ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 522 คุณชายอิ่งทุบของถือว่าเป็นเกียรติ

บทที่ 522 คุณชายอิ่งทุบของถือว่าเป็นเกียรติ

“พ่อ พ่อให้ผมคุกเข่าให้เขา?”

ซือหม่าเฟิงสีหน้าเต็มไปด้วยความตะลึง มือจับหน้าบวมแล้วพูดด้วยความไม่อยากเชื่อ

ไม่ว่ายังไงเขาก็คิดไม่ถึง พ่อของเขามาแล้วกลับมีทัศนคติ กลับเห็นไอ้ไร้น้ำยาหลินอิ่งคนนี้ เหมือนดั่งเทพเทวดา

ซือหม่าเฟยวู่เดินเข้าไป เอามือกดหัวซือหม่าเฟิง กดหัวของเขาคำนับโคกพื้นอย่างแรง

“แกไม่รู้เหรอว่าคุณชายอิ่งคือใคร? หรือว่าแกคิดว่าเรื่องที่ไอ้ลูกไม่รักดีอย่างแกทำผิดแล้ว จะให้ตระกูลซือหม่าตายไปกับแกด้วย?”

ซือหม่าเฟยวู่สายตาโมโห พูดด้วยน้ำเสียงโหดเหี้ยม

“คุณชายอิ่ง? เป็นไปได้ยังไง เขาคือคุณชายอิ่ง?”​

ทันใดนั้น กล้ามเนื้อใบหน้าของซือหม่าเฟิงแข็งตัว อึ้งไปทั้งคนเหมือนหุ่นยนต์ มองหลินอิ่งด้วยความตะลึงตาค้าง จากนั้นก็รีบก้มหน้า หวาดกลัวจนตัวสั่นไปทั้งร่าง

เวลานี้ สายตาอันเย็นชาของหลินอิ่ง ในสายตาของซือหม่าเฟิงมันทำให้รู้สึกหวาดกลัวยิ่งกว่าปีศาจร้ายอีก

นั่งอยู่ตรงนั้น ความน่าเกรงขามก็ถาโถมเข้ามาอย่างรุนแรง บีบจนเขาหายใจลำบาก

ใช่แล้ว คุณชายอิ่งสามคำนี้

ไม่ว่าอยู่ที่ไหนในตี้จิง ก็ทำให้คนตกใจอย่างหวาดกลัว

ซือหม่าเฟิงเคยได้ยินชื่อเสียงของคุณชายอิ่ง นั่นเป็นอภิมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งที่อายุน้อยที่สุดในตี้จิง คนโหดที่มีอำนาจที่สุด ใจดำโหดเหี้ยมในตำนาน ห้าตระกูลใหญ่มีครึ่งหนึ่งล้วนเคยถูกเขาเหยียบมาแล้ว

คนใหญ่คนโตระดับนี้ อย่าว่าแต่คุณชายตระกูลซือหม่าอย่างเขาเลย แม้แต่ต่อหน้านายท่านตระกูลซือหม่า ก็ยังคงต้องก้มหัวขอโทษอย่างเคารพ

ตุ๊บตั๊บ

ซือหม่าเฟยวู่ถีบอย่างแรงไปที่เข่าของซือหม่าเฟิง ให้ซือหม่าเฟิงคุกเข่าต่อหน้าหลินอิ่ง เข่าอ่อนไปทั้งสองข้าง เขาตกใจจนใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว แม้แต่ความกล้าที่จะเผชิญหน้ากับหลินอิ่งก็ไม่มีแล้ว

ซือหม่าเฟิงในตอนนี้ เห็นท่าทางที่พ่อของเขาแสดงออกมา ทำให้ตกใจแทบจะคลั่งไคล้แล้ว เสียใจไปหมดแล้ว

ยังไงก็คิดไม่ถึงว่าคนตรงหน้าคือคุณชายอิ่ง ยังไปหาเรื่องพูดจาเสียดสีคุณชายอิ่งไม่หยุด? นี่มันมดตัวน้อยไปท้าทายมังกรใหญ่ เขาแค่หายใจก็เป่าจนล้มลุกคลุกคลานแล้ว น่าตลกสิ้นดี

“นี่ นี่มันสถานการณ์อะไร?”

“คุณชายอิ่ง? ชายหนุ่มผู้ลึกลับคนนั้น คุณชายอิ่งแห่งตี้จิงผู้ลึกลับ?”

“มิน่าล่ะ กล้าดูหมิ่นศักดิ์ศรีตระกูลซือหม่า คุณชายอิ่งอยู่ตรงหน้า เสียมารยาทแล้วจริงๆ”

“พวกเราแค่เคยได้ยินชื่อ ไม่เคยเห็นตัวจริง คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะได้มีบุญตาได้เห็นคุณชายอิ่ง สง่างามจริงๆ ท่ามกลางความเรียบเฉย ก็ทำให้ตระกูลซือหม่าหวาดกลัว ก้มหัวเคารพ”

ทันใดนั้น ผู้คนในงาน ต่างก็พูดด้วยน้ำเสียงตะลึง สีหน้าของทุกคนต่างก็มองไปที่หลินอิ่งด้วยความเคารพนับถือ

ในนั้นก็มีหญิงสาวหน้าตาดีไม่น้อย ที่มองหลินอิ่งตาเป็นประกาย ส่งสายตาให้

ความสามารถแข็งแกร่งเดินไป ทำให้หัวหน้าตระกูลซือหม่ายังต้องก้มหัวคำนับ แค่เพียงชั่วพริบตา ก็ใช้ทรัพย์สินมหาศาลที่คนทั่วไปไม่อาจคาดคิดได้

ผู้ชายที่เกิดมาเป็นเช่นนี้จริงๆ

“คุณหลิน……”

ฉู่ฉู่ยืนอยู่ข้างกายหลินอิ่ง เผชิญกับสายตาอันเคารพนับถือของทุกคนในงาน เธอรู้สึกหน้าแดงทันที แดงจนรู้สึกว่ามันแสบร้อน หัวใจเต้นแรง

นั่งอยู่ข้างกายผู้ชายที่สูงส่งระดับหลินอิ่ง ท่ามกลางสายตาชื่นชมจากผู้คน คาดว่าคงไม่มีผู้หญิงคนไหนในโลกจะปฏิเสธได้

“คุณชายอิ่ง ต้องขอโทษจริงๆ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในคืนนี้เป็นเรื่องเข้าใจผิด ผมยินดีรับผิดชอบทุกอย่าง หวังว่าคุณชายอิ่งจะไม่โกรธเคืองตระกูลซือหม่า” ซือหม่าเฟยวู่ก้มหน้าให้หลินอิ่ง พูดด้วยความหวาดกลัว

ซือหม่าเฟยวู่ไม่รู้นิสัยหลินอิ่ง แต่เคยได้ยินเรื่องราวอันน่าสะพรึงขวัญหลายเรื่องที่หลินอิ่งทำในตี้จิง

เรื่องแรกครั้นที่กลับคืนสู่ตี้จิง ฆ่าล้างตระกูลเหวิน ทำให้ตระกูลเหวินที่เคยแข็งแกร่งจนถึงทุกวันนี้ยังไม่กล้าเผยโฉมหน้าในประเทศหลุง จากนั้นก็ทำให้หัวหน้าตระกูลสวีคุกเข่าขอโทษ ทำให้คุณชายทั้งสองของชีซิงกรุ๊ปแห่งเกาหลีขาพิการ

เรื่องเหล่านี้ ที่เกิดขึ้นทั้งหมด ก็คือคนโหด ท้าทายไม่ได้

หากไม่ดีทำให้หลินอิ่งไม่พอใจ แค่คำพูดสองสามคำก็ลบล้างตระกูลซือหม่าอย่างราบคาบ

หลินอิ่งมองไปที่ซือหม่าเฟยวู่อย่างเรียบเฉย ยกไวน์ดื่มอย่างใจเย็น ไม่ได้แสดงทัศนคติ

ซือหม่าเฟยรู้สึกหวาดกลัวในใจ เขาเข้าใจความหมายนี้

หลินอิ่งไม่ได้แสดงทัศนคติ นั่นก็หมายความว่า ยังทำได้ไม่พอ ยังไม่เต็มที่

“ไอ้ลูกไม่รักดี แกเป็นใบ้หรือไง? ได้ยินว่าแกยังด่าคุณชายอิ่ง ทำไมตอนนี้พูดไม่เป็นแล้ว? พูดซิ ขอโทษยอมรับผิดพูดไม่เป็นเหรอ?” ซือหม่าเฟยวู่ด่าว่าซือหม่าเฟิงอย่างเย็นชา ตบหน้าไปอีกสองครั้งอย่างแรง

“คุกเข่าคำนับขอโทษ ได้ยินหรือยัง?”

ซือหม่าเฟยวู่กดหัวของซือหม่าเฟิง ซ้อมอย่างรุนแรง

“เอื้อก……” ซือหม่าเฟิงร้องออกมาอย่างเจ็บปวด เหมือนถูกซ้อมจนโง่ไปแล้ว ก้มหัวคำนับด้วยสายตาไร้แวว ในใจเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและอับอาย

“ให้เขาขอโทษฉู่ฉู่ที่อยู่ข้างผม” หลินอิ่พูดอย่างเย็นชา “ให้เขารู้ว่า ไม่ว่ามีอำนาจเงินทองแค่ไหน ก็ต้องรักษาพื้นฐานมารยาทความเคารพต่อผู้หญิง”

“ขอ ขอโทษ คุณชายอิ่ง ผมผิดไปแล้ว ผมไม่ควรไปพูดเสียดสีท่าน ขอ ขอให้ท่านปล่อยผมไปเถอะ”

“ฉู่ฉู่ ขอโทษ ผม ผมไม่ควรฝืนใจคนอื่น ทำให้คุณลำบากใจ ผมสมควรตาย”

ซือหม่าเฟิงพูดอ้ำๆอึ้งๆ ตัวสั่นไปทั้งร่าง สีหน้าซีดขาว ดูไม่เป็นผู้เป็นคนแล้ว

เห็นภาพนี้แล้ว ทุกคนในงานต่างก็ทำเสียงโห่ร้องดูถูก

งานเลี้ยงที่ซือหม่าเฟิงจัดขึ้น เวลาสำหรับแสดงรถหรูนาฬิกาหรูวัตถุโบราณ นั่นดูสง่าขนาดไหน เป็นที่น่าจดจำ

คุณชายเจ้าสำราญผู้มีชื่อเสียงในตี้จิงคนหนึ่ง ยโสโอหัง สุดท้าย เจอกับคุณชายอิ่ง กลับโดนจัดการจนซมซานขนาดนี้ ถูกพ่อตัวเองกดหัวคำนับอยู่กับพื้น

คาดว่าหลังจากครั้งนี้แล้ว ซือหม่าเฟิงคงไม่มีหน้าอยู่ในสังคมตี้จิงแล้ว ความยโสถูกหลินอิ่งเหยียบย่ำจนหมดสิ้น หมดความเป็นคนไปกว่าครึ่ง

“คุณชายอิ่ง ขอความกรุณาคุณอย่าไปถือสากับไอ้ลูกไม่รักดีคนนี้เลย คนไม่เอาไหนอย่างมันไม่คู่ควรให้ท่านลงมือ หวังว่าท่านจะให้ความกรุณา” ซือหม่าเฟยวู่พูดขอร้องเหงื่อท่วมหัว

หลินอิ่งวางแก้วลง สายตาค่อยๆมองไปที่ตัวซือหม่าเฟยวู่ พูดอย่างเรียบเฉย “ผมก็ไม่ใช่คนไร้เหตุผล ทำลายข้าวของตระกูลซือหม่า ผมชดใช้ให้ จากนี้ไป ผมไม่อยากเห็นคนชื่อซือหม่าเฟิงในตี้จิงอีก คุณเข้าใจไหม?”

“มิกล้า มิกล้า คุณชายอิ่ง ท่านพูดล้อเล่นไป ท่านทำลายของตระกูลซือหม่า เป็นเกียรติของพวกเรา เป็นบุญของตระกูลซือหม่าเรา ไม่กล้าให้ท่านชดใช้” ซือหม่าเฟยวู่พูดอย่างหวาดกลัว รีบพูดว่าไม่กล้า

ล้อเล่นอะไร เงินชดใช้จากคุณชายอิ่ง ตระกูลซือหม่าของพวกเขารับได้เหรอ? กล้ารับเหรอ?

คุณชายอิ่งท่านนี้ไม่ลบล้างตระกูลซือหม่า นั่นก็โชคดีแค่ไหนแล้ว

“คุณชายอิ่ง ผมโอนเงินพันห้าร้อยล้านให้ท่านเดี๋ยวนี้ เป็นเพราะไอ้ลูกไม่รักดีคนนี้ไม่รู้เรื่อง เอาของขยะพวกนี้ มาวางขวางหูขวางตาท่าน ยังทำให้ท่านเสียเวลาอันมีค่า” ซือหม่าเฟยวู่วางตัวต่ำจนสุดขีด พูดอย่างเคารพ “ตระกูลซือหม่าของเรายินดีออกเงินอีกสองพันล้าน เพื่อให้คุณชายอิ่งเป็นของขวัญ วันหลัง ผมจะส่งของขวัญไปให้ด้วยตัวเอง”

“ขอเพียง คุณชายอิ่งยกโทษไม่เอาความ”

ซือหม่าเฟยวู่ก้มหัวเก้าสิบองศา ขอร้องหลินอิ่ง ท่ามกลางสีหน้าตื่นเต้น แววตาที่คาดหวังเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

หลินอิ่งส่ายหน้า พูดอย่างเรียบเฉย “เงินที่ผมจ่ายไป ไม่เคยให้คนอื่นเอากลับมา เงินของคุณ ผมไม่ต้องการ คุณก็ไม่ต้องเอาของขวัญมาให้ จากนี้ไป ให้ลูกชายคุณขายไปจากสายตาของผม เข้าใจไหม?”

พูดจบ หลินอิ่งก็ลุกขึ้นช้าๆ ฉู่ฉู่ก็ลุกขึ้น เดินตามอยู่ข้างหลังอย่างระมัดระวัง

“ครับ ขอบคุณคุณชายอิ่งที่เมตตา ผมกลับไปแล้ว ต้องสั่งสอนไอ้ลูกไม่รักดีนี่อย่างดี ให้มันออกไปจากประเทศหลุงตลอดไป”

ซือหม่าเฟยวู่พูดอย่างเคารพ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท