ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 536 ตัวแทนชีซิงกรุ๊ป

บทที่ 536 ตัวแทนชีซิงกรุ๊ป

พูดไป จ้าวหลันเอ๋อร์ลุกขึ้น กงซุนชิวอวี่และหลินอิ่งทั้งสองคน ก็ค่อยๆเดินเข้าไปกลางงานเลี้ยง

จ้าวหลันเอ๋อร์เดินอยู่ข้างหน้า ใบหน้ายังคงรักษารอยยิ้มอย่างมีมารยาท ใส่ชุดราตรีสีดำ บวกกับหน้าตาอันสวยงาม ทำให้คนที่เดินไปมาอดที่จะหันกลับมามองไม่ได้ กลายเป็นจุดเด่นของงานทันที

แต่ว่า กงซุนชิวอวี่และฉู่ฉู่ที่ยืนข้างกายจ้าวหลินเอ๋อร์ ความงามและบุคลิกทุกด้านก็ไม่ได้แพ้แม้แต่น้อย

ส่วนหลินอิ่งผู้ชายคนเดียวที่ยืนอยู่ตรงกลาง ดูโดดเด่นเป็นพิเศษ ดึงดูดสายตาที่อิจฉาของผู้คน

ทำให้คนมากมายในงานต่างก็พากันซุบซิบนินทา พูดถึงฐานะความเป็นมาของกงซุนชิวอวี่และฉู่ฉู่

แน่นอน คนส่วนมากก็รู้สึกสงสัยในตัวหลินอิ่ง

หลินอิ่งที่หน้าตาอายุน้อยขนาดนี้ มีสาวงามระดับประเทศสามคนอยู่ข้างกาย ยืนอยู่กลางงาน ช่างทำให้คนรู้สึกอิจฉาและแปลกใจ

ในความทรงจำของพวกเขา ไม่มีคนรู้จักหลินอิ่ง

ไม่ว่าพูดคุยกันยังไง ก็ไม่มีคนรู้ นี่มันคุณชายของตระกูลไหนกันแน่?

ในขณะที่ทุกคนในงานยิ่งรู้สึกสงสัย สายตาต่างก็สังเกตอยู่บนตัวหลินอิ่ง

จ้าวหลันเอ๋อร์สังเกตเห็นสถานการณ์นี้แล้ว เหล่มองหลินอิ่ง ยิ้มอย่างรู้สึกสนุก สายตาเหยียดหยาม

ไม่นาน จากการนำของจ้าวหลันเอ๋อร์ ทั้งสี่คนก็เข้าไปนั่งในที่นั่งVIP มองสถานการณ์บนเวทีของงาน

บนเวที พิธีกรชายหนึ่งหญิงหนึ่งในชุดสูท กำลังอธิบายขั้นตอนในการประมูลวัตถุโบราณล้ำค่าแต่ละชิ้น

วัตถุโบราณเหล่านี้ล้วนมาจากบริษัทที่อยากจะเข้ามาอยู่ในเมืองเทียนหลง บริจาคของสะสมล้ำค่าต่างๆนานา เงินที่ได้จากการประมูล บริจาคให้มูลนิธิการกุศลศูนย์การค้าเลขที่18ในเมืองเทียนหลง นำมาสร้างอุปกรณ์สวัสดิการต่างๆ สวนสาธารณะหรือโรงเรียนพวกนี้

หลินอิ่งไม่ได้สนใจวัตถุโบราณพวกนี้ ไม่ได้อยากออกราคาประมูล ก็ยกน้ำชาขึ้นดื่ม ลิ้มรสอย่างใจเย็น

สำหรับการทำงานกุศล

เงินแค่นี้ ก็ไม่เข้ากับฐานะของเขา

ผ่านไปแบบนี้หลายนาที วัตถุโบราณของสะสมแต่ละชิ้นถูกประมูลออกไปเรื่อยๆ

จ้าวหลันเอ๋อร์นั่งอยู่ข้างหลินอิ่ง มองหลินอิ่งและหัวเราะเย็นชา

“คุณทำไมดูอย่างเดียวล่ะ? มาออกงานกับหลินอิ่ง แม้แต่เรื่องให้หน้าตาในสังคมแบบนี้ก็ทำไม่เป็นเหรอ?” จ้าวหลันเอ๋อร์ท่าทางสูงส่ง พูดจาสั่งสอน “ไม่ว่ามีเงินหรือไม่มีเงิน ยังไงก็ประมูลสักกี่ชิ้นก็ยังดี ไม่ว่ายังไง ชิวอวี่ก็ไม่ให้คุณจ่ายเงินอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?”

“เหอะ” หลินอิ่งส่ายหน้า ไม่สนใจ

กับผู้หญิงที่จิตใจคับแคบแบบนี้ เขาขี้เกียจไปพูดอะไร

“เห้อ” จ้าวหลันเอ๋อร์ทำเสียงเย็นชา สายตาดูถูก

จากนั้น เธอก็ประมูลเครื่องประดับหยกราคาหลักล้านมาหลายชิ้น

“ชิวอวี่ ฉันเลือกกำไลหยกมาสองชิ้น เธอเอาไปเถอะ เธอไม่ใส่เอง ก็เอาไปให้น้องหรือเพื่อนก็ได้” จ้าวหลันเอ๋อร์พูดอย่างใจดี

“แล้วก็คุณฉู่ คุณเป็นเพื่อนชิวอวี่ เจอกันครั้งแรก นี่คือของขวัญการพบกันครั้งแรกจากฉัน หวังว่าคุณจะรับไว้” จ้าวหลันเอ๋อร์มองไปที่ฉู่ฉู่ พูดอย่างยิ้มแย้ม

“หา? นี่? ไม่ค่อยดีมั้งคะ” ฉู่ฉู่รู้สึกทำตัวไม่ถูก คิดไม่ถึงว่าจ้าวหลันเอ๋อร์เจอกันครั้งแรก ก็มอบกำไลหยกราคาหลักล้านให้

“ไม่เป็นไร ทุกคนต่างก็เป็นเพื่อนกัน ไม่รับก็ถือว่าไม่ให้เกียรติฉันนะ” จ้าวหลันเอ๋อร์พูดอย่างยิ้มแย้ม เพราะตั้งใจหวังผลประโยชน์

เพราะว่า ฉู่ฉู่ถึงจะไม่สนิทกับเธอ แต่ยังไงก็เป็นเพื่อนที่กงซุนชิวอวี่พาออกมา

ด้วยฐานะขอกงซุนชิวอวี่ ของเล็กน้อยแค่นี้ไม่ได้เกิดผลประโยชน์อะไร แต่มอบให้เพื่อนของชิวอวี่ ก็ต้องทำให้ชิวอวี่รู้สึกมีหน้ามีตาเป็นธรรมดา

สรุปก็คือ ครั้งนี้เธอมีเรื่องจะขอร้องชิวอวี่ เงินแค่นี้สามารถเกิดผลที่ดีได้ นั่นก็ถือว่ากำไรแล้ว

ฉู่ฉู่รู้สึกทำตัวไม่ถูก สายตาตั้งคำถาม หันไปมองหลินอิ่ง

“ฉู่ฉู่ คุณอยากรับก็รับไว้เลย แล้วแต่ความหมายของคุณ” หลินอิ่งพูดเสียงเรียบ ไม่ได้ใส่ใจเรื่องเล็กแค่นี้

พูดตามตรง ไม่ว่าจะเป็นเขา หรือฉู่ฉู่ ของขวัญแค่นี้ มันไม่ได้มีความหมายอะไรเลย

แน่นอน ยื่นมือตบหน้าคนยิ้มไม่ได้ จ้าวหลันเอ๋อร์จะให้ของขวัญการพบหน้ากับฉู่ฉู่ ตัวเขาเองก็ไม่มีอะไรจะพูด แล้วแต่พวกเธอ

เห็นท่าทางของฉู่ฉู่และหลินอิ่งแล้ว จ้าวหลันเอ๋อร์ก็แสดงสีหน้าดูถูก ในใจยิ่งรู้สึกเหยียดหยาม

เห็นได้ชัดว่าเป็นแค่แมงดาที่ชอบเอาเปรียบผู้หญิง ยังแสดงท่าทางอีก

เธอแค่เอาของขวัญราคาหลักล้านชิ้นเดียว ก็ทำให้หลินอิ่งสองคนนี้ทำตัวไม่ถูกแล้ว ไม่เคยเข้าสังคมจริงๆ

“ขอโทษด้วย คุณจ้าว ฉันรับไว้ไม่ได้ ปกติฉันก็ไม่มีนิสัยชอบใส่เครื่องประดับ” ฉู่ฉู่ปฏิเสธอย่างอ้อมค้อม

ระเบียบวินัยของตระกูลฉู่เคร่งครัด หญิงสาวไม่ได้แต่งงานห้ามใส่เครื่องประดับต่างๆนานา

ต้องรอถึงเวลาที่หญิงสาวในตระกูลฉู่จะแต่งงาน ตระกูลฉู่มีเครื่องประดับอัญมณีหายากหลายชุด

เป็นถึงตระกูลราชาแห่งยา รากฐานมรดกแน่นหนา เครื่องประดับอัญมณีทั่วไปไม่ได้เข้าตาคนตระกูลฉู่เลย

จ้าวหลันเอ๋อร์หัวเราะ พูดว่า “ก็ได้”

“คุณหลิน ท่านนี้คือแฟนคุณใช่ไหม? แฟนสาวสวยขนาดนี้ คุณไม่ได้ซื้อเครื่องประดับระดับดีสักชิ้น ไม่สมควรจริงๆ” จ้าวหลันเอ๋อร์พูดจาเสียดสี

ฉู่ฉู่หน้าแดงขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้

หลินอิ่งหัวเราะ พูดอย่างเรียบเฉย “มันไม่เกี่ยวกับคุณ”

จ้าวหลันเอ๋อร์หัวเราะเย็นชา สีหน้ายโส

เวลานี้ บนเวลาเปลี่ยนพิธีกรกะทันหัน

มีชายวัยกลางคนในชุดสูทสีน้ำเงิน สีหน้าเคร่งขรึมหลายคน เดินเข้ามาในงาน ดึงดูดความสนใจของผู้คน

ชายวัยกลางคนหลายคนนี้ มีตราของชีซิงอย่างโดดเด่นบนเสื้อสูท

เห็นได้ชัดว่า นี่คือตัวแทนผู้บริหารระดับสูงของชีซิงกรุ๊ปแห่งเกาหลี

“ว้าว นี่ นี่เป็นกลุ่มผู้บริหารของชีซิงกรุ๊ปใช่ไหม? มาร่วมงานในครั้งนี้เหรอ?”

“ดูแล้วชีซิงกรุ๊ปก็จะเข้าร่วมเรื่องในเมืองเทียนหลงด้วย ฉันได้ยินว่า ประธานเผียวของชีซิงกรุ๊ปมาที่ตี้จิงด้วยตัวเอง ยังจัดตั้งสำนักงานใหญ่ประเทศหลุงในตี้จิงด้วย”

“เรื่องนี้ฉันก็ได้ยินแล้ว ได้ข่าวว่าเป็นเพราะครั้งนั้นคุณชายอิ่งแห่งตี้จิงทำให้ลูกชายสองคนของประธานเผียวพิการ ครั้งนี้ตระกูลสวีและตระกูลฉีเปิดสงครามไม่ใช่เหรอ? ชีซิงกรุ๊ปสนับสนุนตระกูลสวีอย่างเต็มที่”​

เมื่อชายวัยกลางคนหน้าตาเคร่งขรึมหลายคนเข้ามาในงาน ภายในงานก็พากันสนทนา พูดถึงข่าวต่างๆนานา

หลินอิ่งวางแก้วน้ำชาลง สายตาเย็นชามองไปที่คนเกาหลีที่เข้ามาในงาน

“ทุกคนต้อนรับ ประธานบริหารชีซิงกรุ๊ป คุณเผียวเจียงลี่นำทีมธุรกิจมาร่วมงาน”

พิธีกรบนเวทีแนะนำอย่างเป็นทางการ

ทันใดนั้น ภายในงานก็มีเสียงปรบมือดังกึกก้อง

ดูเหมือน เท่าที่ทุคนดูแล้ว นี่ก็เป็นเหมือนเทพแห่งการเงินองค์หนึ่งเข้ามา

เผียวเจียงลี่ น้องชายของประธานชีซิงกรุ๊ปเผียวจินฮุน ผู้มีอำนาจคนหนึ่งของธุรกิจตระกูลเผียวแห่งเกาหลี ฐานะสูงส่ง

“เคกเคก ขอบคุณการต้อนรับของทุกท่าน” เผียวเจียงลี่เดินขึ้นไปบนเวที พูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ครั้งนี้ ผมมาที่นี่ เพื่อประกาศนโยบายของบริษัทเราอย่างหนึ่ง ยินดีให้ทุกท่านมาทำความเข้าใจ สนับสนุนชีซิงกรุ๊ปของเราในการพัฒนาเมืองเทียนหลง”

“แน่นอน ก่อนทุกอย่าง ผมมีข่าวดีจะแจ้งให้ทุกท่านทราบ ชีซิงกรุ๊ปของเรา จะจัดตั้งมูลนิธิการกุศลชีซิงที่เมืองเทียนหลง ลงทุนสองพันล้าน ใช้สำหรับกิจการการกุศลโดยเฉพาะ”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท