ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 521 ไอ้ลูกเวรยังไม่คุกเข่าอีก?

บทที่ 521 ไอ้ลูกเวรยังไม่คุกเข่าอีก?

“นี่ นี่มันอะไรกัน? ไอ้แซ่หลินสามารถมีเงินหมุนเวียนได้ถึงพันล้านอย่างง่ายดาย? ดูยังไงก็ไม่เหมือน”

“คุณชายเฟิง มีอะไรผิดพลาดหรือเปล่า? กับคนแบบนี้เนี่ยนะ เอาเงินพันล้านออกมาได้?”

คนในงาน ต่างก็พากันตะลึงกับสิ่งที่ได้ยิน

โอ้พระเจ้า สั่งบอดี้การ์ดทุบทำลายรถหรูนาฬิกาหรูระดับโลกของซือหม่าเฟิงพังหมด ไม่ลังเลแม้แต่น้อยก็โยนการ์ดออกไปชดใช้เงิน?

ชายหนุ่มผู้ลึกลับแซ่หลินคนนี้ ตั้งแต่ต้นจนปลายไม่มีคำไหนไม่จริงเลย เหมือนในสายตาเขา ของสะสมที่ซือหม่าเฟิงภูมิใจนั้น ไม่มีค่าแม้แต่น้อย?

เพราะว่าชอบความรู้สึกสะใจในการทุบทำลาย อยู่ๆก็เอาของที่มีมูลค่าพันล้าน ของมีค่าที่หลายคนต้องพยายามทั้งชาติยังหาไม่ได้ ทุบทำลายจนหมด?

นี่มันช่างไร้ความเป็นมนุษย์จริงๆ

ตอนแรกพวกเขายังรู้สึกว่า เด็กหนุ่มแซ่หลินนี่ถึงมีอำนาจในต่างจังหวัดมากมายแค่ไหน ในตี้จิงแห่งนี้ก็สู้ซือหม่าเฟิงไม่ได้ แต่ตอนนี้ดูแล้ว สถานการณ์ก็ไม่แน่นอน

ราศีที่ชายหนุ่มผู้ลึกลับคนนี้แสดงออกมานั้น มันกดทับซือหม่าเฟิงไปอย่างสิ้นเชิง

“ไม่ พ้นห้าร้อยล้าน บอกว่าโอนก็โอน?”

ซือหม่าเฟิงมองข้อความเงินเข้าในมือถือของตัวเองอย่างไม่อยากเชื่อ สมองว่างเปล่าไปทันที

แม่งเอ้ย นี่มันเรื่องอะไรกัน?

ตอนแรกคิดว่าผู้ชายแซ่หลินที่อยู่ข้างฉู่ฉู่คนนี้ เป็นแค่พนักงานเงินเดือนของสังคมระดับล่าง ไม่สามารถมาเทียบเคียงระดับกับเขาได้เลยแม้แต่น้อย

ปรากฏว่า เขาไม่เพียงแค่ทุกทำลายรถหรูนาฬิกาหรูที่เขาภูมิใจ ยังโยนการ์ดชดใช้เงินพันห้าร้อยล้านแค่คำพูดเดียว?

คนคนหนึ่งต้องรวยแค่ไหน ถึงจะโยนเงินสดหมุนเวียนออกมาเล่นแบบนี้ได้ตามใจชอบ?

เหมือนดั่งที่หลินอิ่งพูด รถหรูนาฬิกาหรูพวกนี้ ในสายตาเขามันไร้ค่า?

โดยเฉพาะ ไอ้ขยะแซ่หลินนี่? มันมีการ์ดดำสุพรีมของธนาคารเสว่หลงหนึ่งใบ?

เป็นไปได้ยังไง?

ต้องรู้ว่า ตอนนั้นที่พ่อของซือหม่าเฟิงได้การ์ดใบนี้มา นั่นเป็นเพราะว่าได้รับการยอมรับจากตระกูลฉี ตระกูลซือหม่าทั้งตระกูลไม่รู้ว่าพยายามกันแค่ไหน ทุ่มเทไปมาแค่ไหน

เพราะว่า การ์ดใบนี้ไม่เพียงแค่มีอำนาจในการหมุนเวียนเงินสด ยิ่งไปกว่านั้นมันหมายถึงฐานะอันแข็งแกร่ง เสมือนกับบัตรผ่านในแวดวงไฮโซระดับสูงในตี้จิง

นี่คือบัตรปกป้องใบหนึ่งที่ตระกูลฉีออกให้

คนระดับนี้ใครจะไปกล้าสร้างความขุ่นเคือง นั่นก็เท่ากับว่ามีปัญหากับตระกูลฉีแห่งตี้จิง?

ต้องรู้ว่า ตระกูลซือหม่าในตี้จิง นั่นก็ต้องใช้ชีวิตโดยต้องดูสีหน้าตระกูลฉี

“แก แกเป็นใครกันแน่? แกมีความสัมพันธ์อะไรกับตระกูลฉีแห่งตี้จิง?” ซือหม่าเฟิงสีหน้าตื่นเต้น จ้องหน้าหลินอิ่งแล้วถาม

ได้ยินแล้ว หลินอิ่งส่ายหน้า หัวเราะเย็นชา

“จนถึงขั้นนี้แล้ว ยังถามว่าผมเป็นใคร มีความสัมพันธ์อะไรกับตระกูลฉี? ในสมองของนายมีแต่ขี้ใช่ไหม?” หลินอิ่งพูดและหัวเราะเย็นชา “คนที่ตระกูลซือหม่าอบรมสั่งสอนมา ตาไร้แววขนาดนี้เลยเหรอ?”

“แก แกว่าใครสมองมีแต่ขี้? แม่งเอ้ย วันนี้ไม่ว่าแกเป็นใคร ไม่จัดการไอ้ขยะอย่างแก แกยังคิดว่าตัวเองสูงส่งมาจากไหน?”​

“ฉันไม่สนว่าแกเป็นใคร เอาตระกูลฉีมาอ้างก็ไม่มีประโยชน์”

ซื่อหม่าเฟิงตะโกนอย่างโมโห รู้สึกว่าตัวเองถูกเหยียบหยามอย่างรุนแรง ในสถานการณ์ต่อหน้าผู้คนมากมายขนาดนี้ ถูกหลินอิ่งดูถูกเหยียดหยามแบบนี้

“จัดการมัน…….”

“ซือหม่าเฟิง ยืนไปฝั่งโน้น แกรนหาที่ตายใช่ไหม?”

ทันใดนั้น เสียงตะโกนดังขึ้นมาจากประตู เสียงอันน่าเกรงขามทำให้ซือหม่าเฟิงตัวสั่น

เห็นเพียง เห็นเพียงชายวัยกลางคนในชุดสูทสีมืดคนหนึ่งเดินเข้ามาจากประตู ข้างกายมีบอดี้การ์ดหนุ่มคนหนึ่ง

“หา? นี่ นี่มันซือหม่าเฟยวู่ ท่านประธานซือหม่า?”

“พ่อของคุณชายเฟิงมาแล้ว ……ประธานซือหม่าท่านนี้ เป็นถือหัวหน้าตระกูลซือหม่า เป็นผู้มีอำนาจที่แค่กระทืบเท้า ตี้จิงก็ต้องสะเทือนแล้ว”

“แต่ว่า ทำไมประธานซือหม่าถึงต่อว่าคุณชายเฟิงล่ะ? หรือว่า พ่อคุณชายเฟิงไม่ได้มาเพื่อช่วยเขา?”

จากที่ชายวัยกลางคนเข้ามา ผู้คนที่ดูอยู่ต่างก็พากันส่งเสียงตะลึง สีหน้าตกใจกันหมด

“พ่อ ทำไมพ่อถึงมาเร็วขนาดนี้?” ซือหม่าเฟิงมองซือหม่าเฟยวู่ด้วยความดีใจ

เพี๊ยะ

ซือหม่าเฟยวู่เดินเข้าไปก็ตบหน้าทันที ตอบไปที่หน้าของซือหม่าเฟิงอย่างแรง จนหน้าของเขามีรอยฝ่ามืออันชัดเจน

“หุบปากเดี๋ยวนี้ ยืนไปทางโน้น ที่นี่ยังไม่มีสิทธิ์ให้แกพูด” ซือหม่าเฟยวู่สีหน้าโมโหที่สั่งสอนลูกได้ไม่ดี จ้องหน้าซือหม่าเฟิงด้วยความโกรธ

“หา? พ่อ พ่อตบหน้าผมทำไม?” ซือหม่าเฟิงสีหน้าตกใจ ถามอย่างไม่อยากเชื่อ

“ตบแก? ฉันไม่ตบแก แกอยากกลับไปรับโทษของตระกูลจากนายท่าน ลบชื่อออกจากวงศ์ตระกูลใช่ไหม?” ซือหม่าเฟยวู่ด่าซือหม่าเฟิงด้วยความโมโห

ซือหม่าเฟิงตกใจจนถอยหลังออกไปหลายก้าว ไม่กล้าเถียงพ่อของเขาแม้แต่น้อย

“ไอ้ลูกไม่รักดี ไอ้ตัวไม่มีตา คุณชายอิ่งเป็นคนที่แกหาเรื่องได้เหรอ? ยังกล้าต่อปากต่อคำกับคุณชายอิ่ง?” ซือหม่าเฟยวู่ดึงตัวซือหม่าเฟิงมาทั้งแตะทั้งถีบ ลงมือหนักมาก ทำเอาซือหม่าเฟิงร้องโอดโอยด้วยความเจ็บ

หลังจากซ้อมไปยกหนึ่งแล้ว ซือหม่าเฟิงก็เหงื่อเต็มหน้า มองไปที่หลินอิ่งด้วยสีหน้าตื่นเต้น ก้มหน้าอย่างเคารพ

“คุณชายอิ่ง ขอโทษด้วย ผมสั่งสอนได้ไม่ดี ถึงสั่งสอนไอ้ลูกไม่รักดีแบบนี้ ไอ้หน้าโง่นี่ไม่รู้ที่ต่ำที่สูง ทำให้ท่านขุ่นเคือง หวังว่าท่านจะให้อภัย ไม่ถือสากับไอ้ลูกโง่คนนี้” ซือหม่าเฟยวู่ท่าทางถ่อมตัว พูดด้วยน้ำเสียงเคารพ

ต่อหน้าหลินอิ่ง หัวใจของเขาเต้นแรงอย่างมาก แรงจนขึ้นมาถึงลำคอแล้ว

ถ้าไม่ใช่เพราะได้รับรายงานจากผู้จัดการโรงแรม บอกว่าลูกชายของเขามีเรื่องกับชายลึกลับที่ถือการ์ดดำสุพรีมของตระกูลฉี วันนี้คงต้องเกิดเรื่องใหญ่จนฟ้าทะลุแน่นอน

คุณชายอิ่งเป็นคนระดับไหน? นั่นมันเหมือนดังเทพแห่งมังกรที่บินเหินฟ้า เป็นคนในตำนานตี้จิงที่ไม่มีใครเทียบได้

แค่ระดับตระกูลซือหม่า เขาพูดคำเดียวก็ทำลายล้างได้ทันที

เขาซือหม่าเฟยวู่ ล้วนเป็นเพราะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับหยูจื๋อเฉิง ถึงได้พิมตระกูลสูงศักดิ์อย่างตระกุลฉี มีโอกาสได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของหลินอิ่ง

หลินอิ่งสีหน้าเรียบเฉย มองซือหม่าเฟยวู่ด้วยหน้าตาเรียบเฉย พูดว่า “คุณรู้จักผม?”

“คุณชายอิ่ง ผมคือซือหม่าเฟยวู่ของตระกูลซือหม่า เป็นเพื่อนของหยูจื๋อเฉิง ผมก็มีการร่วมงานกับกิจการในนามของคุณชายอิ่ง ฐานะของท่าน อาจจะไม่รู้จักคนเล็กๆอย่างผม” ซือหม่าเฟยวู่พูดอย่างประจบ “ผมก็โชคดีที่มีโอกาสเคยเห็นหน้าคุณชายอิ่ง ก็เลยรู้จัก”

“ออ? เพื่อนของหยูจื๋อเฉิง?” หลินอิ่งรู้สึกสนใจ จำได้แล้ว หยูจื๋อเฉิงช่วยเขาดูแลกิจการในตี้จิง เหมือนเคยร่วมงานอย่างสำคัญกับตระกูลซือหม่า

“พ่อ? ทำไมพ่อต้องเคารพไอ้เด็กนี่ขนาดนี้? มันทุบทำลายรถสะสมของผมตั้งมากมาย เหยียดหยามศักดิ์ศรีตระกูลซือหม่าของเราชัดๆ” ซือหม่าเฟิงสีหน้าไม่พอใจ พูดอย่างไม่เข้าใจ

เพี๊ยะเพี๊ยะ

ซือหม่าเฟยวู่ได้ยินคำพูดนี้ โมโหจนลุกเป็นไฟ เดินเข้าไปก็ตบหน้าของซือหม่าเฟิงสองครั้ง

“สัตว์เดรัจฉาน แกยังไม่รีบคุกเข่าให้คุณชายอิ่งอีก? กล้าพูดอะไรไปเลื่อยอีก วันนี้ฉันต้องฆ่าลูกเพื่อความถูกต้องแน่”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท