊ด

เวลาเดียวกัน มือถือหลินอิ่งมีข้อความเข้า

เขาเอามาดูอย่างสนใจ เป็นข้อความจากฉู่ฉู่ลูกสาวของฉู่สงซาน พวกเขาจัดโต๊ะจีนที่โรงแรมสากลกวงหุย ถามเขาว่ามีเวลาหรือไม่

คนตระกูลฉู่ยังคงเกรงใจมาก หลินอิ่งตอบข้อความ สั่งฮาเดสไปจัดรถ

ครั้งที่แล้วงานเลี้ยงต้อนรับมีเรื่องให้ไม่พอใจกัน หลินอิ่งคิดอยู่ว่าจะเลี้ยงคนตระกูลฉู่ ดีๆสักครั้ง ไปครั้งนี้ก็พอดีเลย

ยี่สิบนาทีผ่านไป

เขตจงเทียน โรงแรมสากลกวงหุย

ที่นี่เป็นโรงแรมสไตล์ตะวันตก เต็มไปด้วยบรรยากาศธุรกิจ ทั่วไปแล้วจะเป็นบุคคลในแวดวงไฮโซตี้จิงที่เข้าออกในนี้

ภายในร้านอาหารตะวันตกชั้นแปด แสงไฟสว่างไสว ภายในห้องอาหารที่ตกแต่งอย่างประณีต ปูด้วยพรมแดง มีทั้งชายหญิงเป็นคู่ๆ

หลินอิ่งพาฮาเดสเข้ามาในร้านอาหาร ขมวดคิ้วเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าตระกูลฉู่จะเลือกกินข้าวที่นี่ ดูเหมือนจะเป็นร้านอาหารสำหรับคู่รัก

หลินอิ่งสั่งให้ฮาเดสไปหาที่กินข้าวเอง แล้วเดินไปตำแหน่งที่นั่งของฉู่ฉู่

“พ่อและลุงของคุณล่ะ?” หลินอิ่งนั่งลงไปอย่างสง่า มองไปที่ฉู่ฉู่ ถามอย่างจริงจัง

วันนี้ฉู่ฉู่ใส่ชุดกระโปรงยาวสีดำ ให้ความรู้สึกทันสมัยสวยสง่างาม บุคลิกอ่อนโยน

“คุณหลิน คุณมาแล้ว” ฉู่ฉู่มองหลินอิ่งนั่งลงด้วยสีหน้าดีใจ “ออ พ่อและลุงของฉัน พวกเขากลับเตียนหนานไปแล้ว”

“กลับไปแล้ว?” หลินอิ่งขมวดคิ้ว ถามอย่างสงสัย “นี่มันเรื่องอะไรกัน? คุณอยู่ที่ตี้จิงคนเดียวเหรอ?”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท