ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 541 ไม่ยอมไม่ได้

บทที่ 541 ไม่ยอมไม่ได้

พอไหม?

คุณชายอันดับหนึ่งแห่งตี้จิงทั้งคน จ้าวเฉิงเฉียนคุณชายแห่งตระกูลจ้าว กำลังถามความเห็นของคุณชายอิ่ง?

นี่คือกำลังลดตัว ก้มหัวให้เขาก่อน?

ไม่กลัวที่จะสร้างความขุ่นเคืองให้กับชีซิงกรุ๊ป เพียงแค่ให้หลินอิ่งมีภาพลักษณ์ที่ดีต่อตระกูลจ้าว?

นี่อธิบายได้ว่าอย่างไร?

นี่อธิบายได้ว่าจ้าวเฉิงเฉียนยอมรับและเลื่อมใสหลินอิ่งอย่างเต็มใจ ในสถานที่สาธารณะก็ไม่ได้ยึดถืออำนาจฐานะของตัวเอง

ภาพนี้ ทำให้แขกทั้งหมดในงานต่างก็ดูจนอึ้งพูดไม่ออก สีหน้าต่างก็ตะลึงตาค้าง

“คิดไม่ถึง ว่าคุณชายอิ่งท่านนี้จะแข็งแกร่งยิ่งกว่าคุณชายจ้าว ดูเหมือนทั้งสองจะมีความสัมพันธ์กันบ้าง”

“สามารถทำให้คุณชายจ้าวปฏิบัติตัวด้วยความถ่อมตนแบบนี้ ก็เห็นได้ว่า คุณชายอิ่งแข็งแกร่งขนาดไหน”

ทุกคนในตี้จิงต่างก็รู้ดี จ้าวเฉิงเฉียนถูกเรียกว่าคุณชายอันดับหนึ่ง หยิ่งยโสขึ้นชื่อ คนรุ่นเดียวกันไม่มีใครกล้าชิงดีชิงเด่นกับเขา

หลังจากนั้น เมื่อหลินอิ่งกลับคืนสู่ตี้จิง กวาดล้างตระกูลเหวิน แสดงพลังอำนาจออกมาแล้ว

ในที่ลับ มีคนมากมายที่เอาหลินอิ่งและจ้าวเฉิงเฉียนเปรียบเทียบกัน มีข่าวลือต่างๆนานากันมากมาย ต่างก็คาดเดาว่าสองคนนี้ ใครกันที่จะเป็นบุคคลสำคัญของคนรุ่นหลังในตี้จิง

เท่าที่ดูจากคืนนี้แล้ว สามารถแยกระดับได้แล้ว

จ้าวเฉิงเฉียนมองหลินอิ่งด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เหงื่อไหลลงจากหน้าผากอย่างควบคุมไม่ได้

ความแข็งกล้าของผู้ชายคนนี้ สร้างความกดดันมหาศาลในใจให้กับเขา

หลินอิ่งส่ายหน้า ยกแก้วไวน์ทางสูงขึ้นมาจีบไวน์

ไม่ได้แสดงปฏิกิริยา แต่ทัศนคติชัดเจนมาก

“อาหก มานี่” จ้าวเฉิงเฉียนสีหน้าเย็นชา โบกมือ “คืนนี้อาเป็นคนทำผิด ขอโทษคุณชายอิ่งซะ”

“หา?”

เมื่อถูกเรียกชื่อแล้ว จ้าวหงหยังก็ร้องออกมาด้วยเสียงตกใจ สีหน้าหวาดกลัวยังไม่ปรับตัวไม่ทัน

ใช่แล้ว เขายังอยู่ในอาการตกใจอย่างขีดสุด

คราวนี้ ถูกจ้าวเฉิงเฉียนเรียกออกมา ความกลัวในใจก็ยิ่งเพิ่มขึ้น ตัวสั่นไปทั้งร่างอย่างควบคุมไม่ได้

“คุณชายใหญ่ นี่ มันไม่ค่อยเหมาะสมมั้ง?” จ้าวหงหยังสีหน้าลำบากใจ พูดอย่างไม่เต็มใจ

เมื่อครู่ยังชี้หน้าต่อว่าหลินอิ่งอย่างน่าเกรงขาม และยังออกคำสั่งให้บอดี้การ์ดซ้อมหลินอิ่ง

ตอนนี้ กลับถูกบังคับให้คุกเข่าต่อหน้าหลินอิ่ง ในใจของเขาไม่เต็มใจเลย ไม่ยอมลดศักดิ์ศรีตัวเอง

นี่มันพลิกผันแต่งต่างกันมากเกินไปแล้ว

หากต้องก้มหัวขอโทษต่อหลินอิ่ง ศักดิ์ศรี ตำแหน่ง ฐานะ ยังต้องรักษาไว้ไหม?

“อาหก ผมขอพูดเป็นครั้งสุดท้าย ขอโทษเดี๋ยวนี้” จ้าวเฉิงเฉียนพูดอย่างเคร่งขรึม พูดอีกประโยค “ขอโทษคุณชายอิ่ง อาไม่ได้ขายหน้า”

ได้ยินแล้ว จ้าวหงหยังเหมือนดังสะดุ้งตื่น ใบหน้าอันชราแดงก่ำ สีหน้าหดหู่ลำบากใจ

ก็ใช่ คุณชายอิ่งแห่งตี้จิงทั้งคน แม้แต่หัวหน้าตระกูลสวี สวีไป๋เห้อยังถูกเขาบังคับให้คุกเข่า

จากฐานะตำแหน่งของเขาจ้าวหงหยัง ยังห่างจากสวีไป๋เห้อสองระดับ ขอโทษหลินอิ่ง ก็ไม่ใช่เรื่องน่าอายอะไร

เพียงแค่ ความรู้สึกแตกต่างในใจ มันทนรับไม่ได้

สถานการณ์เหนือกว่าคน ไม่ยอมไม่ได้

“ขอโทษ คุณชายอิ่ง ผมผิดไปแล้ว เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในคืนนี้ เป็นความผิดของผมทั้งหมด ผมมีตาหามีแววไม่ สร้างความขุ่นเคืองให้กับท่าน หวังว่าท่านจะไม่ถือสา”

จ้าวเฉิงเฉียนเดินออกจากที่นั่งไปหาหลินอิ่ง ก้มตัวเก้าสิบองศาต่อหลินอิ่ง ก้มคำนับอย่างเคารพ ขอโทษกิริยาที่จริงใจ

หลินอิ่งไม่ได้แสดงปฏิกิริยา จ้าวหงหยังก้มหัวอย่างเช่นนี้ เหงื่อไหลท่วมหน้าผาก ไม่กล้าขยับตัว

เวลาเดียวกัน จ้าวหลันเอ๋อร์ที่ยืนข้างหลินอิ่ง ก็ตกใจจนหน้าซีดขาว

แม้แต่อาหกก็ก้มหัวขอโทษหลินอิ่งต่อหน้าผู้คนมากมายแล้ว เธอ ก่อนหน้านี้เธอด่าหลินอิ่งรุนแรงขนาดนั้น ควรทำยังไงดี……

“คุณชายอิ่ง ต้องขอโทษจริงๆ ฉัน ฉันไม่รู้ว่าคุณมาที่นี่ ถึงไม่ได้รู้ตัวไปพูดจาไม่ดีกับคุณ ขอให้คุณอภัยให้ฉันด้วย ฉัน เมื่อก่อนฉันนับถือคุณมาตลอด คุณเป็นไอดอลของฉัน” จ้าวหลันเอ๋อร์ท่าทางสีหน้าน่าสงสาร พูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อน

หลินอิ่งมุมปากยิ้มขึ้นอย่างเย็นชา ไม่สะทกสะท้าน

ภาพเช่นนี้ ทำให้บรรยากาศภายในงานตึงเครียดไปทันที ทุกอย่างต่างก็รักษาความสงบไม่กล้าส่งเสียง

หลินอิ่ง พลังอำนาจแข็งแกร่งเกินไป

ภายในงานมีคนตระกูลจ้าวมากมายขนาดนี้ แต่ละคนต่างก็เป็นผู้มีอำนาจน่าเกรงขาม

ทุกคนรวมกันแล้ว แต่กลับถูกหลินอิ่งกดทับราศีไปหมด แม้กระทั่ง ต้องก้มหัวขอโทษทีละคน

นี่มัน ไม่เสียชื่อที่เป็นคุณชายอิ่งผู้ประคองตระกูลฉีแห่งตี้จิงขึ้นมาแต่เพียงผู้เดียว

ทันใดนั้น แขกภายในงานต่างก็พากันชื่นชมในใจ ต่างก็มองหลินอิ่งด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความเคารพ

“คุณชายอิ่ง ผมรับรอง ขอแค่ผมอยู่ในตี้จิง ชีซิงกรุ๊ปจะไม่สามารถก้าวก่ายในเมืองเทคโนโลยีเทียนหลงแม้แต่ก้าวเดียว” จ้าวเฉิงเฉียนพูดอย่างจริงจัง “ผมมาหาคุณวันนี้ ก็เพื่อจะคุยเรื่องของเมืองเทียนหลง ตระกูลจ้าวของเราอยู่ที่นี่ ยังถือว่ามีผลกระทบพอสมควร”

“ความผิดที่อาหกและน้องหลันทำไว้ ยังหวังว่าคุณชายอิ่ง จะให้อภัย”

จ้าวเฉิงเฉียนพูดด้วยสีหน้าจริงจัง

ทุกคนต่างก็รอดูปฏิกิริยาของหลินอิ่งด้วยความตื่นเต้น

ผ่านไปสักครู่

หลินอิ่งวางแก้วไวน์ในมือลง ค่อยๆลุกขึ้น มองจ้าวเฉิงเฉียนอย่างเรียบเฉย

“พวกเขาสองคนไม่รู้เรื่อง คุณจ้าวเฉิงเฉียน ยังถือว่ารู้เรื่อง” หลินอิ่งพูดอย่างเรียบเฉย “ธุรกิจในเมืองเทคโนโลยีเทียนหลง ผมไม่เอาเปรียบตระกูลจ้าวแม้แต่น้อยแน่นอน เงินห้าพันล้านที่ผมรับปาก ต้องให้แน่นอน”

“สำหรับเรื่องของเมืองเทคโนโลยีเทียนหลง ก็นั่งลงมาคุยกัน”

จ้าวเฉิงเฉียนทำงานมีหลักการ เขาก็ต้องเหลือทนทางให้ตระกูลจ้าวแน่นอน

จ้าวเฉิงเฉียนรู้สึกโล่งใจ ถือว่าทำให้หลินอิ่งพอใจแล้ว

“คุณชายอิ่ง เชิญ”

จ้าวเฉิงเฉียนโบกมือทำท่าเชิญ ชี้ไปทางห้องรับรองหรูด้านข้าง

อาคารเลคอาร์ตเป็นกิจการของตระกูลจ้าวอยู่แล้ว จะเจรจางาน เขาสามารถจัดห้องรับรองให้ว่างได้เสมอ

หลินอิ่งพยักหน้าเล็กน้อย ส่งสายตาให้กับฉู่ฉู่และกงซุนชิวอวี่

จากนั้น ท่ามกลางสายตาผู้คน เขาก็เดินเข้าไปในห้องรับรองอย่างสง่า

เมื่อหลินอิ่งเดินเข้าไปในห้องรับรองแล้ว จ้าวเฉิงเฉียนก็มองเผียวเจียงลี่ด้วยสายตาเย็นชา

“หักแขนหักขา ส่งกลับชีซิงกรุ๊ป”

จ้าวเฉิงเฉียนออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเย็นชา สายตาส่อแววสังหาร

ชีซิงกรุ๊ปที่มาจากต่างแดน ระหว่างหลินอิ่ง ต้องเลือกยังไง ในใจของเขาสามารถแยกแยะหนักเบาได้

ยอมที่จะสร้างความขุ่นเคืองกับชีซิงกรุ๊ปอย่างเอาเป็นเอาตาย ก็ไม่มีวันมีเรื่องขุ่นเคืองกับหลินอิ่ง

ได้ยินประโยคนี้แล้ว เผียวเจียงลี่ก็ตกใจจนหน้าซีด บอดี้การ์ดที่เขาพามายังอยากต่อต้าน ก็ถูกเผยหวูหมิงและหม่าผิงชวนเข้าไปทั้งต่อยทั้งถีบจนล้มนอนอยู่กับพื้นจนหมด

“นี่……คุณชายใหญ่ เรื่องนี้” จ้าวหงหยังสีหน้าซีดขาว คนทั้งคนเหมือนจะเป็นลมแล้ว ถามอย่างตื่นเต้น

“อาหก เรื่องนี้อาเป็นคนทำผิด รอกลับไปถึงตระกูลจ้าวแล้ว ผมจะจัดตำแหน่งบริหารธุรกิจในต่างประเทศให้” จ้าวเฉิงเฉียนพูดอย่างเคร่งขรึม

“แขกผู้มีเกียรติทุกท่าน ไม่มีเรื่องแล้ว พวกท่านเชิญสนุกกับงานเลี้ยงต่อ ผมยังมีธุระ ไม่อยู่ดูแล้ว”

จ้าวเฉิงเฉียนทักทายแขกในงาน จากนั้นก็พาจ้าวหลินเอ๋อร์เดินเข้าไปในห้องโถงรอง

เหลือเผยหวูหมิงและหม่าผิงชวน ยอดฝีมือสองคนนี้ไว้ ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูเหมือนเทพหน้าประตู

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท