ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 539 สิทธิ์ที่ผมคือหลินอิ่งพอไหม?

บทที่ 539 สิทธิ์ที่ผมคือหลินอิ่งพอไหม?

“ฮาฮาฮา น่าสนใจจริงๆ” จ้าวหงหยังส่ายหน้าหัวเราะเสียงดัง มองว่าหลินอิ่งขี้โม้อวดดี

ตลกสิ้นดี เด็กหนุ่มที่คนทั้งงานไม่มีคนรู้จัก ท่าทางขนยังขึ้นไม่เต็มเลย ดูเหมือนยังเป็นแค่คนธรรมดาที่เข้ามาในงานกับเพื่อนของหลานสาวตัวเอง

แต่กลับ กล้ามาท้าทายกับเขา ยังประกาศจะเจาะจงกับชีซิงกรุ๊ป จะแข่งเงินทุนกับชีซิงกรุ๊ป?

เรื่องตลกที่สุดในโลกจริงๆ

“แกไม่ได้พูดไม่รู้จักคิด? หรือว่าแกจะมีความสามารถนี้จริง? ไม่รู้จักดูสภาพโง่เขลาของตัวเองหน่อย คิดว่าตัวเองเป็นใครกัน? กล้ามาโวยวายในถิ่นของตระกูลจ้าว ก่อกวนธุรกิจของตระกูลจ้าว แกมีปัญญารับผิดชอบไหม?” จ้าวหงหยังต่อว่าเสียงเย็นชา

“โอ้โห คำพูดนี้พูดออกมา ฉันรู้สึกว่า ไอ้เด็กหนุ่มแซ่หลินนี่ปัญญาอ่อนจริงๆ ช่างกล้าพูดจริงๆ?”

“ตอนแรกฉันคิดว่ามันคงเป็นคุณชายจากต่างจังหวัด ตอนนี้ดูแล้ว อาจจะเป็นอย่างที่คุณหนูตระกูลจ้าวพูด เป็นแมงดาเกาะผู้หญิงกิน”

“ใช่ ท่าทางโง่เขลาไร้ปัญญาทางอารมณ์จริงๆ สถานการณ์แบบนี้แล้ว ยังมาปากแข็งที่นี่อีก? คุณจ้าวและคุณเผียวต่างก็โมโหแล้ว เดี๋ยวฉันจะคอยดูว่ามันจะจัดการยังไง”

แค่ชั่วพริบตา แขกในงานต่างก็พกกันต่อว่าด่าทอ หันไปมองหลินอิ่งกันหมด

เท่าที่พวกเขาดูแล้ว คำพูดหลินอิ่งมันเกินจริงเหลือเกิน อีกอย่างไม่รู้จัดมารยาทแม้แต่น้อย

จ้าวหงหยัง คุณหนูตระกูลจ้าว จ้าวหลันเอ๋อร์ บวกกับเผียวเจียงลี่จากชีซิงกรุ๊ป สามท่านนี้มีใครที่ไม่ใช่ทรัพย์สินอำนาจใหญ่โต?

ผู้มีอำนาจสามคนพูดจาแบบนี้กับเขาแล้ว ยังหัวแข็งไม่ยอมก้มหน้า?

คิดว่าตัวเองเป็นใครกัน?

“คุณจ้าว ผมว่า คุณไม่ต้องพูดอะไรกับไอ้หน้าโง่นี่แล้ว จัดบอดี้การ์ด จัดการไล่มันออกไป แล้วสั่งสอนให้หนักเลย” เผียวเจียงลี่พูดอย่างเคร่งขรึม ยิ่งดูหลินอิ่งยิ่งไม่พอใจ

จ้าวหงหยังพยักหน้า โบกมือ จะเรียกบอดี้การ์ดหนุ่มในงามเข้ามา

“ทำไม? จ้าวหงหยัง ตระกูลจ้าวของพวกคุณเปิดประตูทำธุรกิจ ยังอยากจะไล่คน? ตระกูลจ้าวของคุณ สอนให้คุณเป็นคนและทำงานแบบนี้เหรอ?” หลินอิ่งมองจ้าวหงหยัง หัวเราะเย็นชา

จ้าวหงหยังสีหน้าเหยียดหยามหัวเราะเย็นชา พูดว่า “แกพูดถูก ตระกูลจ้าวของเราเปิดประตูทำธุรกิจ แต่ว่า ฉันจะทำธุรกิจยังไง ไม่ใช่สิทธิ์ของไอ้ไร้น้ำยาอย่างแกที่ต้องมาชี้แนะ? ยังกล้ามาเรียกอะไรตระกูลจ้าว? แกคงไม่รู้ความเก่งกาจของตระกูลจ้าวเราใช่ไหม?”

“แกจะทำธุรกิจใช่ไหม? ได้ ฉันให้โอกาสแกหนึ่งครั้ง” จ้าวหงหยางพูดด้วยสีหน้าหยอกล้อ “ถ้าอย่างนั้นแกก็ลองให้ฉันดูหน่อย ว่าแกมีสิทธิ์อะไรมาเจรจาธุรกิจในถิ่นของตระกูลจ้าว? อย่างฐานะแกที่ไม่มีแม้แต่บัตรเชิญ? เหอะเหอะเหอะ”

“ไอ้หนุ่มแซ่หลิน ถ้าหากแกกลัวบอดี้การ์ดลงมือ ก็เดินเข้ามาขอโทษด้วยตัวเอง ยังพอเหลือศักดิ์ศรีไว้บ้าง อย่าให้บอดี้การ์ดของฉันต้องยกตัวแกออกไป” จ้าวหงหยังพูดด้วยสีหน้าข่มขู่

หลินอิ่งส่ายหัว พูดว่า “คุณจะเอาสิทธิ์ใช่ไหม?”

“ชื่อผมหลินอิ่งสองตัว สิทธิ์พอไหม?”​

หลินอิ่งสายตาเย็นชามองไปที่จ้าวหงหยัง สายตานี้ มองจนจ้าวหงหยังสะดุ้ง สายตาเลื่อนลอยไปครู่หนึ่ง เสมือนคนที่อยู่ตรงหน้า เป็นดั่งมังกรยักษ์ที่บินอยู่

“หลินอิ่ง? หลินอิ่งคือใคร”

“ทำไมชื่อนี้ถึงฟังแล้วคุ้นหูจังเลย? ทำไมไอ้เด็กนี่ถึงพูดชื่อของตัวเองได้มั่นใจขนาดนั้น?”

ทันทีที่หลินอิ่งบอกชื่อออกไป ทุกคนในงานต่างก็อึ้งไปตามกัน สายตามึนงง พยายามคิดว่าเคยได้ยินชื่อนี้ที่ไหนมาก่อน

ส่วนเผียวเจียงลี่ กลับสีหน้าเปลี่ยนทันที จ้องหลินอิ่งเหมือนดั่งศัตรูตัวฉกาจ

“หลินอิ่ง?” จ้าวหงหยังขมวดคิ้ว จากนั้นก็หัวเราะเย็นชา “มันบอกว่ามันคือหลินอิ่ง? คุณเผียว คุณไม่รู้สึกว่าตลกเหรอ?”

“แกนี่มันโม้จนไม่กลัวเรื่องราวใหญ่โตใช่ไหม? คุณชายอิ่งแห่งตี้จิงแกก็กล้าปลอมตัว?” จ้าวหงหยังพูดด้วยสีหน้าดูถูก “กับสภาพอย่างแกเนี่ยนะ ยังกล้าปลอมตัวเป็นคุณชายอิ่งมาขู่ฉัน? คุณชายอิ่งเป็นคนระดับไหน ออกมาข้างนอกสภาพอย่างแกเนี่ยนะ? แกแม้แต่บัตรเชิญยังไม่มีเลย ยังแอบเข้ามาเพราะหลายสาวฉัน ตัวกระจอกแบบนี้ ช่างไม่รู้ที่ต่ำที่สูง”

หลินอิ่งสองคำนี้ ในสังคมตี้จิงนี้บางคนคนทั่วไปอาจไม่เคยได้ยิน

แต่ว่าในผู้มีอำนาจของคนรุ่นสองในตระกูลผู้ดี ต่างก็เคยได้ยินกันแล้ว

หลินอิ่งของตระกูลฉี นั่นก็คือชื่อจริงของคุณชายอิ่งผู้ลึกลับแห่งตี้จิง

ส่วนทำไมถึงแซ่หลิน ได้ยินว่าคุณชายอิ่งออกจากบ้านตั้งแต่เด็ก จึงใช้นามสกุลกับแม่

ถ้าหากคุณชายอิ่งมาด้วยตัวเอง เขาจ้าวหงหยังทำไมถึงไม่ได้รับข่าวเลยแม้แต่น้อย?

หลินอิ่งส่ายหน้า สีหน้านิ่งเฉยมาก

จ้าวหงหยังผู้มีอำนาจรุ่นที่สองของตระกูลจ้าว ดูเหมือนจะเลอะเลือนเพราะผลประโยชน์ที่ได้จากชีซิงกรุ๊ปไปแล้ว สมองไม่มีสติแล้ว

“ในเมื่อคุณไม่เชื่อ ถ้าอย่างนั้นตระกูลจ้าวของคุณ ก็ต้องชดใช้อะไรบ้างแล้ว” หลินอิ่งพูดอย่างเรียบเฉย

“คืนนี้ ตระกูลจ้าวของพวกคุณไม่ยอมเอาธุรกิจสายนี้ออกมา ผมก็จะเปิดหนทางเอง” หลินอิ่งพูดอย่างเชื่องช้า “แผนการที่พวกคุณเตรียมการกับชีซิงกรุ๊ป ไม่มีแล้ว”

พูดจบ หลินอิ่งก็หยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋า เตรียมจะเรียกนิ่งซวนพาคนมาทำงาน

ความสัมพันธ์ของตระกูลจ้าวกับชีซิงกรุ๊ป จะเอาดินแดนเมืองเทียนหลงนี้ไปภายใต้สายตาเขา?

เป็นไปไม่ได้

โปรแกรมที่หลินอิ่งให้นิ่งซวนไป มีอยู่ข้อหนึ่ง ไม่เหลือหนทางให้กับชีซิงกรุ๊ปเด็ดขาด ถีบออกจากเมืองเทียนหลงอย่างสมบูรณ์

“ออ? แกยังอยากจะโทรเรียกใครมา? ดีเลย ฉันก็อยากรอดู รอดูไอ้เด็กอย่างแก จะเล่นอะไรได้อีก” จ้าวหงหยังส่ายหน้าหัวเราะเย็นชา ท่าทางหยิ่งยโส

“อาหก เงียบเดี๋ยวนี้ อย่าพูดอะไรไปเลื่อยอีก”

เวลาเดียวกัน หน้าประตูทางเข้างานมีเสียงของชายหนุ่มที่น่าเกรงขามคนหนึ่งดังขึ้น

เห็นแค่ ตรงหน้าประตูมีชายหนุ่มบุคลิกสง่า ในชุดสูทสีขาว หน้าตาสง่างาม ข้างกายมีชายหนุ่มและชายชราในชุดคอจีนตามมาด้วย

“นี่? คุณชายใหญ่? คุณ มาที่นี่ได้ยังไง?” จ้าวหงหยังสีหน้าแปลกใจมองไปทางหน้าประตู ทันใดนั้นสีหน้าก็ตกใจ

“แล้วก็คุณหนูใหญ่? มาเหมือนกันเหรอ?”

เห็นคนที่มาแล้ว สีหน้าจ้าวหงหยังก็เปลี่ยนไปอย่างไม่แน่ใจ ในใจเริ่มมีความรู้สึกที่ไม่ดี

จ้าวเฉิงเฉียนมาแล้ว ยังพาคุณหนูผู้สวยงามชื่อดังแห่งตี้จิงมาด้วย คุณหนูตระกูลจ้าว จ้าวหลินเอ๋อร์

“อาหก ผมไม่มา ยังไม่รู้ว่าอาจจะก่อเรื่องราวใหญ่โตแค่ไหน”

จ้าวเฉิงเฉียนเข้ามาในงานแล้ว สีหน้าเย็นชา ต่อว่าจ้าวหงหยัง

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท