ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 512 เมืองเทคโนโลยีเทียนหลงระดับล้านล้าน

บทที่ 512 เมืองเทคโนโลยีเทียนหลงระดับล้านล้าน

หลินอิ่งฟังรายงานจากหยูจื๋อเฉิง นิ้วมือเคาะหัวเข่า

“สวีจิ่วหลิงออกมาด้วยตัวเองแล้ว?” หลินอิ่งขมวดคิ้ว ถามอย่างสงสัย

นายท่านตระกูลสวี สวีจิ่วหลิง ในแวดวงสังคมขนาดใหญ่อย่างตี้จิงนั้นถือว่าเป็นบุคคลใหญ่โตที่ได้รับความเคารพนับถืออย่างสูง ทุกถ้อยคำพูดนั้นถือว่าเป็นตัวแทนของตระกูลสวี

ก่อนหน้านี้เขาบีบให้สวีไป๋เห้อคุกเข่า ถือว่าทำให้ตระกูลสวีขายหน้า แต่ไม่ได้จะให้ถึงขั้นเอาเป็นเอาตาย

แต่ว่าบุคคลผู้อาวุโสอย่างสวีจิ่วหลิงออกมาด้วยตัวเอง ความหมายมันก็ไม่เหมือนกันแล้ว

เท่ากับว่าตระกูลสวีกำลังประกาศสงครามกับตระกูลฉี การสู้รบเพื่อให้ตายกันไปข้างหนึ่งอย่างแท้จริง

โดยเฉพาะ ผลกระทบของผู้อาวุโสอย่างสวีจิ่วหลิงในตี้จิงไม่ได้เล็กเลย การออกมาพูดเช่นนี้ ต้องสะเทือนตี้จิง กิจการในนามของเขาในตี้จิงต้องได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงแน่นอน

“ใช่ครับ ท่านอิ่ง ผมก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่านายท่านของวงศ์ตระกูลใหญ่จะออกหน้าด้วยตัวเอง นี่คือต้องการสู้กับท่านให้ตายกันไปข้างหนึ่งแล้ว” หยูจื๋อเฉิงพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “หลังจากสวีจิ่วหลิงออกมาประกาศในแวดวงตี้จิงแล้ว บวกกับข่าวลือเรื่องนายท่านฉีทั่วเมืองแบบนี้ ทำให้ผู้คนกังวล สถานการณ์ของเราตอนนี้เป็นฝ่ายรับอย่างเดียว”​

หลินอิ่งสีหน้ามีแววแห่งความโหดเหี้ยม ตระกูลสวีเลวไม่ยอมตายใจอีก คิดว่าดึงอำนาจของเกาหลีกับต้าเหอมาร่วมด้วย ก็สามารถมาท้าทายกับเขาได้แล้วเหรอ?

ในเมื่อสวีจิ่วหลิงไม่เห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าระหว่างนายท่านตระกูลฉี ยังออกหน้าด้วยตัวเอง ตัวเขาเองก็ไม่จะเป็นต้องออมมืออีกแล้ว

ตอนแรก หลินอิ่งตัดสินใจรอจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย ไปจัดการลบล้างตระกูลสามพี่น้อง สวีถันโจว สวีไป๋เห้อ สวีฉางเฟิง ให้สวีจิ่วหลิวเหลือลูกหลานไว้

แต่ดูวันนี้ ตระกูลสวีทั้งตระกูล ต้องสูญพันธุ์แล้ว

“พูดต่อ หลายวันนี้มีปัญหาด้านไหนอีก?” หลินอิ่งถาม

หยูจื๋อเฉิงนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “หลังจากถังฮุยถูกจับแล้ว เขตหัวหยางก็สูญเสียการความคุมแล้ว กิจการในดินแดนแห่งความมืดถูกเก็บกวาดจนหมดสิ้น อีกอย่าง ผมให้นกอินทรีไปจัดการธุระที่เขตหัวหยาง เพื่อลองหาถังฮุยกลับมา แต่ก็ถูกยิง ถูกซ้อมไล่ออกมา”

“จากการกดดันทุกด้าน อำนาจในการควบคุมโลกแห่งความมืดในตี้จิงของผมไม่เพียงพอแล้ว พี่น้องก็ตายไปเยอะแล้ว กิจการก็เสียหายอย่างรุนแรง” หยูจื๋อเฉิงพูด “ทุกครั้งที่ตระกูลสวีปฏิบัติการ จะมีชีซิงกรุ๊ปคอยสนับสนุนอย่างใกล้ชิด บอกกับคนต้าเหอคอยก่อกวนในที่ลับ ผมทำงานลำบากมาก”

“ผมรู้แล้ว” หลินอิ่งจุดบุหรี่ สายตาเฉียบคม

เขาครุ่นคิดอยู่สักพัก ถามว่า “หยูจื๋อเฉิง ทางด้านตระกูลสวีและชีซิงกรุ๊ป โครงการที่พวกเขาจับตาให้ความสำคัญที่สุดอยู่ไหน?”

หลินอิ่งสำหรับอำนาจในตี้จิงของตัวเอง รู้ตำแหน่งอย่างชัดเจน

อำนาจเงินทองผลกระทบในด้านธุรกิจ พูดตามตรง เผชิญหน้ากับการร่วมมือของชีซิงกรุ๊ปกับตระกูลสวีและคนต้าเหอ เขาเป็นฝ่ายเสียเปรียบ

กิจการของตระกูลฉีทรงพลังแค่ไหน แต่ถึงแม้บวกกับตระกูลนิ่งทั้งตระกูล ในแวดวงธุรกิจตี้จิงก็ไม่พอที่จะไปสู้รบ

เพราะว่า มาถึงระดับนี้แล้ว เรื่องในวงการธุรกิจ ไม่ใช่เรื่องที่ใช้เพียงตัวเลขทรัพย์สินในการตัดสินใจแล้ว

ตัวเองกลับมาตี้จิงไม่ถึงปี รากฐานในตี้จิงยังไม่พอ เทียบไม่ได้กับสวีจิ่วหลิงที่บริหารมานานหลายสิบปี

บวกกับผลกระทบในต่างประเทศของชีซิงกรุ๊ปและการผูกขาดด้านเทคนิค

จัดการยาก

เพราะฉะนั้น จำเป็นต้องรวบรวมความสามารถทั้งหมด ปะทะกับอำนาจขอตระกูลสวีในครั้งเดียว

“ท่านอิ่ง ความหมายของท่านคือ?” หยูจื๋อเฉิงถามด้วยสีหน้าลังเล พอเดาความหมายของหลินอิ่งออก

“ภายใต้ความกดดันสูงแบบนี้ กิจการในนามของผมหลายอย่างรักษาต่อไม่ได้แล้ว ยอมเป็นหยกแหลกลาญ ไม่ขอเป็นกระเบื้องสมบูรณ์” หลินอิ่งพูดอย่างเรียบเฉย “รวบรวมทรัพย์สินทั้งหมด แย่งทรัพยากรธุรกิจที่สำคัญที่สุดไว้”

“สำหรับกิจการเล็กๆน้อยๆพวกนั้น ก็ปล่อยให้พวกเขาไปแย่ง กิจการขนาดเล็กที่อยู่ในชื่อผมโยนทิ้งหมดเลย เก็บเงินทุนกลับมา”

“ท่านอิ่ง ผมเข้าใจความหมายของท่านแล้ว ทางด้านนี้ผมจะให้ทีมธุรกิจในมือผมไปจัดการ” หยูจื๋อเฉิงพูดอย่างจริงจัง “ทุกวันนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดในตี้จิง ที่ได้รับความสนใจที่สุด ก็คือเมืองเทคโนโลยีเทียนหลง”

“กิจการที่ผมดูแลให้ท่านอยู่ มีส่วนแบ่งสองเปอร์เซ็นต์จากเมืองเทคโนโลยีเทียนหลง ชีซิงกรุ๊ปกับตระกูลสวีต่างก็จับจ้องอยู่ ทุกวันนี้เมืองเทคโนโลยีนี้ได้รับความสนใจอย่างมากในวงการธุรกิจตี้จิง เรียกได้ว่าเป็นโครงสร้างที่ไม่เคยมีมาก่อน ถูกเรียกว่าเมืองใหม่ล้านล้าน”

หลินอิ่งพยักหน้า เขาเคยเห็นข้อมูลของเมืองเทคโนโลยีเทียนหลงจากเอกสารที่หยูจื๋อเฉิงรายงานมา นี่เป็นโครงการระดับล้านล้านที่แท้จริง ได้รับความสนใจทั่วประเทศ

เมืองเทียนหลงครอบคลุมพื้นที่มหาศาล วางแผนตลาดธุรกิจและอสังหาริมทรัพย์นับไม่ถ้วน หนทางต่างๆนานาลึกซึ้งมาก เกี่ยวพันถึงความเป็นความตายของกิจการมากมาย

โดยเฉพาะ นี่เป็นเมืองเทคโนโลยีระดับสูงแห่งหนึ่ง มูลค่าที่มีนั้นไม่อาจคาดการได้

“เตรียมเอกสารข้อมูลของเมืองเทคโนโลยีเทียนหลงอย่างละเอียดให้ผมฉบับหนึ่ง รวบรวมเงินทุนทั้งหมด กิจการอื่นไม่ต้องห่วงผลเสียหาย ไปแย่งชิงกับทางด้านชีซิงกรุ๊ป แต่โครงการนี้ ต้องเอาให้ได้” หลินอิ่งพูดสั่ง

“ครับ ท่านอิ่ง แต่ว่า โครงการเมืองเทคโนโลยีเทียนหลงนี้ มีเพียงสมาคมธุรกิจตี้จิงเท่านั้นที่เข้าร่วมได้ อันนี้ ผมยังไม่มีสิทธิ์……” หยูจื๋อเฉิงพูดอย่างจริงจัง

“ถึงเวลาผมจะออกหน้าเอง คุณเตรียมงานไว้ให้ดีก็พอ ทางด้านสมาคมธุรกิจตี้จิง ผมจะไปด้วยตัวเอง” หลินอิ่งพูดเสียงเรียบ

สมาคมธุรกิจตี้จิง มีเพียงตัวแทนดำเนินการห้าคนเท่านั้น แยกออกเป็นตระกูลมหาอำนาจทั้งห้าแห่งตี้จิง ตระกูลละหนึ่งที่นั่ง ผูกขาดธุรกิจทุกอย่างในตี้จิง

หลินอิ่งเป็นตัวแทนตระกูลฉีคนปัจจุบัน และตำแหน่งผู้อาวุโสตระกูลนิ่ง ในสมาคมธุรกิจตี้จิงก็กำตั๋วไว้สองใบแล้ว มีอำนาจในการพูดที่สูงมาก

“แล้วก็เรื่องที่ถังฮุยหายตัวไป สืบหาร่องรอยให้ได้ คืนนี้ ผมจะเอาคนกลุ่มหนึ่งให้คุณ ไปช่วยถังฮุยกลับมา” หลินอิ่งพูดอย่างเรียบเฉย

“ไปเอารถ ไปพบคนที่โรงแรมสนามบินกับผม” หลินอิ่งพูดอย่างจริงจัง

ไม่นาน หยูจื๋อเฉิงก็ขับรถ พาหลินอิ่งขับไปสู่สนามบินนานาชาติจงเทียน

ระหว่างที่เป็นห่วงอาการป่วยของคุณปู่อยู่หลายวัน หลินอิ่งก็ไม่ใช่ไม่ได้เตรียมอะไรเลย

ตั้งแต่วันที่เขานั่งเครื่องกับตี้จิง เขาก็ติดต่อกับทางด้านเมืองก่างแล้ว

เกี่ยวข้องกับการต่อสู้ระหว่างยอดฝีมือแวดวงลึกลับ ก็ต้องเรียกตัวเย่เฮยกับหรงหยังมา

เย่เฮยและยอดฝีมืออดีตองครักษ์แก๊งมังกรหลายคน แล้วก็หรงหยังพาลูกน้องฝีมือดีมาด้วย ได้มาจากเมืองก่างถึงสนามบินตี้จิงแล้ว แค่รอเขาไปจัดการสั่งงาน

แล้วก็ยังมีความสัมพันธ์ทางราชการทางด้านท่านหลุยกง

หลินอิ่งก็เตรียมตัวจะใช้แล้ว เพราะว่าเรื่องโครงการเมืองเทียนหลง เกี่ยวข้องกับทางราชการ

รวมถึงนายท่านนิ่งไท่จี๋แห่งตระกูลนิ่งที่เกษียณไปแล้ว ก็ให้คนมาส่งจดหมาย ถามว่าต้องให้ตัวเองส่งคนช่วยหรือไม่

ส่วนไพ่ใบนั้นที่คุณปู่ให้ตัวเอง ก็ยังไม่ได้ใช้

ในตี้จิงแห่งนี้ ก็มีไพ่ใบสำคัญอยู่ในมือพวกนี้ หลินอิ่งก็อยากดูว่า กงจิ่วจะบีบตัวเองเอาออกมาใช้ได้เท่าไหร่

ยี่สิบนาทีผ่านไป หยูจื๋อเฉิงขับรถมาถึงโรงแรมสนามบินที่อยู่ใกล้สนามบิน

หลินอิ่งสั่งลงไป ให้หยูจื๋อเฉิงจัดบอดี้การ์ดให้เฝ้าไว้ที่หน้าประตู

ส่วนเขา ขึ้นไปที่ห้องรับรองชั้นสิบห้าคนเดียว

“ท่านประมุขแก๊ง”

หลินอิ่งเดินเข้าไป เย่เฮยก็คุกเข่าข้างเดียวเพื่อเคารพด้วยสายตาหนักแน่น

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท