ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 505 หลินอิ่งทำไมถึงหักหน้ากัน?

บทที่ 505 หลินอิ่งทำไมถึงหักหน้ากัน?

“ครับ พ่อ ผมจะทำตามคำสั่งพ่อ” ฉู่สงซานพูดอย่างจริงจัง ในความรู้สึกนั้นมีอารมณ์ความตื่นเต้น

ตอนแรกคิดว่า เพราะว่าเรื่องของหลินอิ่งทำให้คุณท่านโกรธ ยังสร้างความโมโหภายในตระกูลฉู่

แต่ตอนนี้ดูแล้ว การตัดสินของเขาไม่ได้ผิด หลินอิ่งมีความเป็นมาที่ไม่ธรรมดาจริง แม้แต่คุณท่านตระกูลตัวเองยังบอกว่าหลินอิ่งเป็นศิษย์ของเพื่อนเก่าท่าน

ต้องรู้ว่า คนที่สามารถถูกคนหัวโบราณอย่างฉู่จี้ชังเรียกว่าเพื่อนเก่า นั่นก็มีฐานะที่สูงส่งในแวดวงลึกลับนี้แน่นอน

“พ่อ นี่…..นี่มันเรื่องเด็กเล่นเกินไปไหม ดอกโคม เอาไปให้คนอื่นแบบนี้เลย?”

“ใช่ พ่อ ฟังความหมายของพ่อ คือจะเอาคุณหนูตระกูลเราไปให้คนธรรมดาอย่างหลินอิ่งเหรอ? นี่มันเป็นไม่ได้นะครับ”

“พ่อ พ่อต้องคิดให้ดีนะ เรื่องแบบนี้ถ้าถูกลือออกไป คนในแวดวงลึกลับต้องหัวเราะตระกูลฉู่ของเราแน่”

คราวนี้ ผู้ใหญ่ตระกูลฉู่ที่นั่งอยู่ในนี้ ต่างก็พากันห้ามปราม

สำหรับการตัดสินใจนี้ของคุณท่าน โดยส่วนรวมหรือส่วนตัว พวกเขาต่างก็ยอมไม่ได้

ฉู่สงซานถึงแม้อำนาจในตระกูลฉู่จะไม่มากนัก แต่ว่าลูกสาวของเขาฉู่ฉู่ ได้รับความรักใคร่จากคุณท่านเป็นอย่างมาก เหมือนดั่งไข่มุกในกำมือ แม้แต่เรื่องใหญ่โตอย่างดอกโคม ยังพูดให้คุณท่านพยักหน้าได้

และนี่สร้างความอิจฉาของคนในตระกูลฉู่

“ทำไม? ตอนนี้แม้แต่เรื่องแค่นี้ฉันก็ตัดสินใจไม่ได้แล้วเหรอ? ต้องให้พวกเธอมาสอนฉันแล้วเหรอ?” ฉู่จี้ชังทำเสียงเย็นชา แล้วยกน้ำชาขึ้นมาดื่ม

จากการที่คุณท่านขมวดคิ้ว และคำพูดนี้ออกมา คนตระกูลฉู่ที่นั่งอยู่ในนี้ต่างก็เงียบไม่กล้ากล้าสนทนาอะไรอีก

เพราะว่า อำนาจของคุณท่านฉู่อยู่ตรงนี้

“เงียบทุกคน เรื่องนี้ ฉันมีความคิดของฉันเอง อีกอย่าง เด็กหนุ่มหลินอิ่งนั่น ก็อาจจะไม่ตกลงก็ได้” ฉู่จี้ชังพูดอย่างใจเย็น

“เด็กนั่นจะไม่ตกลงได้ยังไง?”

พี่ใหญ่ตระกูลฉู่สายตาแปลกใจ คนตระกูลฉู่ต่างก็มองหน้ากัน

นี่มันเรื่องล้อเล่นใช่ไหม?

คุณหนูตระกูลฉู่ คำพูดของคุณท่าน เอาดอกโคมอันล้ำค่า ส่งยาไปให้เขาเด็กหนุ่มธรรมดาคนหนึ่งที่อยู่ไกลถึงตี้จิง หลินอิ่งจะไม่ตอบรับ?

ดูแล้ว คุณท่านก็ช่างตามใจฉู่ฉู่เกินไปแล้ว โอ๋เกินไปแล้ว

“พอแล้ว สงซาน รีบเดินทางได้แล้ว พาฉู่ฉู่ไปตี้จิงด้วย” ฉู่จี้ชังพูดอย่างจริงจัง จากนั้นก็หันไปมองพี่ใหญ่ตระกูลฉู่ “หยุนซาน เราก็พาลูกศิษย์ในตระกูลฉู่กี่คน ตามไปด้วย ไปเปิดหูเปิดตาที่ตี้จิงหน่อย”

“จำไว้ ต้องนำคำพูดไปส่งถึงตัวหลินอิ่งเอง ยาหลินอิ่งเอาไปได้ แต่เขาต้องมาที่ตระกูลฉู่เราสักครั้ง เชื่อว่าเด็กหลินอิ่งเขารู้หนักเบาเอง”

ฉู่จี้ชังจับแก้วน้ำชา ออกคำสั่งอย่างใจเย็น

“ครับ คุณพ่อ”

“คุณพ่อ ผมจะไปพบหลินอิ่งคนนี้แทนพ่อเอง” ฉู่หยุนซานก็พยักหน้าอย่างเคารพ แววตาเป็นประกาย ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่

วันนั้น คนตระกูลฉู่ก็นั่งเครื่องบินส่วนตัวออกเดินทาง ไปสู่ตี้จิง

……

ตี้จิง เขตเหยียนหวง

วิลล่าตระกูลสวี ภายในลานใหญ่ตระกูลสวี

สวีจิ่วหลิงนั่งอยู่ตำแหน่งตรงกลางของห้อง ใบหน้าอันเหี่ยวย่นนั้นเต็มไปด้วยความหม่นหมอง

ภายในห้องโถง ที่นั่งสองแถว นั่งเต็มไปด้วยผู้ครองอำนาจรุ่นที่สองของตระกูลสวี

สวีฉางเฟิงและสวีถันโจวบาดแผลเต็มตัว พันไปด้วยผ้าพันแผล ท่าทางโทรมซานนั่งอ่อนแรงอยู่บนที่นั่ง

“พ่อ เหตุการณ์ก็เป็นอย่างที่ผมเล่า ผมกับพี่สี่ไปที่จื่อหลงซานมา หลินอิ่งยิ่งอวดดีกว่าเมื่อก่อนอีก ไม่สนใจคำพูดที่คุณกงให้พวกเราไปส่งเลยแม้แต่น้อย เข้ามาก็ทุบตีเลย” สวีฉางเฟิงพูดรายงานเหตุการณ์ ด้วยสีหน้าทนมาร

ตอนแรกคิดว่าเป็นเรื่องดีอะไร ยังไปเหยียดหยามความยโสของหลินอิ่งได้บ้าง ปรากฏว่ากลับถูกทำร้ายจนต้องกลิ้งออกจากจื่อหลงซาน

“คำพูดได้พูดกับหลินอิ่งอย่างชัดเจนแล้ว? ส่งจดหมายของคุณกงแล้ว? เขายังกล้ายโสโอหังขนาดนี้?” สวีจิ่วหลิงถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“พ่อ พวกเราไปทำธุระตามที่พ่อสั่งทุกอย่าง จดหมายของคุณกงถูกหลินอิ่งฉีกไปแล้ว เขาไม่สนใจความเป็นความตายของฉีเวิ่นติ่งเลยแม้แต่น้อย ยังพูดว่าวันหน้าจะมาฆ่าล้างตระกูลสวีของเรา อวดดีสิ้นดี” สวีฉางเฟิงพูดต่อ

“เห้อ” สวีจิ่วหลิงทำเสียงเย็นชา สีหน้าไม่ดีอย่างสุดขีด “หลินอิ่งทำไมถึงต้องหักหน้ากัน? เป็นคนโหดที่ไม่ห่วงญาติมิตรใดๆเลย เอาชีวิตปู่ของเขาขู่ ยังไม่สะทกสะท้าน”

“พ่อ แล้วต่อจากนี้ ตระกูลสวีของเราจะทำยังไง? ผมว่าพ่อรีบตัดสินใจเถอะ อย่าลังเลอีกเลย ชื่อเสียงของตระกูลสวีตั้งหลายปีขนาดนี้ ครั้งที่แล้วก็ถูกหลินอิ่งทำจนเสียหน้าไปหมดแล้ว ครั้งนี้เป็นโอกาสที่ดี ต้องเอาคืนให้ได้” สวีไป๋เห้อนั่งพูดอยู่บนรถเข็น

“พ่อ พ่อต้องตัดสินใจฆ่าล้างตระกูลฉี หลินอิ่งมันเหยียดหยามตระกูลสวีของเราขนาดนี้แล้ว ยังประกาศบอกว่าจะมาฆ่าล้างตระกูลสวีของเรา จากนิสัยของเขาแล้ว ต้องทำตามที่พูดแน่นอน ถ้าหากพวกเราไม่ลงก่อน ใช้โอกาสที่มีคนคอยช่วย ฆ่าล้างตระกูลฉีในครั้งเดียวเลย มิเช่นนั้นต้องมีเรื่องเลวร้ายตามมาไม่หยุดแน่” สวีฉางเฟิงก็พยายามพูดโน้มน้าว

สวีจิ่วหลิงค่อยๆหลับตา สีหน้าเคร่งเครียด

คนรุ่นสองของตระกูลสวี นำโดยสวีไป๋เห้อ ต่างก็เห็นด้วยกับการสู้เป็นสู้ตายกับหลินอิ่ง ใช้โอกาสที่ร่วมมือกับชีซิงกรุ๊ปฆ่าล้างตระกูลฉี

ส่วนคุณท่านสวีจิ่วหลิง กลับยังไม่ได้ตัดสินใจ

เท่าที่เขาดูแล้ว เรื่องนี้มันหนักหนาเกินไป มันเกี่ยวพันถึงธุรกิจร้อยปีของตระกูลสวี ถ้าหากจะเอาเป็นเอาตายกับหลินอิ่ง เขาไม่มีความมั่นใจ

“พ่อ รีบตัดสินใจเถอะ ลูกหลานตระกูลสวีของเราต่างก็ทนความอัดอั้นนี้ไม่ได้ ใช้ชีวิตอยู่ในแวดวงสังคมตี้จิงนี้ ลูกหลานตระกูลสวีของเรา ตอนนี้มีแต่คนดูถูก ถูกคนอื่นชี้หน้าพูดโน่นพูดนี่” สวีไป๋เห้อพูดโน้มน้าวอีก

“พ่อ ผมวางแผนทุกอย่างกับคุณกงเรียบร้อยแล้ว ขอแค่พ่อออกคำสั่ง พ่อพูดออกมาเท่านั้น ตระกูลสวีขอเราจะใช้ทรัพยากรทุกอย่างที่มีอยู่กดทับตระกูลฉี ประกาศสงครามกับตระกูลฉีในแวดวงตี้จิง ผมเชื่อว่า ไม่นาน หลินอิ่งต้องพ่ายแพ้ในดินแดนตี้จิงแห่งนี้อย่างราบคาบแน่นอน” สวีไป๋เห้อพูดอย่างจริงจัง รอคุณท่านตระกูลตัวเองเปิดปากตอบตกลงไม่ไหวแล้ว

สวีจิ่วหลิงคิดไปครู่หนึ่ง สายตาเย็นชา พูดว่า “ช่างเถอะ ในเมืองหลินอิ่งยโสโอหังถึงขนาดนี้ ประกาศจะฆ่าล้างตระกูลสวี ก็อย่าโทษฉันว่าไม่รู้จักแยกแยะ ไปเชิญคุณกงเข้ามาคุย”

“พรุ่งนี้ฉันจะประกาศต่อภายนอก ตัดขาดธุรกิจทุกอย่างที่ทำกับตระกูลฉี ธุรกิจทุกอย่างไม่ว่าส่วนตัวหรือบริษัทที่ไปมาหาสู่กับตระกูลฉี ตระกูลสวีของเราจะกดดันถึงที่สุด ในวงการธุรกิจ มีฉันต้องไม่มีเขา” สวีจิ่วหลิงพูดอย่างเด็ดขาด

“ครับ พ่อ พ่อตัดสินใจได้ฉลาดที่สุด” สวีไป๋เห้อพูดด้วยสีหน้าดีใจ

ไม่นาน กงจิ่วก็เดินเข้ามาในห้องโถงตระกูลสวี ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

“คุณท่านสวี สุดท้ายท่านก็ตัดสินใจแล้ว ดีมาก มีคำพูดของท่าน ด้วยอำนาจความเชื่อถือของท่านในตี้จิง ต้องไม่มีคนกล้ายืนฝั่งหลินอิ่งแน่นอน” กงจิ่วพูดด้วยสีหน้ามั่นใจ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท