ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 528 กงซุนชิวอวี่มาขอร้อง

บทที่ 528 กงซุนชิวอวี่มาขอร้อง

“ช้าก่อน ฉันดูว่าพวกแกใครกล้าลงมือ ฉันเป็นถึงคนตระกูลกงซุน” กงซุนสือพูดอย่างโมโห หน้าตาโอหัง

เสียงฮวั๊ก

คราวนี้ บอดี้การ์ดร่างใหญ่สองนายที่อยู่หลังกงซุนสือพุ่งมา ขวางไว้ข้างหน้า

“จัดการ”

นิ่งซวนยังคงออกคำสั่งอย่างหนักแน่น

ชายหนุ่มสีหน้าเย็นชาสองนายข้างกายลงมือ ทั้งต่อยทั้งถีบก็จัดการบอดี้การ์ดแข็งแกร่งข้างกายกงซุนสือจนล้ม

ต่อจากนั้น เพร้งพร้าง ชายหนุ่มกลุ่มหนึ่งวิ่งเข้ามา ต่อยจนกงซุนสือและเจิ้นหยวนเป่าล้มกองอยู่กับพื้น กดตัวไว้ที่โต๊ะขยับไม่ได้

“น้องชาย คุณไม่รายงานชื่อฐานะ เข้ามาก็ลงมือทำร้ายคน? คุณไม่กลัวผลลัพธ์ในการหาเรื่องตระกูลกงซุนเหรอ?” กงซุนสือถามนิ่งซวนอย่างเย็นชา “ผมจะบอกคุณให้นะ คุณมาหาเรื่องผมเพียงเพราะไอ้ลูกเขยไร้น้ำยาอย่างหลินอิ่ง? นั่นมันก็ไม่ต่างอะไรกับสมองมีปัญหา”

กงซุนสือก็ไม่เข้าใจ ชายหนุ่มที่พาคนบุกเข้ามาคนนี้สมองมีปัญหาหรือเปล่า บอกฐานะของตระกูลกงซุนออกมาแล้ว ยังกล้าลงมือ?

ยังเชื่อฟังคำพูดไอ้ไร้น้ำยาหลินอิ่งนี่อีก?

ไม่กลัวสร้างเรื่องตลกให้คนอื่นหัวเราะ

“เหอะ ตระกูลกงซุน? ผมนิ่งซวน ไม่มีตระกูลกงซุนอยู่ในสายตา” นิ่งซวนพูดอย่างเย็นชา “อย่าว่าแต่ประธานหลิน แม้แต่ผมนิ่งซวนคุณไม่มีสิทธิ์เป็นอริด้วย ยังกล้าอวดดีต่อหน้าประธานหลิน?”

นิ่งซวนรู้สึกตลก ชื่อเสียงของประธานหลินโด่งดังขนาดนี้ในตี้จิง ทำไมถึงยังมีคนตาไร้แววแบบนี้อยู่ ยังคิดว่าประธานหลินเป็นลูกเขยแต่งเข้าบานผู้หญิงของมณฑลตงไห่?

มิน่า ประธานหลินถึงขี้เกียจถือสาไอ้หน้าโง่แบบนี้ ไม่คู่ควรที่จะให้ประธานหลินลงมือจริงๆ

“นิ่งซวน? อะไรนิ่งซวน?” เจิ้งหยวนเป่าสีหน้าสงสัย

“เดี๋ยวก่อน……นิ่งซวน……แม่งเอ้ยแกนี่ล้อเล่นอะไร ยังกล้ามาปลอมตัวเป็นผู้นำตระกูลนิ่งมาขู่ฉัน?” กงซุนสือพูดอย่างเย็นชา ท่าทางไม่เชื่อเลยแม้แต่น้อย

นิ่งซวนมีชื่อเสียงโด่งดังในตี้จิง นิ่งซวนเป็นผู้นำคนใหม่ของตระกูล หัวหน้าตระกูลนิ่ง

เพียงแค่ ยังมีคนมากที่ไม่เคยได้พบหน้าประสานงานกับนิ่งซวน

กงซุนสือยังไงก็ไม่เชื่อ หลินอิ่งที่เป็นแค่ลูกเขยไร้น้ำยาเกาะเมียกิน จะสามารถคุยธุระต่อหน้าคนใหญ่โตอย่างนิ่งซวน โดยเฉพาะนิ่งซวนยังเคารพเขาได้ขนาดนี้?

พูดตลกจริงๆ

ช่างเป็นคางคกขึ้นวอจริงๆ ไอ้ไร้น้ำยาที่วันๆก็ได้แต่คอยติดตามน้องสาวของตัวเองกงซุนชิวอวี่ จะไปมีความสามารถอะไร

“ประธานหลิน ประธานหลิน? น้องชาย ผมอยากรู้จริง ประธานหลินที่คุณเรียกนี้ฐานะอะไรกันแน่ ถึงทำให้คุณเคารพมันขนาดนี้? คุณเข้าใจอะไรผิดไปแล้วหรือเปล่า?” กงซุนสือพูดด้วยหัวเราะเย็นชา “มันเป็นแค่คนบ้านนอกจากต่างจังหวัดคนเดียว ผมดูคุณแบบนี้ อย่าไปถูกมันหลอกเอา น้องสาวของผม ก็เกือบถูกไอ้นี่มันหลอกแล้ว”

“คนบ้านนอกจากต่างจังหวัด?” นิ่งซวนลูบหน้าผาก นวดขมับ

เขารู้สึกว่า กงซุนสือโง่จนไร้ยารักษาแล้ว

นิ่งซวนพูด “แกรู้ไหมว่าประธานเป็นใคร? ทางที่ดีที่สุดแกควรกลับไปถามตระกูลกงซุนของแกนะ ว่ารู้จักคุณชายอิ่งไหม”

“คุณชายอิ่ง? คุณล้อเล่นอะไร?” กงซุนสือส่ายหน้าหัวหน้าเย็นชา ไม่เชื่อแม้แต่น้อย “ถึงแม้ว่าช่วงนี้ฉันจะไม่ได้ใช้ชีวิตในตี้จิง แต่ก็เคยได้ยินข่าวอยู่บ้าง คุณชายอิ่งเป็นคนตระกูลฉี มันแซ่หลิน คุณหลอกใครกันเหรอ? ถ้ามันเป็นคุณชายอิ่ง ฉันคงเป็นผู้นำประเทศแล้ว”

“แกยังมาปลอมตัวเป็นคนของตระกูลนิ่ง? ฉันว่าพวกแกนี่รนหาที่ตาย รอฉันติดต่อกับคนในครอบครัวก่อน ต้องลากตัวพวกแกออกมาจากตี้จิงแน่” กงซุนสือไม่พอใจอย่างมาก

ไม่รู้ว่าหลินอิ่งมันไปหาเพื่อนมาจากไหน ปลอมตัวกันจนขึ้นหัวแล้ว คนใหญ่โตอะไรก็กล้าปลอมตัว

“ประธานนิ่ง ท่าน ครั้งที่แล้วคุณเคยปรากฏตัวที่โรงแรมเพิร์ลใช่ไหม?” ลู่เฉินถามเสียงเบาอยู่ด้านข้าง มองหน้านิ่งซวนด้วยสีหน้าที่เคารพ มีความรู้สึกแบบไม่น่าเชื่อ

“อะไร? เสี่ยวเฉิน คุณรู้จักเขา?” กงซุนสือถามด้วยสีหน้าแปลกใจ

“คือ……คุณผู้ชายท่านนี้ คือนิ่งซวนของตระกูลนิ่ง” ลู่เฉินพูดด้วยสีหน้าตื่นเต้น เหงื่อท่วมหัว ไม่กล้าเงยหน้ามองหลินอิ่งแล้ว

เธอเคยเห็นนิ่งซวนในงานแห่งหนึ่ง ตอนที่มั่นใจว่าเป็นนิ่งซวนแล้ว ในใจก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก

คนที่สามารถทำให้นิ่งซวนเคารพขนาดนี้ อาจจะ เป็นคุณชายอิ่งแห่งตี้จิงตัวจริง

แต่ว่า เมื่อกี้เธอกลับพูดจาเหยียดหยามคุณชายอิ่ง……ถ้าหากเขาเอาเรื่องขึ้นมา เธอต้องจบสิ้นแน่ กงซุนสือก็คุ้มหัวเธอไม่ได้

“อะไรนะ นิ่งซวนจริงเหรอ? นั้น ถ้าอย่างนั้น……” กงซุนสือเมื่อได้ยินคำพูดนี้แล้ว สีหน้าซีดลงไปทันที ดวงตาหรี่เล็กลง สีหน้าเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ

“เขาคือนิ่งซวน งั้นหลินอิ่ง หลินอิ่งคือ……” กงซุนสือพูดอ้ำๆอึ้งๆ เหงื่อไหลลงมาจากหน้าผาก

เรื่องล้อเล่นนี้มันจะเกินไปใหญ่แล้ว

หรือว่า หลินอิ่งจะเป็นคุณชายอิ่งแห่งตี้จิงจริง?

นี่เป็นเรื่องที่กงซุนสือไม่มีวันคาดคิดได้ และไม่เคยคิดไปในด้านนี้เลย

“เป็นไปไม่ได้ น้องชาย นิ่ง คุณนิ่ง คุณให้ผมโทรคุยกับคนในครอบครัวผม ผมต้องการแน่ใจหน่อย” กงซุนสือพูดด้วยสีหน้าตื่นเต้น

“โทรศัพท์?” หลินอิ่งหัวเราะ พูดอย่างเรียบเฉย “นิ่งซวน คุณต้อนรับเขาอยู่ที่นี่ ผมเปลี่ยนโต๊ะกินข้าว ซ้อมจนคนของตระกูลกงซุนมา คุณไปรับช่วงกับพวกเขา”

“อย่าให้คนตระกูลกงซุนมารบกวนเวลากินข้าวของผมอีก จัดการเรื่องนี้เสร็จ แล้วมาหาผม”

หลินอิ่งพูดสั่งไปสองประโยคอย่างใจเย็น ค่อยๆลุกขึ้น

ส่วนฉู่ฉู่ ก็ลุกขึ้นเดินตามอย่างเชื่อฟัง

“ครับ”

นิ่งซวนพยักหน้าอย่างเคารพ จากนั้นก็หันไปมองกงซุนสือทั้งสองคนด้วยสีหน้าเย็นชา

กงซุนสือมึนงงไปหมดแล้ว มองหลินอิ่งเดินไปที่โต๊ะอีกตัวด้วยสายตางงตาค้าง

วินาทีนี้ เขาดูออกแล้ว

หลินอิ่งไม่ได้มีตระกูลกงซุนของเขาอยู่ในสายตาเลย ให้คนซ้อมเขาอยู่ทางนี้ ยังมีอารมณ์นั่งกินข้าวไปด้วย?

“ไอ้หน้าโง่ไม่รู้จักดู แกยังอยากโทรศัพท์? ให้คนของตระกูลกงซุนมารับคนเลย”

เพี๊ยะเพี๊ยะ

พูดจบ นิ่งซวนสะบัดมือตบหน้ากงซุนสือไปสองครั้ง

“เอื้อกอ้าก”

“เอื้อก”

กงซุนสือถูกซ้อมจนร้องโอดโอย สีหน้าเต็มไปด้วยความอับอาย

จากนั้น ทหารลับของตระกูลนิ่งก็เดินเข้ามา กดตัวกงซุนสือทั้งสองคนไว้ทั้งต่อยทั้งถีบ ซ้อมอย่างเอาเป็นเอาตาย

หุ่นสองคนนี้ รับแรงกระทืบไม่ไหวแน่นอน แค่ไม่กี่ทีก็น้ำมูกน้ำตาไหลไม่หยุด หน้าสะบักสะบอมล้มตัวสั่นอยู่บนพื้น

“เอื้อก อ้าก เมตตากันหน่อย”

“อยากต่อยอีกเลย ทำต่อไปจะเกิดเรื่องแล้ว……”

ภายในร้านอาหารมีเสียงร้องอย่างเจ็บปวดของกงซุนสือดังขึ้นไม่หยุด

ทหารลับของตระกูลนิ่งไม่ได้หยุดมือเลย เอาเชือกมาผูกทั้งสองคนแขวนขึ้น ซ้อมเหมือนกับกระสอบทราย

บนโต๊ะอาหารที่อยู่ไม่ไกล หลินอิ่งคีบกับข้าวอย่างใจเย็น กินข้าวอย่างสบายใจ

ติ๊ดติ๊ด

เวลาเดียวกัน มือถือของเขาก็ดังขึ้น

เบอร์โทรที่แสดงหน้าจอ คือน้องสาวกงซุนชิวอวี่โทรมา

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท