ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 510 ระงับพิษได้เท่านั้น

บทที่ 510 ระงับพิษได้เท่านั้น

“ไม่รบกวนค่ะ คุณหลิน ฉันไปกับคุณตอนนี้” ฉู่ฉู่พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง ก้มหน้าแอบมองหลินอิ่ง ใบหน้าแดงก่ำ

หลินอิ่งก็ถูกเธอมองจนรู้สึกทำตัวไม่ถูก เอียงหน้าไปส่งสายตาให้หัวหน้า หมุนตัวเดินออกจากห้องรับรอ

“ประธานฉู่ทั้งสองท่าน เรื่องในวันนี้ ผมต้องขออภัยด้วย แต่บุญคุณของตระกูลฉู่ ผมจะจดจำไว้ในใจ เรื่องเร่งด่วน จำเป็นต้องทำเช่นนี้” หลินอิ่งพูดอย่างจริงจัง ยกมือคำนับให้ฉู่สงซาน

“หลี่ผู คุณอยู่ดูแลประธานฉู่ทั้งสองท่านที่นี่ มีความต้องการอะไร ก็จัดหาให้โดยไม่มีข้อแม้ใดๆ”

“ครับ” หลี่ผูพยักหน้าอย่างเคารพ

จากนั้น หลินอิ่งก็พาฉู่ฉู่ออกจากโรงแรมจงเทียน

“นี่มันเรื่องอะไรกัน? ยังมีระเบียบวินัยอยู่ไหม?” ฉู่หยุนซานนั่งกลับไปที่นั่ง สีหน้าไม่พอใจ

“น้องหก นายก็ไม่สอนฉู่ฉู่บ้าง? นี่จะโอ๋เกินไปแล้วหรือเปล่า? ให้เขาทำอะไรไปเลื่อย? เอาความลับสุดยอดของตระกูลไปบอกคนอื่น?” ฉู่หยุนซานมองไปที่ฉู่สงซาน พูดด้วยน้ำเสียงสั่งสอน

ฉู่สงซานยิ้มอย่างลำบากใจ พูดว่า “จากนี้ไป ก็อาจจะไม่ใช่คนนอกของตระกูลฉู่ จากวิธีการของคุณท่าน ท่านก็ให้ความสำคัญกับหลินอิ่งพอสมควร”

“เห้อ” ฉู่หยุนซานทำเสียงเย็นชา “พี่ขอพูดไว้ตรงนี้เลยนะ จากที่หลินอิ่งเหยียดหยามพี่ในวันนี้ ไม่ว่าคุณท่านจะให้ความสำคัญยังไงกับเขา พี่จะคัดค้านการแต่งงานนี้ให้ถึงที่สุด”​

“น้องหก ทางที่ดีที่สุดก็เปิดตาให้สว่างไว้นะ หลินอิ่งคนนี้ ไม่ได้มีความรู้สึกอะไรต่อฉู่ฉู่เลย” ฉู่หยุนซานพูดอย่างเคร่งเครียด “กลัวแค่ถึงเวลา จะเสียทั้งคนและยังเสียใจ”

ได้ยินแล้ว ฉู่สงซานขมวดคิ้วเล็กน้อย เข้าสู่ความคิด

นอกโรงแรมจงเทียน

หัวหน้าไปขับรถของเขามาจอดรอ หลินอิ่งพาฉู่ฉู่ขึ้นรถ จากนั้นก็กลับรถ ขับไปสู่ถนนอันเจริญรุ่งเรือง ขับไปสู่จื่อหลงซาน

ที่นั่งด้านหลัง ฉู่ฉู่วางมือสองข้างไว้บนหัวเข่า ท่านั่งเรียบร้อย เหล่มองหลินอิ่งที่นั่งหลับตาพักผ่อน

“คุณหลิน คุณรีบใช้ดอกโคมขนาดนี้ เพื่อจะช่วยคนเหรอคะ?” ฉู่ฉู่ถามอย่างระมัดระวัง ถามด้วยความห่วงใย

หลินอิ่งค่อยๆลืมตา สีหน้าลังเลนิดหน่อย พูดอย่างเคร่งขรึม “ผมก็ไม่ปิดบังคุณแล้ว ผมต้องการดอกโคมด่วน เพื่อช่วยคุณปู่ผม คุณปู่ผมมีพิษหายากในร่างกาย”

“ออ? มิน่าคุณหลินถึงได้โกรธคุณลุงขนาดนี้ คุณหลิน คุณก็เป็นคนกตัญญูคนหนึ่ง”​ ฉู่ฉู่พูดอย่างมีมารยาท ก้มหน้าเล็กน้อย “ในเรื่องนี้ ฉันต้องขอโทษคุณแทนคุณลุงด้วย”

หลินอิ่งแววตาเคลื่อนไหวเล็กน้อย พูดว่า “คุณอย่าพูดแบบนี้ ครั้งนี้ผมเป็นคนติดหนี้บุญคุณตระกูลฉู่ของพวกคุณ คุณลุงของคุณก็แค่ค่อนข้างยโสเท่านั้น ไม่ได้หวังร้ายอะไร ผมก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรในเรื่องเล็กแค่นี้”

“คุณหลินช่างใจกว้างจริงๆ” ฉู่ฉู่มองหลินอิ่งด้วยสายตาหลงใหล พูดอย่างระมัดระวัง “คุณหลิน ฉันฝึกวิชาการแพทย์กับคุณปู่ฉันตั้งแต่เด็ก ถ้ามีความต้องการช่วยเหลือ ฉันสามารถช่วยคุณดูอาการของคุณท่านได้ วิเคราะห์ว่าเป็นพิษอะไร”

ฉู่ฉู่สามารถเป็นหลานสาวสุดรักสุดหวงของคุณท่านฉู่ ไม่ใช่ไม่มีเหตุผล

เธอมีความสนใจเรื่องทักษะการแพทย์ตั้งแต่เด็ก มีพรสวรรค์มากในด้านการแพทย์ และติดตามเรียนรู้ทักษะการแพทย์กับราชาแห่งยา ได้ฟังได้ดูประจำจนมีความรู้ ฝึกฝนวิชาการแพทย์อย่างดี

โดยเฉพาะ ฉู่ฉู่ยังเคยรับการฝึกฝนในระบบการแพทย์แผนปัจจุบัน เคยเรียนในมหาลัยการแพทย์ระดับสูงในต่างประเทศ มีความรู้ทั้งแพทย์แผนจีนและแผนปัจจุบัน ก็ถือว่าเป็นนักปราชญ์น้อยคนหนึ่ง

“ขอบคุณ สำหรับความหวังดี พิษในร่างกายคุณปู่ผม ผมได้ตรวจเรียบร้อยแล้ว” หลินอิ่งพูดอย่างจริงจัง “ฉู่ฉู่ คุณแค่ช่วยผมนำดอกโคมออกมาอย่างดีก็ถือว่าช่วยผมอย่างมากแล้ว”

“เป็นเช่นนี้นี่เอง” ฉู่ฉู่พยักหน้าเล็กน้อย ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง พูดอย่างจริงจัง “คุณหลิน คุณก็รู้ทักษะการแพทย์เหรอ? คุณสะดวกบอกฉันไหม ว่าคุณปู่ของคุณโดนพิษอะไร? ฉันก็เคยอ่านหนังสือการแพทย์โรคประหลาดมาบ้าง ดูว่าฉันสามารถช่วยอะไรได้บ้าง อาจให้คำแนะนำอะไรได้บ้าง”

“ผมพอรู้ทักษะการแพทย์บ้าง” หลินอิ่งพยักหน้า พูดอย่างจริงจัง “พิษที่คุณปู่ผมได้รับนั้นคือพิษประหลาดอย่างหนึ่งของต้าเหอ เรียกว่าพิษงูจิ่วเจ๋”

“พิษงูจิ่วเจ๋?” ฉู่ฉู่สีหน้าตกใจ เอามือปิดปาก “ถ้าเช่นนั้น ก็อันตรายมาก?”

“ผมเคยอ่านเรื่องแนะนำยาพิษชนิดนี้จากตำราการแพทย์ของคุณปู่เล่มหนึ่ง พิษชนิดนี้แทบไม่มียารักษา ยาพิษมีการเปลี่ยนแปลงเก้าชนิด นอกจากคนวางยา ไม่มีคนสามารถทำยาถอนพิษได้” ฉู่ฉู่พูดเหมือนคิดอะไรอยู่ “น่าเสียดาย ฉันแค่เคยได้ยินยาพิษชนิดนี้ แต่ไม่รู้ว่าถอนพิษยังไง”

“คุณหลิน ทักษะการแพทย์ของคุณสูงส่งจริงๆ แม้แต่พิษแปลกเช่นนี้คุณก็สามารถตรวจออกมาได้” ฉู่ฉู่มองหลินอิ่งด้วยสายตานับถือ

หลินอิ่งพูด “แค่ความบังเอิญ ผมก็เคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่งเช่นกัน ถึงรู้จักยาพิษชนิดนี้”

ฉู่ฉู่สีหน้ายิ้มแย้ม ดวงตาอันสวยงามจ้องอยู่บนตัวหลินอิ่ง พูดว่า “คุณหลินถ่อมตัวเกินไปแล้ว คุณยังรู้ว่าผสมยาแก้พิษยังไง ยังหาตระกูลฉู่เพื่อขอดอกโคม ทักษะการแพทย์สูงส่งขนาดนี้ ในตระกูลฉู่ของเรามีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่มีความสามารถเช่นนี้”

ฉู่ฉู่ตอนนี้รู้สึกชื่นชมความสามารถทางการแพทย์ของหลินอิ่งมาก เก่งมากจริงๆ

เธอในฐานะของหลานสาวราชาแห่งยา ความรู้ความสามารถทางการแพทย์ถือว่าเป็นเลิศแล้ว

พิษงูจิ่วเจ๋ นั่นเป็นพิษสุดแปลกอันขึ้นชื่อ แม้แต่พิษชนิดนี้ยังสามารถผสมยาแก้พิษออกมาได้? คุณหลินเป็นมือศักดิ์สิทธิ์คนหนึ่งจริงๆ

หลินอิ่งส่ายหน้า พูดว่า “ชมเกินไปแล้ว เมื่อเทียบกับพื้นฐานทักษะการแพทย์ของตระกูลคุณแล้ว ผมไม่กล้าเทียบตัวเอง”

ฉู่ฉู่ไม่ได้พูดอีก ก้มหน้า แก้มแดง มือข้างหนึ่งจับมืออีกข้างหนึ่งเล่นไปมา ไม่รู้ในใจคิดอะไรอยู่

……

สองชั่วโมงผ่านไป

จื่อหลงซาน สถานพยาบาลทหารหมายเลข 2

ภายในห้องผู้ป่วย ฉีเวิ่นติ่งนอนอยู่บนเตียง ถอดเครื่องช่วยหายใจออกแล้ว การเต้นของหัวใจและการหายใจเป็นปกติแล้ว สีหน้าก็หลับมาปกติแล้ว

ข้างเตียงของท่าน หลินอิ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ มือถือถ้วยไม้ใบหนึ่ง ด้านในยังมีกลิ่นหอมของยาหลงเหลืออยู่

“ดอกโคม สมกับที่เป็นชื่อยามหัศจรรย์” หลินอิ่งพึมพำเอง มองดูสีหน้าคุณปู่ที่ฟื้นฟูดีขึ้น สีหน้าก็เริ่มดีขึ้น

ตั้งแต่ฉู่ฉู่นำดอกโคมออกจากอำพันแล้ว เขาก็รีบผสมกับวัตถุดิบยาชนิดอื่นอีกหลายอย่าง แล้วเริ่มต้มยา

เพิ่งให้คุณปู่ทานยาไปไม่นาน ก็เริ่มเห็นผลแล้ว เห็นได้ว่าฤทธิ์ยาไม่ธรรมดา

“เคกเคกเคก…..” ฉีเวิ่นติ่งลืมตา ไอแห้งไปหลายครั้ง เรอออกมาหลายครั้ง สภาพร่างกายดูสดชื่นขึ้นมามากทีเดียว

“อิ่งเอ๋อ หลับมาแล้วเหรอ……แววตาดูอ่อนเพลียไปหน่อย” ฉีเวิ่นติ่งมองหลินอิ่งด้วยแววตารักใคร่ พูดอย่างเชื่องช้า น้ำเสียงยังคงอ่อนเพลีย “ปู่ก็แก่มากแล้ว ครั้งนี้ทำให้เราต้องลำบากแล้ว จากนี้ไปตระกูลฉีทั้งหมด ต้องพึงหลานเป็นคนปกป้อง……”

“คุณปู่ เพิ่งฟื้นมา อย่าเพิ่งพูดเยอะ พักผ่อนก่อนดีกว่า” หลินอิ่งพูดอย่างจริงจัง “ผมวัดชีพจรให้”

พูดไป หลินอิ่งก็จับข้อมือของฉีเวิ่นติ่ง เพื่อตรวจสภาพการฟื้นฟูของคุณปู่

ผ่านไปสักครู หลินอิ่งปล่อยมือ สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย สายตามีแววแห่งแรงสังหาร

“อิ่งเอ๋อ เป็นอะไร?” ฉีเวิ่นติ่งถาม

“ไม่เป็นอะไรมาก คุณปู่ ร่างกายยังอ่อนเพลียอยู่ พักผ่อนสักพักก็ดีขึ้น”

พูดไป หลินอิ่งก็ลุกขึ้น หันหลัง สีหน้าเย็นชาอย่างสุดขีด

ยาที่ผสมด้วยดอกโคมมีผล แต่ก็ไม่สามารถถอนพิษในร่างกายของคุณปู่ได้

แม้แต่ยาล้ำค่าหายากเช่นนี้ก็ไม่สามารถรักษาให้หายได้ เห็นได้ว่า พิษที่กงจิ่ววางนั้นโหดเหี้ยมแค่ไหน

เท่าที่หลินอิ่งวิเคราะห์ ดอกโคมทำได้แค่ระงับพิษในร่างกายคุณปู่เท่านั้น ต่อชีวิตได้สองถึงสามเดือน

อยากให้คุณปู่หายเป็นปกติ จำเป็นต้องจับตัวกงจิ่วมา บังคับให้เขาเอายาถอนพิษมา

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท