ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 530 ห้าตระกูลชั้นหนึ่งต่างมีความคิด

บทที่ 530 ห้าตระกูลชั้นหนึ่งต่างมีความคิด

“เหอะ” กงซุนชิวอวี่หัวเราะเย็นชา ไม่อยากสนใจเจิ้งหยวนเป่า ค่อยๆเดินไปหาหลินอิ่ง

เจิ้งหยวนเป่ารู้สึกเหมือนโดยดูถูก สีหน้าแดงก่ำด้วยความอับอาย จนอยากหาหลุมมุดลงไป

ตอนนั้นเขาตามจีบกงซุนชิวอวี่ ยังเห็นหลินอิ่งเป็นคู่แข่งไปโกรธแค้นเขา

ยังไงก็คิดไม่ถึง ว่าจะมาอยู่ในสภาพแบบนี้……

ตกอยู่ในสภาพที่ให้ขอร้องให้กงซุนชิวอวี่ไปช่วยพูดกับหลินอิ่ง……

“พี่ นี่เป็นของขวัญที่หนูเอามาให้พี่ แล้วก็มีน้ำใจเล็กน้อยจากคุณปู่หนูฝากมา ให้หนูเอาให้พี่” กงซุนชิวอวี่นั่งเข้าไปในโต๊ะ เอากล่องของขวัญหลายชิ้นมาจากมือบอดี้การ์ดสาวด้านข้าง

“ปู่ของหนูจำบุญคุณที่พี่ช่วยรักษาอาการป่วยไว้ตลอด กำชับหนูซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถ้าทางพี่มีอะไรที่ต้องการ ก็เปิดปากได้ตลอด” กงซุนชิวอวี่พูดอย่างจริงจัง

หลินอิ่งพยักหน้าเล็กน้อย พูดอย่างเรียบเฉย “ช่วยบอกนายท่านกงซุน ว่าพี่รู้แล้ว ใช่แล้ว กินข้าวหรือยัง อาหารร้านนี้ใช้ได้ กินอะไรหน่อยละกัน”

“อืม หิวพอดีเลย ถ้าอย่างนั้นหนูไม่เกรงใจแล้วนะ” กงซุนชิวอวี่หยิบตะเกียบขึ้นมา เอามือปิดปาก คีบกับข้าวมากิน

“ใช้ได้เลย” กงซุนชิวอวี่พูด “พี่ พี่ดูของขวัญพวกนี้ หนูเตรียมอย่างตั้งใจ แล้วยังมีของขวัญที่ตกลงจะเตรียมให้พี่สะใภ้”

พูดไป กงซุนชิวอวี่ก็เปิดกล่องของขวัญออก

ภายในกล่องของขวัญพลาสติก ไม่ใช่กล่องหยกที่สดใสดั่งคริสทัลงามวิจิตร ก็เป็นกล่องอัญมณีที่แกะสลักด้วยไม้จันทน์

ดูแค่กล่องที่ทำอย่างประณีตและมีค่านั้น ก็รู้ว่าของขวัญด้านในต้องมีมูลค่าสูงมาก

“กำไลหยกจักรพรรดิ ปู่ของหนูให้ช่างเกาะสลักโดยเฉพาะ ยังมีแป้งไข่มุกธรรมชาติอีกหลายชิ้น แล้วก็ผ้าห่มด้ายทองคำที่ทำจากช่างปักฝีมือดีอีกหนึ่งชิ้น……” กงซุนชิวอวี่ค่อยๆแนะนำ “พี่ ของพวกนี้สำหรับพี่แล้วไม่ได้มีค่าอะไร เป็นแค่น้ำใจเล็กน้อย ล้วนเป็นงานประณีต”

“ใช่แล้ว” กงซุนชิวอวี่เหมือนคิดอะไรได้ขึ้นมากะทันหัน หันไปมองฉู่ฉู่ที่นั่งข้างหลินอิ่ง สีหน้าแปลกใจ

“พี่ ทำไมพี่สะใภ้ไม่อยู่ข้างกายพี่ล่ะ? สาวสวยท่านนี้ที่อยู่ข้างพี่ เป็นใครเหรอ?” กงซุนชิวอวี่ถามอย่างระมัดระวัง มองหลินอิ่งด้วยสายตาแปลกๆ

พูดถึงจางฉีโม่ หลินอิ่งก็ตาตกเล็กน้อย พูดเสียงเรียบ “พี่สะใภ้เขาอยู่ที่ตงไห่ เขามีงานต้องยุ่ง”

“ออ?” กงซุนชิวอวี่สีหน้าหยอกล้อขึ้นมา “พี่ ครั้งที่แล้วก็เห็นข้างกายพี่มีสาวสวยแซ่หวัง ทำไมหาพี่ทีไร ข้างกายก็เปลี่ยนสาวสวยทุกครั้ง พี่นี่ใช้ได้เลยนะ พี่นี่ซ่อน…..?”

ได้ยินแล้ว ฉู่ฉู่สีหน้าก็เริ่มแดง รู้สึกเขินอาย

หลินอิ่งเอียงหน้า มองกงซุนชิวอวี่ด้วยสายตาเย็นชา

กงซุนชิวอวี่รีบหุบปาก แสดงท่าทางน่าสงสาร พูดว่า “หนูไม่ได้พูดอะไรเลยนะ พี่ สายตาพี่ดุเดินไปแล้วนะ อย่าดูหนูแบบนี้ หนูไม่รู้อะไรเลย หนูไม่บอกพี่สะใภ้หรอก”

“ในสมองของเธอนี่วันๆคิดแต่เรื่องอะไร?” หลินอิ่งพูดอย่างจริงจัง “คนนี้พี่ขอแนะนำหน่อย คนนี้คือฉู่ฉู่ อาการป่วยของนายท่านครั้งนี้ พี่ขอความช่วยเหลือจากนายท่านตระกูลฉู่แห่งเตียนหนาน ก็คือคุณปู่ของฉู่ฉู่”

“ฉู่ฉู่อยู่เที่ยวต่อที่ตี้จิงสักพัก พี่ก็ต้องดูแลความปลอดภัยของเขาเป็นธรรมดา”

“ออ ออ” กงซุนชิวอวี่พยักหน้า เมื่อได้ยินชื่อตระกูลฉู่แห่งเตียนหนาน สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมา

คนของตระกูลฉู่เตียนหนาน ก็พูดจาล้อเล่นไม่ได้

“สวัสดีค่ะ ฉู่ฉู่ ฉันชื่อกงซุนชิวอวี่ เมื่อกี้ฉันพูดล้อเล่นกับพี่ชายฉัน คุณอย่าคิดมากนะคะ” กงซุนชิวอวี่พูดอย่างเปิดเผย ยิ้มให้ฉู่ฉู่

“สวัสดี ชิวอวี่” ฉู่ฉู่ก็พยักหน้าอย่างยิ้มแย้ม ตอบรับอย่างมารยาท

คิดไปครู่หนึ่ง กงซุนชิวอวี่พูดอย่างจริงจัง “พี่ หนูยังมีเรื่องจะคุยกับพี่ ไม่อย่างนั้น พี่ปล่อยพี่ชายที่ไม่เอาไหนคนนั้นของหนูเถอะ ให้เขามาขอโทษพี่ ไม่อย่างนั้นแขวนอยู่ตรงนั้น ดูแล้วก็รบกวนอารมณ์กินข้าวของเรา”

หลินอิ่งมองไปที่นิ่งซวน ส่งสายตาให้

นิ่งซวนพยักหน้ารับรู้ มองไปที่บอดี้การ์ดข้างกาย พูดว่า “ปล่อยไอ้หน้าโง่สองคนนี้”

เสียงฮวั๊ก เชือกถูกตัดขาด กงซุนสือกับเจิ้งหยวนเป่าร่วงลงมา ทั้งสองคนถูกซ้อมจนบวมไปทั้งตัวแล้ว เข่าอ่อนทั้งสองข้าง ยืนไม่ไหว ล้มกองอยู่กับพื้นเหมือนหมา

ทั้งสองคนสีหน้าแดงก่ำ ค่อยๆคลานขึ้นมา ก้มหน้าเดินเข้าหาถึงข้างโต๊ะที่หลินอิ่งกินข้าว

“พี่ ตอนนี้พี่ก็ขอโทษละกัน พี่ไม่ยอมรับผิดเอง จะให้หนูช่วยพูดขอร้องยังไง?”​ กงซุนชิวอวี่มองกงซุนสือ พูดอย่างเอือมระอา

ขณะนี้ ในใจของกงซุนสือสองคน อายจนอยากคลุมหัววิ่งออกไป อับอายขายหน้าจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว

จากนี้ไปไม่ต้องพูดถึงคนอื่น แม้แต่ต่อหน้าน้องสาวกงซุนชิวอวี่ พวกเขาสองคนก็ยกหัวไม่ขึ้นแล้ว

“ขอโทษ คุณชายอิ่ง ผมผิดไปแล้ว คำพูดที่ผมพูดเมื่อกี้มันไร้สาระทั้งนั้น เรื่องเข้าใจผิดทั้งหมด หวังว่าคนใหญ่โตอย่างท่านจะให้อภัย อย่าถือสาคนอย่างพวกเรา”

“ใช่แล้ว คุณชายอิ่ง ผมมีตาหามีแววไม่ ถึงได้ไปท้าทายท่าน ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ท่านก็เป็นลูกพี่ของผม ไปถึงไหน ผมก็ต้องก้มหัวให้ท่าน”

กงซุนสือและเจิ้งหยวนเป่าพูดจาประจบ โค้งตัวคำนับขอโทษไม่หยุด ทั้งสองคนหน้าบวมเหมือนหมู ยิ้มขึ้นมาน่าเกลียดกว่าร้องไห้อีก

หลินอิ่งไม่แสดงทัศนคติ ยกน้ำชาขึ้นดื่ม พูดอย่างเย็นชา “ครั้งหน้าให้ฉันได้ยินจากปากนายสองคนพูดถึงเรื่องฉันอีก ฉันจะตัดลิ้นของนายสองคน”

“อีกเรื่อง กงซุนสือ กลับไปบอกพ่อของนาย บอกกับเขาถ้ามาตี้จิงเมื่อไหร่ ให้ไปขอโทษด้วยตัวเองที่ตระกูลฉี เพราะอะไรในใจเขารู้ดี นี่เพราะฉันเห็นแก่หน้าของกงซุนฉงหลง ให้โอกาสเขาหนึ่งครั้ง”

หลังจากพูดประโยคนี้จบ หลินอิ่งก็พูดอย่างเรียบเฉย “ไสหัวไปได้”

“ครับ ของคุณ คุณชายอิ่งที่ให้โอกาส” กงซุนสือพยักหน้ารัวๆ หมุนตัวอย่างหวาดกลัว เดินขาเป๋ออกไปจากร้านอาหาร

“พี่ พี่กับลุงสองของหนูก็เคยมีเรื่องขัดใจกันเหรอ?”​ กงซุนชิวอวี่ถามด้วยสีหน้าสงสัย อดไม่ได้ที่จะกระซิบในใจ

“ไม่มีอะไร เรื่องนี้เธอไม่ต้องเป็นห่วง” หลินอิ่งพูดอย่างเรียบเฉย “ถึงแม้พี่จะลงมือกับตระกูลกงซุน ก็ไม่ทำอะไรพ่อและปู่ของเธอ”

ได้ยินประโยคนี้แล้ว กงซุนชิวอวี่ก็วางใจทันที พูดอย่างยิ้มแย้ม “พี่ หนูรู้แล้ว พี่ดีที่สุดเลย”

เงียบไปครู่หนึ่ง กงซุนชิวอวี่พูดอย่างจริงจัง “พี่ เรื่องใหญ่ที่หนูจะพูดกับพี่ ก็คือธุรกิจเกี่ยวกับเมืองเทียนหลง”

“ธุรกิจเมืองเทียนหลง?” หลินอิ่งมองกงซุนชิวอวี่อย่างสนใจ พูดว่า “ทำไม? ตระกูลกงซุนของเธอก็สนใจที่จะเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วย?”

“นั่นมันแน่นอน โครงการใหญ่โตแบบเมืองเทียนหลง ตระกูลกงซุนของเราจะไม่เข้าร่วมได้ยังไง” กงซุนชิวอวี่พูด “ปู่หนูให้ความสำคัญกับธุรกิจเมืองเทียนหลงเป็นอย่างมาก ให้หนูมาเจรจากับพี่ดีๆ”

“คุยอะไรกับพี่?” หลินอิ่งหัวเราะ พูดอย่างสนใจ “ธุรกิจใหญ่โตขนาดนี้ เธอคุยได้เหรอ?”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท