ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 515 เจียงโจวตระกูลซือหม่า?

บทที่ 515 เจียงโจวตระกูลซือหม่า?

“เกี่ยวอะไรกับฉัน? เหอะเหอะ นายนี่มันกล้าพูดจังเลยนะ?” ซือหม่าเฟิงมองหลินอิ่งและพูดด้วยสีหน้าเหยียดหยาม

“ในตี้จิงยังมีแค่ไม่กี่คนที่กล้าพูดอย่างนี้กับฉัน” ซือหม่าเฟิงจ้องหน้าหลินอิ่งด้วยความเหยียดหยาม “บอกฉันมา ว่านายทำงานบริษัทไหนในตี้จิง เชื่อหรือไม่ ฉันแค่โทรศัพท์นายก็ต้องตกงาน แล้วไสหัวออกจากตี้จิง”

“ใช่ คนระดับล่างที่แม้แต่แต่งตัวยังไม่เป็นเลย ยังกล้ามาแสดงตัว ท้าทายกับพี่เฟิง คิดว่าตัวเองเป็นใคร?”

“ตระกูลซือหม่าเจียงโจวเคยได้ยินไหม? พี่เฟิงของเราเป็นคุณชายตระกูลซือหม่า ฐานะอย่างนายมันเข้าไปในแวดวงไฮโซไม่ได้หรอก เพราะฉะนั้นไม่รู้ใช่ไหม?”​

“เห้อ พวกเธอก็ไม่รู้จักดูคนไร้น้ำยาแบบนี้ จะไปรู้เรื่องอะไร? อย่างเก่งก็แค่หัวหน้าในบริษัทเล็กๆ สังคมระดับล่างเท่านั้น”

ชายหญิงที่ติดตามอยู่ข้างกายซือหม่าเฟิง ต่างก็พากันช่วยซือหม่าเฟิงพูด พูดจาเสียดสีหลินอิ่งอย่างไม่เกรงใจ

ใบหน้าของพวกเขาทุกคนต่างก็มีความรู้สึกเหนือกว่า สายตาเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม

ใช่แล้ว คนที่อยู่ข้างกายซือหม่าเฟิงหลายคน ถึงแม้จะเทียบกับฐานะตระกูลหมื่นล้านอย่างตระกูลซือหม่าเฟิงไม่ได้ แต่ว่า ฐานะแต่ละตระกูลก็ไม่ธรรมดา

อย่างน้อย หนุ่มสาวอายุน้อยอย่างพวกเขา ต่างก็ขับรถสปอร์ตราคาแพง

เมื่อเปรียบเทียบแล้ว หลินอิ่งดูแล้วก็เหมือนกับคนสังคมระดับล่างพนักงานเงินเดือนต่ำคนหนึ่งเท่านั้น มีสิทธิ์อะไรมาเปรียบเทียบกับพวกเขา? คนไร้ประโยชน์คนหนึ่งเท่านั้น

“เหอะ ตระกูลซือหม่าเจียงโจว?” หลินอิ่งหัวเราะเย็นชา ยกแก้วไวน์ขึ้นมาจีบ แล้วส่ายหน้า

หลินอิ่งเคยได้ยินชื่อตระกูลซือหม่า ในตระกูลชั้นหนึ่งของตี้จิงถือว่าค่อนข้างแข็งแกร่ง ห่างกับมหาตระกูลทั้งห้าแค่ก้าวเดียว รากฐานต่างกันอยู่นิดหน่อย

ตระกูลซือหม่าเป็นตระกูลที่อาศัยตระกูลจ้าว เชื่อมสัมพันธ์กับตระกูลจ้าว

ตี้จิงมีตระกูลมหาเศรษฐีมากมาย นอกจากห้าตระกูลใหญ่ที่อยู่จุดสูงสุด ยังมีตระกูลมหาเศรษฐีชั้นหนึ่งชั้นสองอีกมากมาย

ตระกูลเหล่านี้ถึงจะเทียบกับตระกูลใหญ่อย่างตระกูลฉีตระกูลสวีไม่ได้ แต่สำหรับคนทั่วไปแล้ว นั่นก็เหมือนอยู่อย่างตำนาน

เหมือนดั่งตระกูลซือหม่า กิจการของตระกูลมีอยู่ทั่วประเทศ รวมกันแล้วต้องเกินระดับหมื่นล้านแน่นอน ชื่อเสียงโด่งดัง ในตระกูลชั้นหนึ่งแห่งตี้จิงก็ถือว่าโดดเด่นของสมควร

“ทำไม? นายไม่เคยได้ยินชื่อตระกูลซือหม่าเหรอ? หรือว่านายคิดว่าตระกูลซือหม่าก็งั้นๆ?” ซือหม่าเฟิงมองหลินอิ่งด้วยสายตาเย็นชา “ดูท่าทางนายมั่นใจขนาดนี้ ใครเป็นคนให้ความมั่นใจกับนายแสดงท่าทางอวดดีได้ขนาดนี้?”

ซือหม่าเฟิงรู้สึกไม่พอใจกับท่าทางของหลินอิ่งมาก

หลังจากที่เขาแสดงฐานะว่าเป็นคุณชายตระกูลซือหม่าแล้ว กลับหัวเราะส่ายหน้าอย่างเย็นชา?

ตลกสิ้นดี ในตี้จิงอันกว้างขวางแห่งนี้ ขอแค่เขาบอกชื่อตระกูลซือหม่าออกไป มีใครบ้างที่ไม่ให้เกียรติเกรงใจ พูดจากอย่างเคารพบ้าง?

แค่ดู ไอ้แซ่หลินคนนี้ก็เป็นแค่เป็นที่ไม่เคยเข้าสังคม อย่างระดับของเขาคงไม่เคยแม้แต่ได้ยินชื่อของตระกูลซือหม่า

คิดถึงจุดนี้ ในใจซือหม่าเฟิงสำหรับหลินอิ่งแล้ว ยิ่งดูถูกกว่าเดิมแล้ว

“คุณพูดถูก” หลินอิ่งมองไปที่ซือหม่าเฟิง พูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ในสายตาผม ไม่มีชื่อตระกูลซือหม่าอยู่จริง”

“อะไร? ในสายตานายไม่มีตระกูลซือหม่า? นายคิดว่านายเป็นใคร?” ซือหม่าเฟิงหัวเราะเย็นชา มองหลินอิ่งด้วยสีหน้าเหยียดหยาม “ฉันไม่รู้จริงๆว่าคนไร้ประโยชน์อย่างนาย ทำไมถึงกล้าพูดจาแบบนี้?”

“ฮาฮา ผู้ชายแบบนี้จะโง่เกินไปไหม? ไม่มีตระกูลซือหม่าอยู่ในสายตา? ฉันจะขำตายแล้ว”

“ไอ้ขยะสังคมแบบนี้ฉันเจอมาเยอะแล้ว ตัวเองไร้ความสามารถ ยังคิดว่าตัวเองอยู่เหนือคนอื่น ไม่มีใครในสายตา ความจริงแล้วก็เป็นแค่คนไร้น้ำยา”

จากคำพูดที่หลินอิ่งพูดออกมา พวกซือหม่าเฟิงต่างก็พากันหัวเราพูดจาเหยียดหยาม มองหลินอิ่งเหมือนกำลังมองตัวตลก

ช่างเป็นคำพูดที่ตลกจริงๆ ไม่มีตระกูลซือหม่าในสายตา? นี่เพราะไม่รู้ว่าตระกูลซือหม่าคืออะไรมากกว่ามั้ง? เขาคิดว่าตัวเองเป็นอภิมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งแห่งตี้จิง?

คนคนหนึ่งจะโง่ได้ขนาดไหน ถึงได้พูดจาตลกได้ถึงเพียงนี้?

“พี่เฟิง ฉันว่าเรียกคนมาจัดการไอ้หน้าโง่นี้หน่อยดีกว่า กล้าไม่เคารพพี่ ต้องสั่งสอนมันสักหน่อย”

“ใช่แล้ว พี่เฟิง ฉันก็คิดแบบนี้ ดูท่าทางหน้าโง่อย่างมัน ดูเหมือนไม่ค่อยพอใจ ไม่สั่งสอนมันสักหน่อย มันยังไม่รู้จักเจียมตัวว่าตัวเองเป็นใคร”​

ผู้ชายร่างใหญ่สองคน พูดแนะนำอยู่ข้างกายซือหม่าเฟิง

“ซือหม่าเฟิง คุณไม่รู้สึกว่าพฤติกรรมของคุณไม่เกินไปแล้วเหรอ? เรื่องของเรา ไม่เกี่ยวกับคุณอยู่แล้ว” ฉู่ฉู่เปิดปากพูด สีหน้าไม่ค่อยพอใจ

สำหรับซือหม่าเฟิงเธอไม่ได้มีความประทับใจอะไรแต่แรกแล้ว แค่เห็นแก่ความสัมพันธ์การเป็นเพื่อนนักเรียนเลยทักทาย คิดไม่ถึงว่าซือหม่าเฟิงยังฉวยโอกาสมาดูถูกคนอื่น

สมัยตอนอยู่มหาลัย ซือหม่าเฟิงเป็นคุณชายเจ้าสำราญขึ้นชื่อ ตามตื๊อเธอไม่เลิก

ได้ยินฉู่ฉู่พูดประโยคนี้ออกมา ซือหม่าเฟิงสีหน้าแดงก่ำ จ้องหน้าหลินอิ่งสายตาชั่วร้าย ในใจรู้สึกไม่พอใจอย่างมาก

เขารู้สึกว่าฉู่ฉู่กำลังปกป้องไอ้ไร้น้ำยาแซ่หลินคนนี้ เพราะอะไร? ไอ้ขยะคนหนึ่งที่ระดับต่ำต้อยกว่าเขาตั้งไม่รู้กี่เท่า แต่กลับรู้ใจเทพธิดาอย่างฉู่ฉู่ดีกว่าเขา?

“ฉู่ฉู่ เธออย่าโกรธ ฉันเห็นแก่หน้าเธอ ไม่ไปทำร้ายมันจริงๆหรอก คนแบบนี้ไม่คู่ควรที่ฉันจะไปถือสาหรอก ระดับมันต่ำเกินไป นี่ก็เพราะโมโหชั่วขณะ ทนคนไร้มารยาทไร้การศึกษาแบบนี้ไม่ได้ มันไม่รู้แม้แต่มารยาทพื้นฐาน” ซือหม่าเฟิงมองไปที่ฉู่ฉู่ พูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเพื่อประจบ

“ฉันรู้สึกเสียดายแทนเธอจริงๆ ถ้าหากคบกับผู้ชายไร้น้ำยาแบบ มันน่าเสียดายเกินไป……” ซือหม่าเฟิงพูดสีหน้าเอือมระอา ในแววตาเต็มไปด้วยความอิจฉา

ฉู่ฉู่สีหน้าแดงก่ำ ไม่ได้พูดอะไร ความจริงในใจก็อยากคบกับหลินอิ่ง เสียดายหลินอิ่งไม่ได้ตอบตกลง

“ฉู่ฉู่ ฉันว่า ไอ้ไร้น้ำยาไม่มีความสามารถคนนี้ อีกหน่อยเธอก็อย่างไปมาหาสู่เลย ทำลายฐานะตัวเองเปล่าๆ” ซือหม่าเฟิงพูดอย่างยโส “ฉู่ฉู่ อีกหน่อยเธอมาตี้จิง มีอะไรเดี๋ยวฉันดูแลเอง เรื่องทั่วไปฉันช่วยเธอจัดการได้ทุกอย่าง”

“นี่คือนามบัตรของฉัน ฉันรอเธอโทรมาเสมอ”

พูดไป ซือหม่าเฟิงสีหน้ายิ้มแย้ม ยื่นนามบัตรเหลี่ยมทองคำใบหนึ่งไปให้

ตำแหน่งบนนามบัตรของเขา เป็นประธานกรรมการบริษัทซือหม่าตี้จิง

บริษัทซือหม่าแห่งตี้จิง ลำดับในห้าร้อยของโลก เกี่ยวข้องกิจการต่างๆนานา เน้นอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์เป็นหลัก ชื่อเสียงโด่งดัง ฉู่ฉู่ น่าจะเคยได้ยิน

“เอาอย่างนี้ ฉู่ฉู่ พอดีฉันจัดงานปาร์ตี้ เธอจะไปร่วมงานกับฉันไหม? ทุกคนต่างก็เป็นเพื่อนนักเรียนเก่า พูดคุยกันหน่อย ฉันแนะนำธุรกิจในตี้จิงให้เธอหน่อย อีกหน่อยมีเวลาทุกคนก็ติดต่อกันบ่อยๆ” ซือหม่าเฟิงเชิญด้วยสีหน้ายิ้ม

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท