ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 535 ผู้ชายอย่างคุณมันน่าขยะแขยง

บทที่ 535 ผู้ชายอย่างคุณมันน่าขยะแขยง

“เหอะ” หลินอิ่งหัวเราะอย่างเย็นชา ส่ายหน้า

คำพูดและทัศนคติของจ้าวหลันเอ๋อร์ชัดเจนมาก เธอดูถูกเขา

“ผมไปมาหาสู่กับกงซุนชิวอวี่ เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับคุณ?” หลินอิ่งพูดอย่างเรียบเฉย “แล้วคุณเอาความมั่นใจขนาดนี้มาจากไหน?”

อาจจะเป็นนิสัยของคนแบบเดียวกับจ้าวหลันเอ๋อร์ ชอบทำตัวหยิ่งยโสสูงส่งกว่าคนอื่น มองข้ามคนอื่น

แต่ไม่รู้ว่า ถูกบดบังสายตาไปตั้งนานแล้ว

ได้ยินแล้ว ข้าวหลันเอ๋อร์ยักคิ้ว มองหลินอิ่งอย่างเย็นชา

เธอไม่เข้าใจ “คุณหลิน” ที่อายุน้อยคนนี้ คนที่เกาะเพื่อนของเธอกงซุนชิวอวี่กินคนหนึ่ง แมงดาที่ไม่มีแม้แต่บัตรเชิญ เอาความมั่นใจจากไหนมาถามเธอ?

แมงดาแบบนี้ เธออยู่ในแวดวงสังคมตี้จิงเจอมาเยอะแล้ว

เวลาแบบนี้ นายแซ่หลินคนนี้ควรที่จะขอโทษอย่างถ่อมตัว

“ฉันรู้สึกว่าผู้ชายอย่างคุณนี่มันไร้ยารักษาแล้ว ทำให้คนรู้สึกขยะแขยง” จ้าวหลันเอ๋อร์พูดอย่างยโสโอหัง “พึ่งผู้หญิงอยู่ในสังคมแบบนี้ ทำไมคุณถึงยังมั่นใจได้ขนาดนี้? แมงดาฐานะอย่างคุณแบบนี้ ถ้าหากไม่ใช่ชิวอวี่ คุณไม่มีแม้แต่สิทธิ์ที่จะพูดกับฉัน”

“เห็นแก่หน้าชิวอวี่ ฉันก็ขี้เกียจถือสาคนอย่างคุณ” จ้าวหลันเอ๋อร์ใช้น้ำเสียงสั่งสอนพูด “คนที่คุณทำร้ายเขาวันนี้ เป็นถึงคุณชายตระกูลสวุ่ คุณคิดดูนะ ถ้าไม่ใช่เพราะชิวอวี่คุ้มหัวคุณไว้ คุณจะมีจุดจบแย่ขนาดไหน?”

“พฤติกรรมวันนี้ของคุณก็คือสร้างปัญหาให้ชิวอวี่ ทำให้เธอขายหน้า เพราะฉะนั้น ฉันไม่หวังว่าต่อจากนี้ยังเห็นคุณอยู่ข้างชิวอวี่อีก”

หลินอิ่งจีบไวน์คำหนึ่ง เขย่าแก้วไปมาช้าๆ มุมปากยิ้มขึ้นอย่างเย็นชา

เขาเข้าใจแล้ว จ้าวหลันเอ๋อร์คนนี้รู้สึกว่าเขาทำให้เธอขายหน้า

เธอกับสวุ่หมิงยังไงก็พอมีความสัมพันธ์กัน คิดว่าเขามาทำให้เธอเสียหน้า?

“ผมไม่เห็นด้วยกับคำพูดคุณ” หลินอิ่งมองจ้าวหลันเอ๋อร์ พูดอย่างใจเย็น “แต่มีอยู่ประโยคหนึ่งคุณพูดถูก ถ้าไม่ใช่เพราะว่าชิวอวี่ คุณไม่มีสิทธิ์ได้พูดกับผม”

“เหอะเหอะเหอะ” จ้าวหลินเอ๋อร์หัวเราะอย่างเย็นชา ดูเหมือนไม่ได้ตั้งใจฟังคำพูดของหลินอิ่งอย่างตั้งใจ ท่าทางหลงตัวเอง

“ฉันพูดมาเยอะขนาดนี้ เพื่อจะเตือนคุณ อย่าให้ถึงเวลาเกิดปัญหาขึ้น คุณจะเสียใจที่ได้ได้ฟังคำห้ามปรามของฉัน” จ้าวหลันเอ๋อร์พูดและหัวเราะเย็นชา “ในเมื่อคุณก็รู้ว่าตัวเองอาศัยความสัมพันธ์ของชิวอวี่ ทางที่ดีก็ดูฐานะของตัวเองหน่อย ในดินแดนตี้จิงแห่งนี้ ไม่ใช่สถานที่คุณจะมาโอหังได้”

หลินอิ่งยิ้มแต่ไม่พูด ไม่ได้สนใจเธออีก ดื่มไวน์แดงในแก้วจนหมด

“หลันหลัน พวกเธอคุยอะไรกันอยู่?”

เวลาเดียวกัน กงซุนชิวอวี่ยกแก้วค็อกเทลเดินมา ของหวานหลายอย่างที่ดูประณีต พาฉู่ฉู่เดินมาพร้อมกัน

เธอมองหลินอิ่งและจ้าวหลันเอ๋อร์ด้วยสายตาค่อนข้างสงสัย

“ไม่ได้คุยอะไร” จ้าวหลันเอ๋อร์พูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “เพียงแค่เห็นว่าคุณหลินไม่ค่อยเคยชินกับสถานที่แบบนี้ ก็เลยแนะนำให้เขา”

“ออ ออ” กงซุนชิวอวี่พูด “นี่คือค็อกเทลหลายแบบที่บาร์เทนเดอร์ชื่อดังจากฝรั่งเศสทำ ทุกคนมาชิมดู”

พูดไป กงซุนชิวอวี่ก็วางถาดลง ยกแก้วหนึ่งขึ้นมาค่อยๆลิ้มรส

หลินอิ่งก็ยกเหล้าขึ้นมาชิมอย่างเรียบเฉย

“ชิวอวี่ ได้ยินว่า ครั้งนี้เธอมาตี้จิง เพราะเป็นตัวแทนของตระกูลกงซุนมาจัดการธุรกิจในเมืองเทียนหลงเหรอ?” จ้าวหลันเอ๋อร์เปิดปากถาม

“ใช่” กงซุนชิวอวี่พูดอย่างดีใจ รู้สึกภูมิใจมาก

เพราะว่า ในคนรุ่นสามของตระกูลผู้ดีในตี้จิง สามารถดูแลธุรกิจใหญ่โตขนาดนี้ได้ นั่นก็พอเพียงที่จะภูมิใจได้

ต้องรู้ว่า ผู้มีอำนาจรุ่นที่สองมากมาย ยังไม่ได้รับสิทธิ์สูงขนาดนี้

“ต้องขอแสดงความยินดีด้วย ชิวอวี่ ครั้งนี้เธอก็ถือว่ามีผลงานในแวดวงแล้ว ได้รับความเชื่อถือจากตระกูลขนาดนี้ มา ชิวอวี่ ฉันดื่มให้เธอ” จ้าวหลันเอ๋อร์สีหน้ายิ้มแย้ม พูดจาชื่นชม

“หลันหลันเธอเกรงใจเกินไปแล้ว ฉันสามารถได้อำนาจในธุรกิจเมืองเทียนหลงของตระกูลได้ นั่นมันมีสาเหตุ” กงซุนชิวอวี่พูดอย่างถ่อมตัว ดื่มเหล้ากลับไปหนึ่งแก้ว

“ชิวอวี่เธอถ่อมตัวเกินไปแล้ว” จ้าวหลันเอ๋อร์พูดอย่างยิ้มแย้ม “ชิวอวี่ เธอมีสิทธิ์ในการพูดที่เมืองเทียนหลงขนาดนี้ ฉันก็ต้องอาศัยบารมีของเธอ”

“เธอก็รู้ ตระกูลจ้าวของเราก็ให้ความสนใจในเมืองเทียนหลง ฉันไม่ได้คาดหวังว่าจะสามารถพูดอะไรได้ในด้านนี้ แต่ว่าตั้งใจจะเอาตลาดของสะสมในเมืองเทียนหลง ตลาดวัตถุโบราณ เธอก็รู้ บริษัทการประมูลในชื่อของฉันกำลังทำการขยายโครงสร้าง เพราะฉะนั้น อยากถามหนทางกับเธอหน่อย” จ้าวหลันเอ๋อร์พูดอย่างเปิดเผย

“อันนี้……” กงซุนชิวอวี่ขมวดคิ้ว หันไปมองหลินอิ่ง ไม่กล้าแสดงความคิดเห็นเอง

ก่อนหน้านี้เธอพูดกับพี่ชายเรียบร้อยแล้ว รายงานกับนายท่านตระกูลเรียบร้อยแล้ว ได้รับคำตอบเรียบร้อยแล้ว อำนาจการตัดสินในเมืองเทียนหลงของตระกูลกงซุน ยกให้อยู่ในมือของหลินอิ่ง

เห็นได้ชัดว่าจ้าวหลันเอ๋อร์อย่างหาหนทางในเมืองเทียนหลง ตลาดวัตถุโบราณขนาดใหญ่ ธุรกิจนี้บอกใหญ่ไม่ใหญ่ จะว่าเล็กก็ไม่เล็ก

ถ้าเป็นเวลาปกติ จากความสัมพันธ์ของกงซุนชิวอวี่และจ้าวหลันเอ๋อร์ ไม่ต้องลังเลก็พยักหน้าตกลงได้แล้ว

แต่เพราะว่าเกี่ยวข้องกับเรื่องของพี่ชาย เธอไม่กล้าล้ำเส้น

“ไม่ใช่มั้ง ชิวอวี่ เรื่องเล็กแค่นี้ยังต้องลังเลอีก” จ้าวหลันเอ๋อร์พูดอย่างไม่พอใจ “หรือว่าเธอยังไม่เชื่อมั่นในทรัพย์สินและความสามารถของฉันเหรอ? ขอแค่เธอปล่อยที่ดินในเมืองเทียนหลงออกมาแปลงหนึ่ง ให้ฉันบริหารตลาดการค้าสายหนึ่ง ทุกคนต่างก็ได้ผลกำไร”

“หรือว่า ชิวอวี่ เธอได้อำนาจแล้ว ก็…….” จ้าวหลันเอ๋อร์บ่นไป ทำท่าทางน่าสงสาร

“หลันหลัน เธอคิดอะไรของเธอ? ธุรกิจแค่นี้ ฉันจะไปตั้งใจขวางเธอเหรอ? เป็นเพราะมีสาเหตุ ฉันก็ไม่สะดวกที่จะบอกเธอตอนนี้” กงซุนชิวอวี่พูดด้วยสีหน้าลำบากใจ

“ก็ได้ ก็ได้ ฉันล้อเล่น ชิวอวี่ ฉันรู้ว่าเธอดีกับฉันอยู่แล้ว” จ้าวหลันเอ๋อร์พูดอย่างยิ้มแย้ม “เอาอย่างนี้ ชิวอวี่ วันนี้ฉันให้เธอมา ก็อยากช่วยเหลือเธอหน่อย ช่วยเธอปูหนทางในเมืองเทียนหลง”

“งานการกุศลในคืนนี้ จัดโดยตระกูลจ้าวของเรา ตอนแรกตัวแทนของผู้อาศัยในเมืองเทียนหลง แล้วก็ตัวแทนร้านค้า ตัวแทนผู้พัฒนาการค้า แล้วก็นักลงทุนทั้งหลายต่างมาในงาน” จ้าวหลันเอ๋อร์ให้คำแนะนำ พูดอย่างช้าๆ “เธอออกเงินจัดตั้งมูลนิธิ เอามาสร้างอุปกรณ์สาธารณะในเมืองเทียนหลง ให้สวัสดิการสาธารณะที่ดีขึ้นสำหรับนักลงทุนและผู้อยู่อาศัย ถ้าอย่างนั้น ไม่เพียงแค่ชื่อเสียงดีขึ้น ยังจะได้สิทธิ์ในการพัฒนาเมืองเทียนหลงได้ง่ายขึ้น”

“ออ?” กงซุนชิวอวี่สายตาเต็มไปด้วยความสนใจ “ถ้าอย่างนั้นก็ดีเลย เรื่องดีแบบนี้ หลันหลัน ฉันต้องขอบคุณเธอด้วย”

“ไม่ต้องเกรงใจ” จ้าวหลันเอ๋อร์พูดอย่างยิ้มแย้ม “ถ้าอย่างนั้น ชิวอวี่ พวกเราไปกันเถอะ งานประมูลการกุศลจะเริ่มขึ้นแล้ว”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท