ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 525 จัดคนไปจัดการผู้หญิงของตระกูลฉู่คนนั้นซะ

บทที่ 525 จัดคนไปจัดการผู้หญิงของตระกูลฉู่คนนั้นซะ

“โครงการเมืองเทคโนโลยีเทียนหลง?” สวีจิ่วหลิงขมวดคิ้วเล็กน้อย กำลังคิดอะไรบางอย่าง “ฉันเคยได้ยิน ก็คือจะทุบภูเขาในเมืองพวกนั้นให้ราบเรียบ แล้ววางแผนสร้างเมืองใหม่อีกเส้นในตี้จิง”

“ได้ข่าวว่า โครงสร้างของเมืองใหม่ใหญ่มหาศาล ลำพังที่ดินก็มีมูลค่ามหาศาลที่ไม่อาจคาดคิดได้” สวีจิ่วหลิงพูดอย่างเชื่องช้า “หลังจากสร้างเสร็จแล้ว จะเกี่ยวข้องกับทุกกิจการทุกสายอาชีพ จะมีตลาดหลักทรัพย์และเมืองเทคโนโลยีในนั้น?”

เมืองเทคโนโลยี โครงการใหญ่ที่ไม่เคยมีมาก่อนในประเทศหลุง

ใครสามารถยืนหยัดบนทางนี้ได้ อำนาจในอนาคตแห่งแวดวงตี้จิง ก็เป็นของเขาแล้ว

ผู้ได้ครอบครองเมืองมังกร เสมือนครอบครองโลก

คำพูดนี้ เป็นที่เลื่องลือในแวดวงตี้จิงมานานแล้ว

“นายท่านสวีก็พอรู้เรื่องนี้พอสมควร ผมก็ไม่แนะนำเรื่องของเมืองเทียนหลงแล้ว” กงจิ่วพูดอย่างเชื่องช้า “เท่าที่ผมรู้ หลินอิ่งได้ลงมือทำแล้ว เขาต้องอยากได้โครงการใหญ่จากเมืองเทียนหลงแน่นอน นี่เป็นโครงการเชิงกลยุทธ์ และยังสามารถส่งผลกระทบไปถึงโครงสร้างในอนาคตอีกสิบปีของเหล่าตระกูลใหญ่ในตี้จิงแน่นอน”

“เพราะฉะนั้น พวกเราต้องเอาเมืองเทียนหลงมาให้ได้ ถีบหลินอิ่งออกจากเกม”

“หลินอิ่งจะมีเงินทองอำนาจมากแค่ไหน ขอแค่ถูกถีบออกจากเกมนี้แล้ว ต่อไปเขาก็จะไม่มีสิทธิอำนาจในการพูดที่ตี้จิงอีก ตระกูลฉีของเขา ก็จะเป็นแค่ตระกูลว่างเปล่ากลางอากาศเท่านั้น”

กงจิ่วพูดวิเคราะห์อย่างเด็ดขาด

เมื่อพูดประโยคนี้จบแล้ว คนของตระกูลสวีที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างพากันพยักหน้า เห็นด้วยกับคำพูดนี้

“ได้ คุณกงจิ่ว ทางด้านเมืองเทียนหลง พวกเราต้องวางแผนดำเนินการแน่นอน” สวีจิ่งหลิงพูดอย่างเชื่องช้า “เรื่องนี้จะให้หลินอิ่งเอาโอกาสไปก่อนไม่ได้ แต่ว่า ลูกน้องยอดฝีมือกลุ่มนั้นของหลินอิ่ง คุณจะจัดการยังไง?”

กงจิ่วหัวเราะ พูดว่า “พวกคุณวางใจได้ ไม่ว่าหลินอิ่งจะมียอดมือในที่ลับเท่าไหร่ หรือแม้แต่ทหารลับของตระกูลฉีและตระกูลนิ่งรวมตัวกัน วิชาการต่อสู้ก็สู้สำนักยุทธ์เชียนของเราไม่ได้”

“ต่อจากนี้ พวกคุณก็คิดดูว่าจะจัดการหลินอิ่งยังไงก็พอ” กงจิ่วพูดด้วยสีหน้ามั่นใจ

“แผนการขั้นแรก ตระกูลสวีของพวกคุณก็เข้าร่วมได้” กงจิ่วพูดอย่างเชื่องช้า “ผมคิดจะกำจัดเด็กผู้หญิงคนนั้นของตระกูลฉู่ที่อยู่ในตี้จิง”

“คนที่ตระกูลฉู่เหลือไว้ในตี้จิง?” สวีไป๋เห้อถามอย่างสงสัย

“ใช่แล้ว ก็คือผู้หญิงลึกลับข้างกายหลินอิ่ง ที่เป็นข่าวลือที่ลือกันอย่างสนั่น ชื่อว่าฉู่ฉู่ เป็นหลานสาวที่รักของนายท่านตระกูลฉู่” กงจิ่วพูดอย่างเชื่องช้า “ฆ่าเธอ ตระกูลฉู่ต้องโมโหอย่างแน่นอน ถึงเวลา ก็คอยดูว่าหลินอิ่งจะพูดยังไงกับตระกูลฉู่”

“เขาเชิญคนของตระกูลฉู่มาช่วย ผมก็จะให้เขาขุดหลุมฝังศพตัวเอง” กงจิ่วหัวเราะโหดเหี้ยม พูดแผนการชั่วร้ายออกมา

“ได้ คุณกงจิ่ว แผนของคุณดีมาก ฉู่ฉู่คนนั้นตาย ตระกูลฉู่โกรธ ถึงเวลาก็ดูว่าหลินอิ่งจะตื่นตระหนกหรือไม่ ถึงเขาเป็นทศกัณฐ์ก็ไม่สามารถรับมือกับตระกูลมหาอำนาจมากมายขนาดนี้ได้” สวีไป๋เห้อปรบมือพูด สีหน้าดีใจ เห็นด้วยกับแผนการชั่วร้ายของกงจิ่ว

กงจิ่วหัวเราะพยักหน้า พูดว่า “ได้แล้ว ทุกท่าน ผมยังต้องไปเตรียมคนเพื่อปฏิบัติการ หากมีข่าว น้องไป๋เห้อก็ติดต่อนกพิราบส่งข่าวของผมได้เลย”

พูดจบ กงจิ่วก็หมุนตัวจากไป

ฝีเท้าของเขาดูช้ามาก แต่ก้าวออกไปจากห้องโถงได้ในชั่ววินาที เหลือไว้เพียงเงา คนก็หายไปจากตระกูลสวีในชั่วพริบตา ไม่เห็นแม้แต่เงา

……

ตี้จิง เมืองเทคโนโลยีเทียนหลง ศูนย์การค้าเลขที่18

ที่นี่เป็นถนนการค้าที่เพิ่งพัฒนาขึ้นใหม่ ยังมีโครงสร้างอีกมากมายที่ยังอยู่ในระหว่างก่อสร้าง สถานบันเทิงมากมายในอาคารพาณิชย์เริ่มทำการทดลองเปิดกิจการแล้ว

รถเบนท์ลี่ย์สีดำคันหนึ่งจอดอยู่ชั้นล่างของอาคารพาณิชย์ตึกหนึ่ง ฮาเดสเปิดประตูรถ หลินอิ่งเดินออกมาช้าๆ ฉู่ฉู่ก็เดินตามอยู่ข้างหลัง

วันนี้มาเมืองเทียนหลง หลินอิ่งมาเพื่อสำรวจด้วยตัวเอง และทำการวางแผนในเมืองเทียนหลง

เพราะว่า เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ใหญ่ ให้ลูกน้องมาทำ จะทำได้ไม่ดี

“คุณหลิน ถนนเส้นนี้เป็นธุรกิจของคุณเหรอคะ? อนาคตจะกลายเป็นสถานที่รุ่งเรืองที่สุดในตี้จิง?”​ฉู่ฉู่มองไปรอบด้านด้วยสีหน้าสงสัย ถามหลินอิ่งด้วยแววตานับถือ

เธอทักทายกับหลินอิ่งทุกเช้า และถามหลินอิ่งว่าว่างไหม

พอดีหลินอิ่งจะมาสำรวจเมืองเทียนหลง คิดไปมา ก็เลยตกลงให้ฉู่ฉู่ตามมาด้วย ให้เธอมาดูและเที่ยวไปด้วย

“นี่เป็นกิจการของผม แต่ยังไม่พอ” หลินอิ่งพยักหน้าเล็กน้อย แววตาเฉียบคมมองไปที่ไกล พูดอย่างเชื่องช้า “เมืองเทียนหลงถูกทีมงานนานาชาติประเมินว่า เป็นโครงการเมืองใหม่ที่มีมูลค่าเงินลงทุนล้านล้าน ในอนาคต เพราะว่าเป็นเขตที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดในตี้จิง”

“ที่นี่ เป็นเพียงถนนศูนย์การค้าหนึ่งสายในวงแหวนรอบนอกของเมืองเทียนหลง ในเขตนี้ โครงสร้างถนนศูนย์การค้าแบบนี้มีทั้งหมดสามสิบกว่าสาย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงถนนศูนย์การค้าในเขตศูนย์กลางของเมืองเทียนหลง เป็นโครงสร้างใหญ่ขนาดไหน” หลินอิ่งค่อยๆพูดแนะนำ

ศูนย์การค้าเลขที่18 ก็ใหญ่มากพอแล้ว เอาออกไปเปรียบเทียบ สามารถเทียบกับถนนศูนย์กลางของเมืองหลวงหลักมากมาย

ส่วนถนนแบบนี้ ในโครงสร้างอนาคตของเมืองเทียนหลง อย่างน้อยเป็นร้อยสาย

กิจการ สาขาอาชีพที่เกี่ยวข้องในนี้ สามารถคาดการได้ว่าใหญ่โตขนาดไหน

“ไม่เสียชื่อที่เป็นตี้จิง เมื่อเทียบกับทางด้านเมืองเตียนหนาน เจริญรุ่งเรืองกว้างใหญ่มาก” ฉู่ฉู่พูดเสียงอุทาน แววตามองไปรอบด้าน

“แต่ว่าเตียนหนานของเราก็มีข้อดีอย่างหนึ่ง ที่นั่นของเราทิวทัศน์ที่สวยงาม อากาศดีเหมาะสำหรับคน” ฉู่ฉู่มองไปที่หลินอิ่ง พูดว่า “คุณหลิน อนาคต ฉันพาคุณไปเที่ยวที่ภูเขาหยุนเหมิงของตระกูลฉู่เรา ถึงแม้จะเทียบไม่ได้กับความเจริญรุ่งเรืองในตี้จิง แต่ก็มีบรรยากาศเฉพาะที่ดี”

หลินอิ่งพยักหน้าเล็กน้อย เดินไปที่อาคารพาณิชย์ใกล้เคียงตึกหนึ่ง

“ฉู่ฉู่ ในนี้ คุณดูว่าจะกินอะไร” หลินอิ่งพูด “ผมนัดกับเพื่อนหลายคน จะมาถึงตอนเย็น”

“ได้ค่ะ” ฉู่ฉู่พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง

พูดไป หลินอิ่งพาฉู่ฉู่และฮาเดส เดินเข้าไปร้านอาหารหรูร้านหนึ่งที่อยู่ภายในอาคาร หาที่นั่งแล้วนั่งลง

เขาให้ฉู่ฉู่สั่งอาหาร ส่วนตัวเองหยิบมือถือออกมา กดเบอร์โทรออก

หลินอิ่งเรียกนิ่งซวนมา หาเขามาคุยเรื่องโครงการเมืองเทียนหลงกันต่อหน้า

“เฮ้เฮ้เฮ้? พี่สือ พี่รีบดู นั่นมัน นั่นมันไอ้แซ่หลินไม่ใช่เหรอ?”

ทันใดนั้น ร้านอาหารที่เงียบสงบ มีเสียงอันตกตะลึงดังขึ้น

มีชายหนุ่มหลายคนที่นั่งกินข้าวอยู่ หันมามองหลินอิ่งกันทั้งหมด

“เหอะ ช่างโลกแคบเหลือเกินนัก หลินอิ่ง ไอ้ลูกเขยไร้น้ำเมืองตงไห่ คุณยังจำผมได้ไหม?”

ชายหนุ่มที่แต่งตัวไม่ธรรมดา พาคนติดตามอยู่หลายคน เดินเข้ามาหาหลินอิ่งด้วยสีหน้าโหดเหี้ยม

“คุณคือ?” หลินอิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย หันไปมองหน้าคนที่มา รู้สึกแค่ว่าคุ้นหน้า แต่จำชื่อไม่ได้แล้ว

“เหอะเหอะเหอะ หมอเทพหลิน คุณนี่ช่างผู้ดีวางมาดหยิ่งยโส ตอนที่คุณอยู่มณฑลเกาหยาง ช่วยชีวิตนายท่านตระกูลผมไว้? คุณน่าเกรงขามขนาดนั้น ลืมผมแล้วเหรอ?”

ชายหนุ่มพูดด้วยสีหน้าหยอกล้อ สายตาเต็มไปด้วยความเกลียดชังจ้องหน้าหลินอิ่ง

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท