ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 498 มรสุมรอบด้าน

บทที่ 498 มรสุมรอบด้าน

“คุณกง คุณให้ข่าวสารผมเกี่ยวกับด้านธุรกิจของหลินอิ่ง ผมให้ทีมงานกำลังจัดการแล้ว” เผียวจินฮุนพูด “ขอแค่มีอำนาจในตี้จิงคอยช่วยเหลือ ทำลายโครงสร้างธุรกิจทั้งหมดของหลินอิ่ง นั่นไม่มีปัญหาแม้แต่น้อย”

ขณะที่เผียวจินฮุนพูดคำพูดนี้ สีหน้ามั่นใจมาก

เพราะว่าเขามีทรัพย์สินที่เพียงพอ มีความมั่นใจพอในการจัดการเรื่องนี้

กงจิ่วพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็หันไปมองสวีไป๋เห้อ พูดว่า “น้องไป๋เห้อ ความสัมพันธ์ด้านต่างๆในตี้จิงก็พึ่งคุณช่วยจัดการแล้วนำ”

“โลกใต้ดินในตี้จิง โลกแห่งความมืด ตระกูลสวีของพวกคุณมีอำนาจในการพูดสูงที่สุด” กงจิ่วพูดอย่างใจเย็น “จัดการกับอำนาจใต้ดินในตี้จิงของหลินอิ่ง ก็ต้องดูฝีมือของท่านแล้ว”

“คุณกง ผมอยู่ในตี้จิงมานานหลายสิบปี ความสัมพันธ์แน่นแฟ้นทุกด้าน หลินอิ่งก็เป็นแค่ลูกที่ถูกทิ้งของตระกูลฉีคนหนึ่งเท่านั้น กลับสู่ตี้จิงอย่างแข็งแกร่ง กลืนกิจการไปตั้งมากมาย มีคนตั้งมากมายที่ไม่พอใจเขา” สวีไป๋เห้อพูดด้วยสีหน้าเย็นชา “เพียงแค่ขาดผู้นำคนหนึ่งอย่างคนแบบนี้”

“ยังมีอีกจุดหนึ่ง คุณกง หลินอิ่งควบคุมตระกูลนิ่งแห่งตี้จิงทั้งตระกูลอยู่เบื้องหลัง ทางด้านตระกูลนิ่ง คุณคิดจะจัดการยังไง?” สวีไป๋เห้อถามอย่างจริงจัง

กงจิ่วหัวเราะ สีหน้าโหดเหี้ยม พูดว่า “ตระกูลนิ่ง ตอนแรกเป็นของในกำมือผมแล้ว ก็เพราะหลินอิ่งมาวุ่นวาย ทำลายแผนการทั้งหมดของผม”

“ตระกูลนิ่งไม่รบกวนพวกคุณลงมือ ผมมีแผนการของผม” กงจิ่วพูดเสียงเคร่งขรึม

ความแค้นของเขากับหลินอิ่ง สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเรื่องของตระกูลนิ่ง

กงจิ่วทุ่มทุนมหาศาล ใช้ความพยายามทุกอย่าง จนประคับประคองนิ่งจองเต้าขึ้นไปสู่ตำแหน่งผู้นำตระกูลนิ่งแล้ว ยังกักขังนายท่านตระกูลนิ่งแล้ว จะได้ครอบครองทุกอย่างของตระกูลนิ่งแห่งตี้จิงอยู่ตรงหน้าแล้ว

ปรากฏว่า หลินอิ่งกลับโผล่มาสร้างความวุ่นวายกะทันหัน ทำให้ความพยายามเขาสูญสิ้น

ต้องรู้ว่า เรื่องการจัดการตระกูลนิ่ง ไม่ใช่เรื่องของเขากงจิ่วเพียงคนเดียว แต่เป็นกระบวนการที่สำคัญที่สำนักยุทธ์เชียนจัดการในประเทศหลุง แต่กลับล้มเหลว ความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้น ไม่สามารถคาดการได้

“พรุ่งนี้ ผมจะให้คนส่งจดหมายถึงหลินอิ่ง บอกเขาว่า ยาแก้พิษที่จะช่วยคุณปู่เขาอยู่ในมือฉัน” กงจิ่วสีหน้ายิ้มแย้มอย่างมั่นใจ พูดด้วยแววตาเย็นชา “ผมจะเวลาเขาพิจารณาสามวัน อยากจะช่วยปู่ของเขา ให้เขาตัดขาดแผนการทุกอย่างในตี้จิง ล้มเลิกกิจการและอำนาจทั้งหมดและออกไปจากตี้จิง”

ได้ยินแล้ว เผียวจินฮุนกับสวีไป๋เห้อต่างก็สีหน้าหวั่นไหว

“นี่……” สวีไป๋เห้อคิดไปครู่หนึ่ง พูดอย่างสงสัย “คุณกง คุณข่มขู่หลินอิ่งอย่างเปิดเผยแบบนี้ เขาจะติดกับเหรอ?”

“หลินอิ่งคนนี้ฝีมือโหดเหี้ยม จนไม่นับญาติมิตร ตอนนั้นที่ตระกูลฉีถูกฆ่าล้างตระกูล ยังไม่เห็นเขาปรากฏตัว” สวีไป๋เห้อพูดด้วยสีหน้าลังเล “บวกกับหลินอิ่งออกจากตระกูลฉีมานานหลายปี ตอนนั้นพวกเขาแม่ลูกยังถูกไล่ออกจากบ้าน”

“ถึงไอ้แก่ฉีเวิ่นติ่งตายแล้ว ก็ไม่ได้มีผลกระทบอะไรต่อหลินอิ่ง ใช้ชีวิตของคุณท่านฉีมาข่มขู่ ให้หลินอิ่งล้มเลิกอำนาจทั้งหมดในตี้จิง เท่าที่ผมดูแล้ว หลินอิ่งไม่ยอมแน่” สวีไป๋เห้อพูดอย่างคาดเดา

ล้อเล่นอะไร อำนาจเงินทองในมือหลินอิ่ง สามารถทำให้คนมากมายบ้าคลั่งได้

ระหว่างตระกูลมหาอำนาจ จะไปมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งอะไร?

ถ้าสามารถมีทรัพย์สินมหาศาลอย่างหลินอิ่ง ให้เขาสวีไป๋เห้อฆ่านายท่านบ้านตัวเองเขาก็ทำได้โดยไม่กะพริบตา

หลินอิ่งไม่ใช่คนโง่ จะไปตอบรับข้อเสนอแบบนี้ได้ยังไง?

“เหอะเหอะเหอะ น้องไป๋เห้อ คุณเดาผิดทางแล้ว” กงจิ่วพูดอย่างใจเย็น “เท่าที่ผมรู้ เมื่อก่อนถึงแม้หลินอิ่งจะถูกไล่ออกจากบ้าน แต่สำหรับปู่ของเขาคนนี้มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกันมาก อีกอย่าง ตอนนั้นที่ตระกูลฉีถูกฆ่าล้างตระกูล หลินอิ่งยังไม่ได้กลับสู่ตี้จิง ไม่รู้เรื่องนี้”

“เพราะฉะนั้น หลินอิ่งไม่มีวิธีแก้พิษในร่างของปู่เขาได้ มีโอกาสตอบรับข้อเสนอนี้สูงมาก” กงจิ่วพูดอย่างมั่นใจ

“ช้าก่อน คุณกง” เผียวจินฮุนพูดขมวดคิ้วเล็กน้อย “หรือว่าในแผนการคุณ เพียงแค่อย่างให้หลินอิ่งถอนตัวออกจากเวทีในตี้จิง แย่งอำนาจธุรกิจของเขาไปทุกอย่างเท่านั้นเหรอ? นี่ไม่ใช่เป้าหมายสุดท้ายของผม”

“สิ่งที่ผมต้องการ ก็คือฆ่าหลินอิ่งให้ตาย หายไปจากโลกนี้อย่างสิ้นเชิง” เผียวจินฮุนพูดด้วยเสียงเย็นชา

กงจิ่วยิ้มเล็กน้อย พูดด้วยสายตาเย็นชา “นั่นมันแน่นอน หลินอิ่งต้องตายแน่”​

“รับมือกับคนอย่างหลินอิ่ง พวกเราไม่ตัดหญ้าถอนโคน จะมีแต่ผลเสียตามมาอย่างไม่จบไม่สิ้น ข้อนี้ผมคิดว่าทุกคนในนี้ต่างก็รู้ดี”

“เพียงแค่ว่า พวกเราต้องวางแผนการอย่างดีเพื่อฆ่าคนคนนี้” กงจิ่วพูดอย่างเชื่องช้า “ผมใช้ชีวิตของฉีเวิ่นติ่งในการข่มขู่ นี่เป็นเพียงขั้นแรกเท่านั้น ไม่ว่าหลินอิ่งทำยังไง ต้องทำให้จิตใจเขาวุ่นวายแน่”

“มาถึงการสู้รบระดับเราแล้ว บางครั้ง ความเป็นความตายมันเป็นรายละเอียดอย่างหนึ่ง”

“ไม่ว่าหลินอิ่งจะยอมรับข้อเสนอของผมหรือไม่ ผมก็มีแผนการที่จะรับมือกับเขา เขาก็ไม่มีวันได้ยาแก้พิษจริงไปแน่นอน ในจุดนี้ พวกเราอยู่เหนือก่อนอยู่แล้ว ถืออำนาจเหนือกว่าเสมอ”

กงจิ่วยิ้ม พูดด้วยความมั่นใจ

“อีกอย่าง ผมสามารถให้ข่าวสารกับคุณสองคนได้ คนของสำนักยุทธ์เชียนของเรา มาถึงตี้จิงอย่างลับๆแล้ว” กงจิ่วพูดเสียงเบา “ผมมีแผนการอย่างละเอียด ยอดฝีมือระดับสูง เพื่อมาฆ่าหลินอิ่ง”

“สองท่าน…….”

…….

วันที่สอง

หลินอิ่งมาถึงตี้จิง เมืองใหญ่อันเจริญรุ่งเรือง

หลังจากลงจากเครื่องบินแล้ว ขบวนรถของหยูจื๋อเฉิงรออยู่ที่สนามบินแล้ว

หลินอิ่งพาหลี่ผู ขึ้นไปนั่งบนรถสีดำของหยูจื๋อเฉิง

รถขับเข้าไปบนถนนที่เจริญรุ่งเรือง ขับไปทางจื่อหลงซาน

“ท่านอิ่ง เมื่อคืนเกินเรื่องฉุกเฉิน เป็นข่าวไม่ดี”

หยูจื๋อเฉิงนั่งข้างคนขับ พูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

หลินอิ่งนั่งอยู่หลังรถ สีหน้าเย็นชาอย่างขีดสุด

“พูดเลย เป็นข่าวอะไร” หลินอิ่งพูดอย่างเรียบเฉย

“ท่านอิ่ง เมื่อคืนถังฮุยหายตัวไปในเขตหัวหยาง ผมฟังลูกน้องรายงานว่า ถังฮุยนัดกับเหยียนหลง สุดท้ายก็ขาดการติดต่อไป” หยูจื๋อเฉิงพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “นอกจากนี้แล้ว ลูกน้องที่ผมจัดไว้ในเขตหัวหยาง ภายในชั่วค่ำคืน ทั้งตาย ทั้งเจ็บ กิจการแต่ละอย่างเสียหายย่อยยับ ถูกคนทำลายหมดเลย”

“ฝีมืออันชั่วร้ายและรวดเร็วแบบนี้ เห็นได้ชัดว่าทำโดยยอดฝีมือ ลำพังเหยียนหลงคนเดียว ไม่มีความสามารถนี้แน่ และไม่มีความกล้าด้วย” หยูจื๋อเฉิงพูดวิเคราะห์

“ผมรู้แล้ว” หลินอิ่งพยักหน้า สีหน้าเรียบเฉย

เรื่องพวกนี้อยู่ในการคาดเดาของเขา คนที่ลงมือ แม้แต่ฉีเวิ่นติ่งนายท่านตระกูลเขาเองยังกล้าลงมือ ยังจะมีอะไรที่ไม่กล้าทำ

ครั้งนี้ คู่ต่อสู้มาอย่างดุดัน ตี้จิงมีมรสุมรอบด้าน

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท