ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 519 ไปถามพ่อคุณดู ว่าผมหลินอิ่งเล่นอะไร

บทที่ 519 ไปถามพ่อคุณดู ว่าผมหลินอิ่งเล่นอะไร

ทันใดนั้น ซือหม่าเฟิงโมโหอารมณ์ขึ้นสมอง รู้สึกสมองว่างเปล่า

เขาคิดไม่ถึงเลย หลินอิ่งไม่ได้โม้ แต่ให้บอดี้การ์ดไปทุบทำลายของจริง

อีกอย่าง บอดี้การ์ดของหลินอิ่งทำไมถึงได้ใจกล้าขนาดนี้ เรื่องบ้าคลั่งแบบนี้ก็กล้าทำ? บอดี้การ์ดต่างชาติคนนี้ไม่รู้มูลค่าของสะสมพวกนี้ว่าแพงขนาดไหนเหรอ? ไม่ลังเลแม้แต่น้อย ไม่แม้แต่กะพริบตา ทำลายจนหมด?

ช่างไร้เหตุผลจริงๆ

ของพวกนี้ เขาซื้อมาด้วยเงินด้วยทองจริงๆ เป็นของรักของหวงที่ประเมินค่าไม่ได้ ล้วนเป็นเลือดเนื้อของเขา ถูกไอ้แซ่หลินนี่ทำลายจนหมดแล้ว?

ซือหม่าเฟิงจ้องหน้าหลินอิ่งอย่างโหดเหี้ยม ควบคุมอารมณ์ไม่ได้

โมโหจนอยากฆ่าหลินอิ่งทันที

ปัง ปัง ปัง

อีกฝั่งหนึ่ง ฮาเดสยังไม่ได้หยุด เดินเข้ามา ทั้งต่อยทั้งถีบรถหรูคว่ำ ทำลายจนรถพัง แม้แต่เครื่องยนต์ก็แตกกระจายออกมา

สถานการณ์รุนแรงมาก เวลาเพียงแค่สองนาที รถหรูยี่สิบกว่าคัน ก็ถูกฮาเดสที่เป็นคนเป็นๆ ใช้มือทุบพังทลายจนหมด

ภาพนี้ คนในงานต่างก็ดูอย่างตกตะลึง

ทำให้ทุกคนตกใจอย่างสุดขีด

พวกเขาไม่อาจคาดคิดได้เลย คนคนนี้เป็นสัตว์ประหลาดอะไร ถึงได้มีพลังน่ากลัวขนาดนี้? ยิ่งกว่าหุ่นยนต์อีก ทำลายความคิดทั่วไปของคนเลย

อีกอย่าง ทำไมถึงมีคนกล้าไม่ให้เกียรติคุณชายซือหม่าต่อหน้าได้ถึงขนาดนี้ ทุบทำลายของสะสมของรักของหวงของซือหม่าเฟิง?

“ประธานหลิน ตามคำสั่งของท่าน ทำลายหมดแล้ว”

ฮาเดสจากการมองด้วยสายตาประหลาดของทุกคน เดินไปข้างหน้าหลินอิ่ง ก้มหน้ารายงานอย่างเคารพ

ทันใดนั้น สายตาทุกคน ก็รวบรวมอยู่บนตัวของหลินอิ่ง

สายตาของพวกเขาจดจ่อ แววตาแปลกใจ ค้นหาความทรงจำในสมอง ดูว่ารู้จักชายหนุ่มผู้ลึกลับคนนี้ไหม

ชายหนุ่มที่ท้าทายกับซือหม่าเฟิงคนนี้ มีที่มายังไง? ทำเรื่องใจกล้าได้ถึงขนาดนี้ จะมีวิธีจัดการไหม?

“แก ไอ้แซ่หลิน แก?” ซือหม่าเฟิงโมโหมาก โกรธจนสีหน้าแดงก่ำ จ้องหน้าหลินอิ่งตาไม่กะพริบ แต่ก็ไม่กล้าทำอะไร

ฮาเดสซึ่งเป็นคนโหดขนาดนี้ ยืนอยู่ข้างกายเขา แต่ดูยังกลัว

คำพูดที่เขาอยากด่าหลินอิ่ง มาถึงลำคอแล้ว แต่ก็ต้องอดกลั้นลงไป

“แกกล้าทำลายของสะสมที่ฉันรักทั้งหมด แกมีปัญญาชดใช้ไหม?” ซือหม่าเฟิงถามอย่างโมโห “แกรู้ไหม โรงแรมสากลกวงหุยเป็นกิจการของตระกูลซือหม่า วันนี้ ถ้าแกไม่ชดใช้ให้ฉัน ฉันจะทำให้แกเสียใจที่เกิดมาบนโลกนี้”

“ผมเคยบอกคุณแล้วไม่ใช่เหรอ ของของคุณ ในสายตาผม มันไร้ค่า” หลินอิ่งดับบุหรี่ พูดอย่างเรียบเฉย “ผมบอกว่าทุบ คุณนึกว่าผมล้อเล่นเหรอ?”

“ทำลายทรัพย์สินคนอื่นโดยตั้งใจ มูลค่าสูงขนาดนี้ ฉันจะทำให้แกติดคุกจนตาย”

ซือหม่าเฟิงพูดข่มขู่หลินอิ่งอย่างเย็นชา โมโหร้าย

“เรียกทีมบอดี้การ์ดมา”

ซือหม่าเฟิงออกคำสั่ง ทันใดนั้น บอดี้การ์ดชุดสูทที่คอยสังเกตการณ์อยู่ใกล้เคียง ก็พากันมารวมกันที่นี่ ทั้งหมดประมาณยี่สิบกว่าคน แต่ละคนหน้าตาโหดเหี้ยม

ไอ้ไร้น้ำยาแซ่หลินนี่ รนหาที่ตายชัดๆ

กล้าทำลายของสะสมที่มูลค่าสูงขนาดนี้ได้

โดยเฉพาะ ยังอยู่ในงานเลี้ยงที่จัดขึ้นในโรงแรมสากลกวงหุย นี่ทำให้เขาซือหม่าเฟิงจะใช้ชีวิตในสังคมตี้จิงต่อไปยังไง? จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?

ปัง

ทันใดนั้น ฮาเดสลงมือกะทันหัน ตบเข้าที่หน้าของซือหม่าเฟิง ล็อกมือสองข้างของเขาไว้ กดตัวเขาอย่างแน่นไว้บนโต๊ะ หันหน้าไปหาหลินอิ่ง

“แกนี่มันรนหาที่ตายใช่ไหม? ยังเอะอะโวยวายต่อหน้าประธานหลิน? ยังจะเรียกคนมาอีก?”​ ฮาเดสถามด้วยสีหน้าเลือดเย็น

แรงในมือของเขาหนักมาก บีบขนแขนของซือหม่าเฟิงฟกช้ำดำเขียว ตัวสั่นไปทั้งร่าง สีหน้าซีดขาว ท่าทางเหมือนคนใกล้ตาย

“แก แกอย่าทำอะไรไปเลื่อยนะ แกจะทำอะไรกันแน่?” ซือหม่าเฟิงสีหน้าตกใจ ถูกคนโหดอย่างฮาเดสทำให้ตกใจ

“ทำอะไร? บ้าไปแล้วใช่ไหม? แม้แต่คุณชายเฟิงยังกล้าลงมือ? รู้ไหมว่าคุณชายเฟิงมีฐานะสูงส่งขนาดไหน?”

“ปล่อยคุณชายเฟิงเดี๋ยวนี้ มิเช่นนั้น วันนี้แกสองคนอย่าคิดที่จะออกจากโรงแรมสากลกวงหุยเลย”

ทันใดนั้น บอดี้การ์ดชุดสูททั้งทีมต่างก็พากันตะโกน สายตาแต่ละคนต่างเฉียบคมเย็นชา

“ไอ้แซ่หลิน ยังไม่บอกบอดี้การ์ดแกปล่อยมืออีก? แกก่อเรื่องใหญ่แล้วรู้ไหม?” ซือหม่าเฟิงมองหลินอิ่งด้วยสีหน้าโมโห พูดอย่างไม่พอใจ

“ก่อเรื่องใหญ่? เรื่องใหญ่อะไร?” หลินอิ่งมองซือหม่าเฟิง ถามด้วยสีหน้าเย็นชา

“แกทำลายสมบัติล้ำค่าของฉันตั้งมากมาย แกมีปัญญาชดใช้ไหม? อีกอย่าง แกคิดว่าตระกูลซือหม่าไม่มีศักดิ์ศรีเหรอ? กล้ามาสร้างความวุ่นวายที่นี่?” ซือหม่าเฟิงพูดอย่างเย็นชา แสดงท่าทางคุณชาย

ฉู่ฉู่ขมวดคิ้วเล็กน้อย พูดเสียงเบาอยู่ข้างหลินอิ่ง “คุณหลิน ตระกูลซือหม่าดูเหมือนจะมีอำนาจในตี้จิงไม่น้อย จะนำความวุ่นวายมาให้คุณหรือเปล่า?”

ฉู่ฉู่รู้ว่าหลินอิ่งมีอำนาจในตี้จิงมาก แต่ว่าในใจก็ไม่ได้รู้อย่างละเอียด ว่าความจริงหลินอิ่งอยู่ระดับไหนในตี้จิง เพราะว่า ซือหม่าเฟิงคนนี้ฐานะดูเหมือนไม่ธรรมดา หากเรื่องราวใหญ่โตจะมีปัญหาอะไรไหม

เธอรู้สึกกังวลในใจ ไม่รู้ว่าจะเป็นเพราะตัวเองหรือเปล่า ที่นำปัญหามาให้หลินอิ่ง ถ้าหากเป็นแบบนี้ ก็จะทำให้ภาพลักษณ์ของเธอในใจหลินอิ่งไม่ดี นั่นก็เป็นปัญหาแล้ว

“ฉู่ฉู่ ไม่มีปัญหาอะไร เรื่องเล็กแค่นี้ ผมยังรับได้” หลินอิ่งพูดอย่างเรียบเฉย

“ยังเรื่องเล็ก? แกทำลายสมบัติขนาดนี้ แกมีปัญญาชดใช้เหรอ? แกยังไม่รู้ความรุนแรงของสถานการณ์อีก? เหอะเหอะ” ซือหม่าเฟิงพูดอย่างเย็นชา ในแววตาเต็มไปด้วยแรงอาฆาต

“ก็ได้” หลินอิ่งดื่มไวน์ไปคำหนึ่ง พูดอย่างเรียบเฉย “ผมก็ไม่ใช่คนไม่มีเหตุผล ฮาเดส ปล่อยเขา ผมมีปัญญาทำลายของคุณ แน่นอนว่าต้องมีปัญญาชดใช้เงินให้คุณอยู่แล้ว”

ฮาเดสถีบซือหม่าเฟิงไปด้านข้าง ให้เขากลิ้งอยู่บนพื้น ท่าทางโทรมซาน

“คุณไปนับจำนวนมูลค่ามา” หลินอิ่งพูดอย่างเรียบเฉย โยนบัตรดำใบหนึ่งไว้ตรงหน้าหลินอิ่ง

“ชดใช้ ผมให้คุณได้ แต่ศักดิ์ศรีของตระกูลซือหม่าของพวกคุณ ผมต้องเหยียบไว้ฝ่าเท้าแน่นอน”

หลินอิ่งค่อยๆลุกขึ้น สีหน้าเปลี่ยนเป็นเย็นชา

“ตอนนี้โทรไปถามพ่อคุณดู ผมหลินอิ่ง เล่นอะไรกันแน่ ให้คนของตระกูลซือหม่าที่มีอำนาจในการพูด มาหาผมเดี๋ยวนี้”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท