ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 532 อาคารประมูลเลคอาร์ต

บทที่ 532 อาคารประมูลเลคอาร์ต

“ผู้อาวุโส คำสั่งของท่านทุกอย่าง ขอให้ท่านสั่ง ผมจะทำสุดความสามารถทุกอย่าง” นิ่งซวนไม่ลังเลแม้แต่น้อย ตอบอย่างจริงจัง

นิ่งซวนเอาชีวิตเดิมพันไว้บนตัวหลินอิ่งตั้งนานแล้ว สำหรับเขาแล้ว คำพูดของหลินอิ่ง สำคัญยิ่งกว่าคำพูดของพระเจ้าอีก

ต้องรู้ว่า ถ้าหากไม่ใช่หลินอิ่งเป็นคนค้ำชูเขา เขานิ่งซวนยังเป็นแค่ประธานบริษัทเล็กๆแห่งหนึ่งในมณฑลตงไห่เท่านั้น แต่ไม่ได้เหมือนกับตอนนี้ ที่เป็นถึงผู้มีอำนาจสูงส่งในตี้จิง

เห็นนิ่งซวนตอบรับอย่างไม่ลังเล หลินอิ่งพยักหน้า

ดูแล้ว หลังจากระยะเวลาที่นิ่งซวนควบคุมอำนาจในตระกูลนิ่งแล้ว ผ่านการฝึกฝนมา ได้มีบุคลิกในการเป็นผู้นำที่มีอำนาจแล้ว

“นิ่งซวน ผมแค่มีขอให้ทำสองเรื่องต่อคุณ ข้อที่หนึ่ง ทุ่มทุนทุกสิ่งทุกอย่างโดยไม่ต้องคำนึงถึงความเสียหาย ถีบตระกูลสวีและชีซิงกรุ๊ปออกไป ข้อที่สอง เอาส่วนแบ่งที่ใหญ่ที่สุดจากเมืองเทียนหลงแห่งนี้มาให้ได้” หลินอิ่งพูดอย่างใจเย็น

“ด้านเงินทุน ทางตระกูลนิ่งคุณหมุนเวียนได้เต็มที่ อีกอย่าง ผมจะให้ทีมงานธุรกิจประสานงานกับคุณ เงินทุนของตระกูลฉีก็มอบอำนาจให้คุณจัดการทั้งหมด” หลินอิ่งมองนิ่งซวนอย่างนิ่งเฉย พูดอย่างจริงจัง

เส้นทางเงินทุนของเขา ครั้งที่แล้วที่เมืองก่างระดมไปใช้มากเกินไป บวกกับทางด้านตี้จิงที่ต้องแข่งขันกับทุกกิจการของชีซิงกรุ๊ป หมุนเวียนได้ยาก จึงต้องหมุนเวียนมาจากเมืองก่างและตงไห่

ได้ยินแล้ว นิ่งซวนสีหน้าเคร่งเครียด อารมณ์ความรู้สึกตื่นเต้น พยักหน้าอย่างหนักแน่น

“ผู้อาวุโส ท่านวางใจ ผมจะจัดการทุกอย่างให้อย่างดี ไม่ให้ท่านผิดหวังที่เชื่อใจ” นิ่งซวนพยักงานจริงจัง

เมื่อได้ยินว่าหลินอิ่งมอบอำนาจทรัพย์สินทุกอย่างให้กับเขา ในใจนิ่งซวนก็รู้สึกตื่นเต้นมาก

ต้องรู้ว่า ทรัพย์สมบัติของประธานหลิน นั่นมันเป็นทรัพย์สินที่เทียบเคียงกับประเทศได้เลย ลำพังในตี้จิงก็มีตระกูลฉีกับตระกูลนิ่ง บวกกับประธานหลินยังมีอาณาจักรธุรกิจของหลินซื่อในเมืองก่าง

ทั้งหมดรวมกันแล้ว เงินสดหมุนเวียนนั้นไม่อาจคำนวณได้

หน้าที่อันใหญ่หลวงเช่นนี้ ประธานกลับเชื่อใจที่จะมอบหมายให้เขารับผิดชอบทั้งหมด

นิ่งซวนมีความรู้สึกซาบซึ้งปลาบปลื้ม บนโลกนี้ ไม่ได้มีกี่คนนักที่จะมีความเด็ดขาดอย่างประธานหลิน

“ได้ กลับไปแล้วคุณก็จัดคนของตระกูลนิ่งเข้ามาในเมืองเทียนหลงทันทีเลย ย้ายมาที่อาคารสำนักงานของเมืองเทียนหลง” หลินอิ่งพูด “เรื่องในด้านธุรกิจมอบหมายให้คุณทั้งหมด อีกไม่กี่วันสมาคมธุรกิจตี้จิงจะจัดการประชุมเมืองเทียนหลง ผมจะไปประชุมด้วยตัวเอง ถึงตอนนั้น คุณต้องจัดเตรียมให้ผมเรียบร้อยทุกอย่าง”

ระยะนี้ งานประชุมสุดเมืองเทียนหลงของสมาคมธุรกิจตี้จิง ก็คือเวลาสุดท้ายที่ทุกคนจะเอาสิ่งที่ตัวเองมีมาประลองกันแล้ว

ถึงเวลาประชุม ในมือก็ต้องมีแต้มพอเพียงที่จะเอาออกมาโชว์

“ผู้อาวุโส ท่านวางใจ ธุรกิจเมืองเทียนหลงจะไม่เกิดข้อผิดพลาดใดๆแน่นอน” นิ่งซวนพูดอย่างหนักแน่น

หลินอิ่งพยักหน้า สั่งงานเรียบร้อยแล้ว เขาก็ลุกเดินออกไป นิ่งซวนก็เดินตามไป

เดินออกจากห้องรับรอง ภายในร้านอาหาร กงซุนชิวอวี่กับฉู่ฉู่ผู้หญิงสองคนคุยกันอย่างสนุก พูดไปหัวเราะไป เหมือนคุยกันถูกคอ

“พี่ พี่คุยธุระเสร็จแล้วเหรอ?” กงซุนชิวอวี่มองไปที่หลินอิ่ง ถามอย่างยิ้มแย้ม

หลินอิ่งพยักหน้า เอียงหน้าไปส่งสายตาให้นิ่งซวน นิ่งซวนโบกมือเรียกบอดี้การ์ดตระกูลนิ่งทั้งทีม เดินออกจากร้านอาหาร ไปทำงานสำคัญแล้ว

“คุณหลิน เมื่อกี้ฉันฟังชิวอวี่บอกว่า ในเมืองเทียนหลงมีงานประมูลแวดวงไฮโซที่น่าสนุก ฉันว่าจะไปดูกับชิวอวี่หน่อย คุณมีเวลาไปด้วยกันไหม?” ฉู่ฉู่ถามด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

“งานประมูลแวดวงไฮโซ?” หลินอิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย มองไปที่กงซุนชิวอวี่ ไม่รู้ว่านางเด็กนี่คิดจะทำอะไรอีก

กงซุนชิวอวี่ยิ้มเล็กน้อย พูดว่า “พี่ เป็นงานประมูลแวดวงไฮโซที่จัดในอาคารประมูลเลคอาร์ตใกล้ๆนี้ ถือว่าเป็นงานเลี้ยงเพื่อการกุศล มีเหล่าไฮโซในตี้จิงมากมายเข้าร่วมงาน เมื่อกี้เพื่อนสนิทของหนูคนหนึ่งส่งคำเชิญมา”

“พี่ งานประมูลนี้จัดขึ้นในเมืองเทียนหลง ทุกคนต่างก็ทำการกุศล ก็เพื่อเอาเงินสร้างชื่อเสียงที่ดี” กงซุนชิวอวี่พูดอย่างจริงจัง “สร้างชื่อเสียงที่ดี บริจาคให้กับองค์กรการกุศลในเมืองเทียนหลง มันจะเป็นตัวช่วยที่ดีสำหรับการทำธุรกิจในเมืองเทียนหลงในอนาคตนะ”

“อีกอย่าง หนูได้ยินว่าคนของชีซิงกรุ๊ป ช่วงนี้ซื้อใจคนในเมืองเทียนหลงตลอดเลย เข้าร่วมงานการกุศลต่างๆนานา ใช้เงินไปไม่น้อย ชื่อเสียงพื้นฐานค่อนข้างดี” กงซุนชิวอวี่ตั้งใจบอกข่าวนี้

หลินอิ่งสนใจ พูดว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ไปสักรอบ ทำการกุศลตอบแทนสังคมก็เป็นเรื่องที่ดี”

คำพูดของกงซุนชิวอวี่ก็ถือว่าทำให้หลินอิ่งตื่น

ในตี้จิง ชื่อเสียงของคุณชายอิ่ง ล้วนทำให้ผู้คนที่ได้ยินสะพรึงกลัว

ทำธุรกิจ ลำพังแค่ความน่าเกรงขาม ทำให้คนหวาดกลัว นั่นมันก็ไม่ได้

มีเวลาว่างพอดี ก็ไปเดินดูในงานเลี้ยงการกุศลสักหน่อย

“ได้เลย”

กงซุนชิวอวี่พูดอย่างพอใจ กอดแขนฉู่ฉู่เดินออกจากร้านอาหาร

…….

ยี่สิบนาทีผ่านไป

ฮาเดสขับรถมาถึงหน้าอาคารที่ตกแต่งในแบบโบราณ

หลังลงจากรถ หลินอิ่งก็เดินนำเข้าไปในอาคาร ฮาเดสเดินตามอย่างเคารพ กงซุนชิวอวี่และผู้หญิงสองคนเดินตามกันเคียงข้างกัน

หลินอิ่งมองกงซุนชิวอวี่อย่างสนใจ

เขาพบว่า เด็กคนรู้เข้าหาคนเก่งจริงๆ เวลาไม่นานก็ตีสนิทกับฉู่ฉู่แล้ว

นี่อาจจะเป็นเพราะว่าผู้หญิงด้วยกันมีเรื่องให้พูดมากมายกระมัง

“ทุกท่าน ในอาคารของเรามีการจัดงานเลี้ยง กรุณาแสดงบัตรเชิญของพวกท่านด้วย”

เมื่อหลินอิ่งเดินไปถึงหน้าประตู ก็มีพนักงานต้อนรับหญิงเสื้อสูทสองคน ขวางพวกเขาไว้ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“ออ? ต้องมีบัตรเชิญด้วยเหรอ? เอาอย่างนี้ พวกคุณรอก่อน ฉันโทรเรียกเพื่อนของฉันมา” กงซุนชิวอวี่ลังเลอยู่สักพัก พูดกับพนักงานต้อนรับอย่างจริงจัง

พูดไปด้วย กงซุนชิวอวี่ก็กดเบอร์โทรออก

“พี่ ขอโทษด้วย พวกเราคงต้องรอที่นี่สักพัก เพื่อนของหนูไม่รับโทรศัพท์ ไม่รู้ว่าเพราะอะไร งานเลี้ยงการกุศลครั้งนี้ตระกูลเขาเป็นคนจัดขึ้นมา” กงซุนชิวอวี่พูดด้วยสีหน้าขอโทษ

“ไม่รู้ว่าเธอทำอะไรอยู่ ในมือหนูมีบัตรเชิญแค่ใบเดียว ต้องรอเธอออกมา พี่รอสักสองนาทีนะ” กงซุนชิวอวี่พูดอย่างระมัดระวัง

หลินอิ่งพยักหน้าเล็กน้อย “รอสองนาทีไม่เป็นไร”

ตุ๊ดตุ๊ดตุ๊ด

เวลาเดียวกัน รถLamborghiniคันหนึ่งขับเข้ามาจอดหน้าประตู บอดี้การ์ดชุดสูทเปิดประตูรถ ชายหนุ่มสวมแว่นกันแดดคนหนึ่งเดินลงมา ใส่เสื้อเชิ้ตลวดลายฉูดฉาด เดินเข้ามาอย่างมั่นใจ

“คุณชายสวุ่ มาแล้วเหรอคะ?”

“คุณชายสวุ่ คุณเป็นแขกคนสำคัญของงานเลี้ยงวันนี้เลย เชิญทางนี้ค่ะ”

พอชายหนุ่มลงจากรถ พนักงานหญิงสองคนก็รีบเดินเข้ามาต้อนรับอย่างยิ้มแย้ม

“เชิญด้านใน? พวกคุณทำงานกันยังไง? งานสำคัญแบบนี้ ยังให้คนยืนขวางอยู่ที่หน้าประตู? ทำงานกันยังไง? มองแล้วก็ขวางหูขวางตา” ชายหนุ่มพูดอย่างรำคาญ จ้องหลินอิ่งด้วยสายตาไม่พอใจ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท