ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 531 ดึงพวก

บทที่ 531 ดึงพวก

“เฮ้อ” กงซุนชิวอวี่ทำเสียงอ้อน ท่าทางไม่พอใจ “พี่กำลังดูถูกหนูเหรอ?”

“ครั้งนี้หนูมาตี้จิง ได้รับคำสั่งจากคุณปู่ ให้รับผิดชอบธุรกิจทั้งหมดของตระกูลกงซุนในเมืองเทียนหลง หนูมีสิทธิ์ในการตัดสินใจ” กงซุนชิวอวี่ยืดอกพูด ท่าทางเชื่อมั่น

แน่นอน เธอรู้สึกภูมิใจมาก สามารถได้รับอำนาจใหญ่ขนาดนี้จากภายในตระกูลกงซุน รับผิดชอบธุรกิจเมืองเทียนหลงคนเดียว การเดิมพันความเกี่ยวพันในนี้มันใหญ่โตมาก

ไม่ว่าภายในหรือภายนอก ในมือกำผลประโยชน์ชิ้นใหญ่นี้ไว้ ต้องประสานงานกับหัวหน้าของแต่ละตระกูลใหญ่ ตำแหน่งฐานะของกงซุนชิวอวี่ ก็ต้องสูงขึ้นเหมือนดั่งน้ำสูงขึ้นเรือก็ย่อมสูงขึ้นตาม (หมายความว่าอำนาจตำแหน่งเขาจะยิ่งขึ้นไปตามการพัฒนาของตระกูล)

“ปู่ของเธอมอบธุรกิจเมืองเทียนหลงให้เธอมาจัดการ?” หลินอิ่งขมวดคิ้ว ถามอย่างสงสัย

จากการตัดสินใจของกงซุนฉงหลง รู้สึกได้ถึงรสชาติที่ทำให้คนสนใจ

“ใช่ พี่ พี่อย่าเห็นหนูเป็นแค่เด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ยังไงหนูก็เรียนจบปริญญาเอกจากโรงเรียนธุรกิจระดับโลกมานะ?” กงซุนชิวอวี่พูดอย่างภูมิใจ “คิดว่าหนูไม่รู้เรื่องอะไรเลยหรือไง? จะจัดการเรื่องในวงการธุรกิจพวกนี้ไม่ได้เหรอ?”

“ได้” หลินอิ่งรู้สึกสนใจ “พี่ก็อยากฟังดู นักเรียนปริญญาเอกคนนี้มีความเห็นยังไงกับเมืองเทียนหลง? ยินดีรับฟังอย่างตั้งใจ”

กงซุนชิวอวี่ขึงตาใส่หลินอิ่ง พูดว่า “พี่ หนูทำการบ้านมาแล้ว ตอนนี้ในตี้จิงต่างจับตาดูเมืองเทียนหลงอยู่ ห้าตระกูลใหญ่ชั้นหนึ่งกับพวกตระกูลชั้นหนึ่งหลายตระกูลก็เข้าร่วม พูดตามตรง จากความสามารถทางธุรกิจของแต่ละตระกูล ไม่ว่าใครมาบริหารเมืองเทียนหลงก็ไม่ใช่เรื่องยาก สิ่งที่สำคัญคือทรัพยากรและผลประโยชน์ควรแบ่งยังไง”

“อืม เราพูดได้ดี พูดต่อเลย” หลินอิ่งพูดอย่างยิ้มแย้ม ยื่นมือบอกกงซุนชิวอวี่ให้พูดต่อไป

เขาก็อยากฟังดู กงซุนชิวอวี่ยังมีความเห็นยังไง

กงซุนชิวอวี่ชะงักเล็กน้อย แล้วพูดต่อ “ในแวดวงธุรกิจตี้จิงมีกฎที่แอบซ่อนอยู่ ตลาดใหญ่อย่างเมืองเทียนหลงนี้ มีแค่สมาคมธุรกิจตี้จิงเท่านั้นที่ตัดสินได้ ตระกูลกงซุนเราก็มีที่นั่งในสมาคมธุรกิจเหมือนกัน”

“เพราะฉะนั้น สุดท้ายไม่ว่าใครได้กรรมสิทธิ์ของเมืองเทียนหลงไป ตระกูลกงซุนของเราแค่ไม่โลภ ไม่ว่ายังไงก็สามารถได้ส่วนแบ่งจากเมืองเทียนหลง” กงซุนชิวอวี่ค่อยๆพูดวิเคราะห์

“ความหมายของหนูก็คือ ดูเหมือนพี่จะสนใจเมืองเทียนหลงมาก ตระกูลกงซุนเรายินดีร่วมมือกับพี่ แต่ว่า พี่ยอมให้ส่วนแบ่งเท่าไหร่กับตระกูลกงซุนล่ะ?” กงซุนชิวอวี่พูดอย่างจริงจัง “นี่คือความหมายของปู่หนู ท่านยินดีร่วมงานกับพี่”

หลินอิ่งพยักหน้าเล็กน้อย กงซุนชิวอวี่พูดถูก

แน่นอน ผลกระทบของตระกูลกงซุนอยู่ตรงนั้น ขอแค่ได้ส่วนแบ่งจากเมืองเทียนหลงมา ไม่มีใครอยากไปท้าชนกับตระกูลกงซุน

แต่ว่า เป็นถึงตระกูลชั้นหนึ่งที่สูงสุดของตี้จิง เป็นไปได้ยังไงที่ตระกูลกงซุนจะไม่มีความทะเยอทะยานแม้แต่น้อย?

เรื่องที่คนทั้งโลกแย่งชิงกัน คุณไม่ไปแย่ง คุณจะอยู่เหนือคนอื่นได้อย่างไร?

เป็นไปไม่ได้ที่ตระกูลกงซุนจะไม่รู้เหตุผลนี้

ทุกวันนี้สถานการณ์ในตี้จิงวุ่นวาย สรุปแล้วก็คือ ตระกูลฉีกับตระกูลสวีเปิดศึก แข่งขันกันอย่างเผชิญหน้า

ตระกูลกงซุนเข้าร่วมการแย่งชิงเมืองเทียนหลง เว้นเสียแต่จะกล้าเสี่ยง จะปักธงสู้เอง

มิเช่นนั้น นี่ก็คือปัญหาง่ายๆของการเลือกฝั่งยืนเท่านั้น

เห็นได้ชัดว่า ตระกูลกงซุนเลือกยืนข้างตัวเอง

“ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของเมืองเทียนหลง หรือจะพูดว่าส่วนแบ่ง ส่วนตัวพี่แล้วไม่ได้ใส่ใจ” หลินอิ่งพูดอย่างเรียบเฉย “พี่ต้องการแค่อำนาจเด็ดขาดในการควบคุมเมืองเทียนหลงเท่านั้น”

“เพราะฉะนั้น ถ้าหากตระกูลกงซุนเลือกยืนฝั่งพี่ ส่วนแบ่งของตระกูลกงซุน และตระกูลฉี ตระกูลนิ่ง เท่าเทียมกัน” หลินอิ่งพูดอย่างหนักแน่น

ได้ยินแล้ว กงซุนชิวอวี่ครุ่นคิด คำนึงความหมายในคำพูดของหลินอิ่ง

เธอก็รู้ดี ตอนนี้ตระกูลฉีกับตระกูลสวีต่อสู้กันซึ่งๆหน้า ทุกคนต่างก็รู้กัน อำนาจตระกูลนิ่งก็อยู่ในกำมือของพี่ชาย

พี่ชายยอมให้ตระกูลกงซุนและตระกูลฉี ตระกูลนิ่งได้ผลประโยชน์เท่ากัน นี่ก็มีความจริงใจอย่างมากแล้ว

สำหรับที่พี่ชายพูดว่า เขาต้องการอำนาจเด็ดขาดในการควบคุมเมืองเทียนหลง

ความหมายชัดเจนมาก นี่ก็เหมือนกับผู้นำสังคมสมัยเก่าของตี้จิง บริษัทของแต่ละกิจการสาขาในตี้จิง ผู้นำต้องได้รับหุ้นส่วนสิบเปอร์เซ็นต์หรือไม่ก็ใส่ชื่อในบริษัท

ผู้นำ เงินไม่เอาได้ แต่ตำแหน่งอำนาจต้องชัดเจน ให้ทุกคนบนโลกรู้ ทุกสาขาอาชีพต้องฟังเขาเพียงผู้เดียว

“หนูเข้าใจความหมายของพี่แล้ว พี่ หนูจะเอากลับไปบอกคุณปู่เอง หนูว่าท่านต้องตอบรับแน่นอน” กงซุนชิวอวี่พูดอย่างจริงจัง

หลินอิ่งพยักหน้าเล็กน้อย พูดอย่างจริงจัง “ชิวอวี่ ความจริงพี่แนะนำให้เธออย่างยุ่งเกี่ยวเรื่องพวกนี้มากเกินไป”

“เธอเป็นคนฉลาด แต่ว่าทนรับวิธีกลอุบายในโลกนี้ไม่ได้”

“ในตี้จิง พี่จะดูแลความปลอดภัยของเธอได้ แต่ถ้าหากเป็นที่อื่น ธุรกิจใหญ่โตแบบนี้ ตระกูลกงซุนจะให้เธอออกหน้าไม่ได้”

กงซุนชิวอวี่พยักหน้า สีหน้ายิ้มแย้ม พูดว่า “หนูรู้แล้ว พี่ พี่ก็อย่าทำตัวเหมือนตาเฒ่า ชอบสั่งสอนคนอื่น”

“ที่พี่พูดมาหนูเข้าใจหมด ครั้งนี้เพราะพึ่งบารมีพี่ พี่ชายดีที่สุดเลย” กงซุนชิวอวี่พูดจาออดอ้อน “ถ้าให้คนอื่นมาเจรจา คาดว่าพี่คงไม่ได้คุยง่ายขนาดนี้มั้ง? ความจริง นี่เป็นความหมายขอปู่หนู เพราะว่าครั้งที่แล้วพี่กับลุงสองของหนูก็มีเรื่องไม่พอใจกัน”

“ได้แล้ว เรื่องของเมืองเทียนหลงเธอกลับไปพูดกับปู่ของเธอ ถ้าตกลงกันแล้ว เธอก็เที่ยวเล่นในตี้จิงไปก่อน ทางด้านคุณตา อีกสองวันพี่จะหาเวลาพาเธอไปที่จื่อหลงซาน” หลินอิ่งพูด

“ได้ค่ะ ขอบคุณพี่มาก” กงซุนชิวอวี่พูดอย่างเชื่อฟัง

คิดไปแล้ว หลินอิ่งก็มองไปที่นิ่งซวนที่อยู่ไม่ไกล ค่อยๆลุกขึ้น

“ชิวอวี่ ฉู่ฉู่ พวกคุณสองคนกินกันไปก่อน ผมยังมีธุระต้องจัดการ” หลินอิ่งทักทาย แล้วก็หันหน้าไปส่งสายตาให้นิ่งซวน

นิ่งซวนพยักหน้า เดินตามไป

ผ่านไปสักครู่

หลินอิ่งพานิ่งซวน เข้ามาถึงห้องรับรองห้องหนึ่งในร้านอาหาร

หลินอิ่งนั่งลงอย่างสง่า ยกกาน้ำชาขึ้น เทน้ำชาสองแก้วอย่างใจเย็น

“ประธานหลิน เอกสารของเมืองเทียนหลงที่ท่านให้ผมเตรียมเมื่อวาน เตรียมเรียบแล้วหมดแล้วครับ” นิ่งซวนพูดอย่างจริงจัง หยิบกล่องสีดำออกจากกระเป๋าเสื้อ วางไว้บนโต๊ะ

เขารู้ดี วันนี้ประธานหลินให้เขามาที่เมืองเทียนหลง นั่นเพราะมีเรื่องใหญ่ให้ต้องจัดการ

สงครามระหว่างประธานหลินกับตระกูลสวี ทำให้ทั่วเมืองตี้จิงพายุกระหน่ำ ผู้คนตื่นตกใจ

ทางด้านหยูจื๋อเฉิงได้ช่วยประธานหลินจัดการในส่วนของดินแดนแห่งความมืด จัดการเขตหัวหยางเรียบร้อยแล้ว

ส่วนเขา ช่วยประธานหลินควบคุมกิจการใหญ่โตของตระกูลนิ่ง เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ทำงาน

“นั่งลงมาคุยกัน” หลินอิ่งนั่งอยู่บนโซฟา พูดอย่างเรียบเฉย

นิ่งซวนนั่งลงอย่างเคารพ ยกแก้วน้ำชาขึ้นดื่ม

“นิ่งซวน หลายเรื่องที่ผมมอบหมายให้คุณไปทำ คุณทำได้ดีมาก” หลินอิ่งดื่มน้ำชาไปคำหนึ่ง ค่อยๆพูดขึ้น

“ครั้งนี้ ผมตั้งใจจะเอาเรื่องทุกอย่างของเมืองเทียนหลง มอบให้คุณเป็นคนจัดการ งานนี้ใหญ่มาก คุณกล้ารับไหม?”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท