ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 527 ก็คือดูถูกนาย

บทที่ 527 ก็คือดูถูกนาย

“แต่ว่า หมอเทพหลิน ในเมื่อเจอนายที่ตี้จิงแล้ว งั้นนายวางใจได้ ฉันต้องให้เพื่อนในตี้จิง ‘ต้อนรับ’นายเป็นอย่างดี”

กงซุนใบหน้ายังคงยิ้มแย้ม พูดจาข่มขู่

เท่าที่เขาดูแล้ว ในตี้จิงแห่งนี้ มีวิธีมากมายที่จะจัดการไอ้หน้าโง่หลินอิ่งนี่

เขาเป็นถึงลูกหลานตระกูลกงซุนที่มีหน้ามีตา อำนาจความสัมพันธ์ในตี้จิงไม่รู้กว้างขวางขนาดไหน จะจัดการกับคนบ้านนอกที่มาจากต่างจังหวัดอย่างหลินอิ่ง มันเป็นเรื่องง่ายนิดเดียว?

“ใช่ พี่สือ พี่พูดถูกที่สุด” เจิ้งหยวนเป่าพูดจาประจบประแจง “คนสูงส่งอย่างหมอเทพหลินมาถึงตี้จิง แบบนี้ก็ต้องต้อนรับเป็นอย่างดี”

“หมอเทพหลิน พอดีเลย ฉันจัดงานเลี้ยงพอดี มีดาราดังมากมายและพวกเถ้าแก่ในตี้จิงก็มากัน ไปไหม หมดเทพหลิน แนะนำธุรกิจให้คุณ” กงซุนสือพูดอย่างหยอกล้อ “ฉันรับรอง ขอแค่นายแสดงฝีมือทักษะขั้นเทพของนายหน่อย พวกประธานเหล่านั้นต้องถูกใจนายแน่ จากนี้ไปก็ไม่ต้องใช้ชีวิตโดยพึ่งพาการเกาะผู้หญิงกิน”

พูดจบ ข้างกายกงซุนสือหญิงสาวคนหนึ่งที่แต่งกายทันสมัย มีบุคลิกเหมือนดารา หัวเราะขึ้นมากะทันหัน มองหลินอิ่งอย่างดูถูกโดยไม่ปิดบัง “ฮาฮาฮาฮา คุณชายสือ คุณจะพูดเก่งไปไหม? ฉันฟังจนขำใหญ่แล้ว”

“หมอเทพหลินท่านนี้ เก่งอย่างที่พวกคุณพูดขนาดนั้นเลยเหรอ?” หญิงสาวถามอย่างสนใจ

“แน่นอน ใช่อยู่แล้ว ฝีมือของหมอเทพหลิน แค่ยกนิ้วก็สามารถรักษาโลกได้แล้ว” กงซุนสือพูดจาเสียดสีต่อ ยื่นมือจับหน้าของดาราสาวคนนั้น

“ทำไม? หมอเทพหลิน คุณจะไม่ให้หน้ากันขนาดนี้เลยเหรอ? พี่สือให้แนะนำหนทางให้คุณนะเนี่ย?” เจิ้งหยวนเป่าก็พูดจาเสียดสีตาม “ไม่ว่ายังไง ติดตามพี่สือ ก็ดีกว่าที่คุณเกาะผู้หญิงกินไปวันๆใช่ไหม? หา?”

“ใช่แล้ว ถึงแม้ว่าหมอเทพหลินจะชอบเกาะผู้หญิงกิน แบบนั้นพี่สือก็มีหนทาง คุณดูซิ ข้างกายพี่สือรู้จักไหม? ดาราสาวชื่อดังในสังคมตี้จิง ลู่เฉิง” เจิ้งหยวนเป่าพูดด้วยน้ำเสียงเกินจริง “ในแวดวงคุณลู่รู้จักผู้หญิงร่ำรวยมากมาย ว่ายังไง? คนไร้น้ำยาที่หลอกล่อผู้หญิงเพื่อเกาะผู้หญิงกินโดยเฉพาะอย่างนาย หวั่นไหวแล้วใช่ไหม?”​

“โอ้โห คุณชายเจิ้ง คุณชายสือ พวกคุณหาเรื่องคนอื่น ทำไมยังเอาฉันไปเกี่ยวข้องด้วย” ลู่เฉินพูดจากเย้ายวนต่อกงซุนสือ “ฉันรู้จักผู้หญิงรวยและเก่งมากมาย แต่ว่า เขาก็อาจจะไม่ถูกใจหมอเทพหลินที่พวกคุณรู้จักก็ได้”

“พวกคุณพูดกันพอหรือยัง? พวกคุณสองคนเป็นใคร? เสียมารยาทกันคุณหลินขนาดนี้?” ฉู่ฉู่พูดกับเจิ้งหยวนเป่าและกงซุนสือ ทนดูหน้าสองคนนี้ไม่ไหว

คนเก่งอย่างคุณหลิน แต่กลับพวกเขาสองคนพูดจนไม่เหลืออะไรดี

“สาวน้อย เธอพูดจาต้องระวังหน่อย เธอรู้ฐานะของคุณชายสือและคุณชายเจิ้งไหม?” ลู่เฉินหัวเราะเย็นชามองหน้าฉู่ฉู่ ท่าทางหยิ่งยโส “พูดออกมาแล้ว เกรงว่าเธอจะตกใจ”

กงซุนสือและเจิ้งหยวนเป่า

คนหนึ่งเป็นคุณชายลูกหลานรุ่นที่สามผู้มีอำนาจ อีกคนเป็นทายาทรุ่นที่สามของตระกูลเจิ้งมณฑลเกาหยาง ตระกูลเจิ้งอยู่ในตี้จิงก็ถือว่าเป็นตระกูลชั้นหนึ่ง

ระดับของสองคนนี้ ในตี้จิงที่เป็นดั่งสถานที่มีอัจฉริยะยอดฝีมือซ่อนอยู่ ก็ถือว่าอยู่ระดับต้นๆ

“โอ้โห หมอเทพหลิน นายเห็นหรือยัง ถูกผู้หญิงดูถูกแล้ว คนอื่นเขายังรู้สึกว่านายไม่มีสิทธิ์แม้แต่เกาะผู้หญิงกิน” กงซุนสือพูดอย่างได้ใจ

“ไม่ใช่ฉันพูด ฉันนี่ดูถูกคนอย่างนายจริงๆ นายจะทำอะไรได้? ฉันอยากช่วยเหลือนายสักหน่อย นายยังไม่รู้จักขอบคุณอีก?”

หลินอิ่งหัวเราะไม่ตอบ หัวเราะอย่างเย็นชามองสองคนนี้พูดคนนี้คำคนโน้นคำท่าทางปัญญาอ่อน

“นายแน่ใจหรือว่าจะให้ฉันทำยังไง?” หลินอิ่งถามอย่างสนใจ

“โอ้โห? ยังไม่พอใจเหรอ? ไม่พอใจแล้วนายจะทำอะไรได้? ไม่พอใจ ไปเรียกคนของนายมาเลย” กงซุนพูดอย่างเย็นชา

“นายโทรศัพท์ตอนนี้เลย ฉันก็อยากดูเหมือนกัน ในตี้จิงนี้นายจะมีความสัมพันธ์เยอะแค่ไหน ยังกล้ามาท้าทายฉันที่นี่?”

พูดจบ กงซุนสือหยิบซิการ์ขึ้นมา สีหน้าเต็มไปด้วยความได้ใจ

“ประธานหลิน ผมมาแล้ว ท่าน ที่นี่มันสถานการณ์อะไรครับ?”

ในเวลาเดียวกัน น้ำเสียงที่เคารพและรู้สึกแปลกใจดังขึ้น

เห็นเพียง นิ่งซวนพาบอดี้การ์ดสิบคน เดินเข้ามาจากประตู

นอกประตู ยังมีรถเบนท์ลี่ย์สีดำจอดอยู่สิบกว่าคัน มีชายหนุ่มร่างกายแข็งแกร่งยืนเฝ้าอยู่หน้าประตู ค่อนข้างเอิกเกริก

“นิ่งซวน คุณมาพอดี จัดการคนพวกนี้หน่อย จัดการเสร็จแล้วส่งไปที่คฤหาสน์ตระกูลกงซุนในตี้จิง” หลินอิ่งมองไปที่นิ่งซวน พูดอย่างใจเย็น

เขาขี้เกียจไปถือสาคุณชายเจ้าสำราญอย่างกงซุนสือและเจิ้งหยวนเป่า ขับรถหรู กอดดาราสาว แม้แต่พ่อเขาเป็นใครยังไม่รู้จัก

ตอนแรกคิดว่าจะให้ฮาเดสลงมือจัดการก่อนค่อยว่ากัน ในเมื่อนิ่งซวนถึงแล้ว ก็ให้นิ่งซวนไปจัดการ ทำให้สองคนนั้นจำอย่างเข็ดหลาบไปเลย

“จัดการพวกเขา? ได้ครับ ประธานหลิน ผมเข้าใจแล้ว” นิ่งซวนพยักหน้าอย่างเคารพ มองไปที่พวกกงซุนสือด้วยสายตาเย็นชา

“โอ้โห? นายยังชวนเพื่อนมาด้วยเหรอ? ให้เพื่อนนายจัดการพวกเรา? ตลกตายล่ะ คนอย่างนายที่ไปเป็นลูกเขยไร้น้ำยาเกาะผู้หญิงกิน จะไปรู้จักคนใหญ่โตในตี้จิงได้ยังไง?” เจิ้งหยวนเป่าพูดด้วยสีหน้าเหยียดหยาม หันสายตาไปมองนิ่งซวน

“นายนี่มันตัวอะไร? มาคิดว่าตัวเองใหญ่โตที่นี่? ทำอย่างเอิกเกริกใหญ่โตเหรอ? อ้าปากก็พูดว่าจะจัดการคนอื่น รู้ไหมว่าคนข้างกายฉันนี่ฐานะอะไร? เป็นถึงตระกูลกงซุน……”

เจิ้งหยวนเป่าพูดกับนิ่งซวยด้วยสีหน้ายโสโอหัง

คำพูดยังพูดไม่จบ ก็เสียงดังเพี๊ยะ

นิ่งซวนยกมือก็ตบลงไปที่หน้า ตบไปที่หน้าของเจิ้งหยวนเป่าจนหน้าของเขามีรอยฝ่ามือ

“แกกล้าพูดไปเลื่อยต่อหน้าประธานหลินอีกคำ ฉันตัดลิ้นของแกแน่”

นิ่งซวนตะโกนเสียงเย็นชา แปร่งราศีอันน่าเกรงขามออกมา

เจิ้งหยวนเป่าสีหน้าแดงก่ำ ตกใจจนถอยหลังไปสองก้าว สีหน้าไม่พอใจ

“คุณชายสือ มัน มันกล้าลงมือกับผม” เจิ้งหยวนเป่าพูดด้วยสีหน้าหดหู่

กงซุนสือขมวดคิ้วเล็กน้อย สังเกตดูนิ่งซวนอย่างละเอียด แล้วดูสถานการณ์เอิกเกริกของนิ่งซวน ในใจก็ไม่ค่อยมั่นใจ

นิ่งซวนในวันนี้ หลังจากได้ควบคุมอำนาจตระกูลนิ่งแห่งตี้จิงแล้ว ผู้คนที่ได้เจอต่างก็เป็นคนมีหน้ามีตาในสังคมตี้จิง แน่นอนว่าต้องมีบุคลิกที่น่าเกรงขามอยู่แล้ว พอโมโหขึ้นมา ก็ต้องให้ความกดดันกับคนที่อยู่ตรงหน้า

“คุณผู้ชายท่านนี้? ดูแล้วคุณก็เป็นคนมีฐานะในตี้จิง คุณเป็นคนตระกูลไหน? ผมคือกงซุนสือ กงซุนเฟยหงของตระกูลกงซุนเป็นพ่อของผม” กงซุนสือพูดอย่างเคร่งขรึม “คุณอยู่ดีๆก็ตบหน้าเพื่อนผม นี่คือไม่ให้เกียรติผมเหรอ?”

“ทางที่ดีที่สุดให้เกียรติผมหน่อย ขอโทษเพื่อนผมด้วย ไม่อย่างนั้น วันนี้ไม่จบแค่นี้แน่” กงซุนสือพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม มั่นใจในฐานะของตัวเอง ไม่กลัวแม้แต่น้อย

“ให้เกียรติคุณ คุณคิดว่าคุณเป็นตัวอะไร?”

นิ่งซวนยิ่งฟังยิ่งโมโห แค่คุณชายเจ้าสำราญของตระกูลกงซุนคนเดียวกล้าอวดดีต่อหน้าประธานหลิน?

ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำจริงๆ

“ลงมือ จัดการพวกมันทุกคนจนล้มนอนกับพื้น”

นิ่งซวนโบกมือ สั่งบอดี้การ์ดที่อยู่ข้างกาย

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท