ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 543 แม่เฒ่าตระกูลจ้าวนัดพบ?

บทที่ 543 แม่เฒ่าตระกูลจ้าวนัดพบ?

“กงซุนชิวอวี่ ฉันขอเตือนเธอ” จ้าวหลินเอ๋อร์อาละวาด พูดอย่างโมโห “ถ้าเธอกล้าแย่งกับฉัน ฉันจะทำให้ตระกูลกงซุนจบแน่”

กงซุนชิวอวี่ขยับแว่นตา หัวเราะแล้วพูดว่า “จ้าวหลินเอ๋อร์ เธออย่าคิดว่าเธอเก่งกาจแค่ไหน คนอื่นกลัวเธอ ฉันไม่กลัวเธอ”

“ยังกล้าพูดว่าจะให้ตระกูลกงซุนจบแน่ เธอคิดว่าตระกูลจ้าวของเธอมือเดียวปิดฟ้าได้เหรอ? ฐานะครอบครัวฉันต่ำกว่าเธอเหรอ? หรือว่าตำแหน่งฉันต่ำกว่าเธอ? หรือว่า ความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับพี่ชายสู้เธอไม่ได้?” กงซุนชิวอวี่พูดอย่างสบายใจ “อย่ามาอยู่ดีๆก็ตักเตือนคนอื่น เธอขู่ฉันไม่ได้”

พูดจบ กงซุนชิวอวี่ยกแก้วไวน์ขึ้นจีบไวน์ หัวเราะอย่างชอบใจ เหมือนดั่งนักรบที่รบชนะ

จ้าวหลินเอ๋อร์ ข่มขู่เธอไม่ได้จริง

เป็นตระกูลในห้าตระกูลอันดับหนึ่งแห่งตี้จิงเหมือนกัน ตระกูลกงซุนไม่ได้แพ้ตระกูลจ้าว

โดยเฉพาะ กงซุนชิวอวี่ยังมีความสัมพันธ์ที่ดีกับหลินอิ่งด้วย

“เธอคิดว่าฉันกำลังขู่เธอใช่ไหม? ได้เลย กงซุนชิวอวี่ อยากเป็นอริกับฉัน ฉันจะทำให้เธอเสียใจ” จ้าวหลินเอ๋อร์พูดอย่างโมโห โกรธจนเหมือนท้องไส้จะระเบิด

แต่ว่า สิ่งที่กงซุนชิวอวี่พูดคือความจริงทุกอย่าง

เธอพูดยังไงก็ชนะไม่ได้ ทำอะไรกงซุนชิวอวี่ก็ไม่ได้

ช่างน่าโมโหจริงๆ

“ออ? ทำให้ฉันเสียใจ?” กงซุนชิวอวี่ส่ายหน้า พูดอย่างใจเย็น “จ้าวหลินเอ๋อร์ เธอต้องทำความเข้าใจให้ดีนะ? ฉันชอบและยินดีที่พี่ชายฉันกับพี่สะใภ้จางฉีโม่ได้อยู่ด้วยกันมากกว่า เธอขู่ฉันแบบนี้ ดีไม่ดี ฉันพูดต่อหน้าพี่ชายคำสองคำ ดูว่าเธอจะทำยังไง”

“เธอยังอยากกระชับความสัมพันธ์กับพี่ชายฉันอยู่หรือเปล่า? เธออยากเป็นพี่สะใภ้ฉัน แม้แต่น้องสาวคนนี้เธอยังอยากรังแก เหอะเหอะ” กงซุนชิวอวี่พูดด้วยสีหน้าหยอกล้อ

ได้ยินคำพูดนี้แล้ว สีหน้าจ้าวหลินเอ๋อร์ก็หดหู่ลงทันที

เธอรู้สึกว่าวันนี้เจอคู่ต่อสู้แล้ว

จางฉีโม่ก็ดี โครเมียร์ แอนนาก็แล้ว พูดตามตรง ในใจจ้าวหลินเอ๋อร์ก็ไม่คิดว่าจะเทียบกับตัวเองได้

วันนี้ในสายตาเธอ กงซุนชิวอวี่คือภัยที่ใหญ่ที่สุด เงื่อนไขทุกอย่างทุกด้านไม่แพ้เธอจ้าวหลินเอ๋อร์ไม่ว่า ยังเป็นผู้หญิงที่เต็มไปด้วยอุบายเจ้าเล่ห์ พูดอะไรว่าเป็นน้องสาวอยู่ข้างกายหลินอิ่ง ความสัมพันธ์ดีมาก ยังโตมาด้วยกัน

ผู้หญิงแบบนี้ที่อยู่ข้างกายผู้ชาย คือตัวอันตรายที่สุด

“เห้อ แพศยา” จ้าวหลินเอ๋อร์ทำเสียงเย็นชา พูดอย่างด้วยความโมโห

“เหอะ” กงซุนชิวอวี่ก็ทำเสียงเย็นชา “ตามจีบแล้วเขายังไม่สนใจ หน้าไม่อาย”

จ้าวหลินเอ๋อร์สองคนจ้องหน้ากันเย็นชา บรรยากาศตึงเครียด

ฉู่ฉู่ที่นั่งอยู่ด้านข้าง ฟังจนรู้สึกอึดอัด แก้มก็แดงขึ้นเล็กน้อย

เธอ เธอกำลังชอบคุณหลินอยู่

แต่ว่าดูแล้ว ข้างกายคุณหลินดูเหมือนไม่เคยขาดผู้หญิงสวยและเก่ง

ผู้สาวที่เหมือนดั่งเทพธิดาตรงหน้าสองคน แย่งคุณหลินกันอย่างอิจฉาตาร้อน คำพูดอะไรก็พูดกันหมดแล้ว

“แคก……ชิวอวี่ ฉัน ฉันออกไปห้องน้ำ เธอ พวกเธอค่อยๆคุยกัน” ฉู่ฉู่พูดอย่างอึดอัด บรรเทาบรรยากาศ เดินออกจากที่นั่ง ออกจากห้องโถงรอง

“ได้เลย ฉู่ฉู่ ดูแลสุขภาพด้วยนะ อย่าเป็นหวัดล่ะ พรุ่งนี้เรายังต้องไปเที่ยวเล่นกับพี่ชายในเมืองเทียนหลงอีก” กงซุนชิวอวี่มองหน้าจ้าวหลินเอ๋อร์ พูดอย่างจงใจ

จ้าวหลินเอ๋อร์หรี่ตา จ้องหน้ากงซุนชิวอวี่อย่างเย็นชา สายตาจะฆ่าคนได้แล้ว

…….

อีกด้านหนึ่ง ในห้องรับรอง

หลินอิ่งนั่งอยู่ตรงกลางของโต๊ะน้ำชา จ้าวเฉิงเฉียนนั่งด้านข้าง ยกกาน้ำชา ค่อยๆเทน้ำชาสองแก้ว

“คุณชายอิ่ง เชิญ”

จ้าวเฉิงเฉียนยกมือเชิญ พูดอย่างเกรงใจ แสดงอย่างมีมารยาท

หลินอิ่งรับน้ำชามา ชิมไปคำหนึ่ง

จ้าวเฉิงเฉียนสีหน้าเคร่งขรึม เหมือนกำลังลำเลียงคำพูดอยู่ ถึงเปิดปากพูด “คุณชายอิ่ง สัญญาหมั้นหมายระหว่างคุณกับน้องสาวผม ภายในตระกูลจ้าวพวกเราได้คุยกันแล้ว คุณปู่และคุณย่าก็แสดงความเห็นแล้ว”

“แม่เฒ่าตระกูลจ้าว นัดพบคุณ หวังว่าคุณจะไปที่ตระกูลจ้าวด้วยตัวเองสักครั้ง”

“แม่เฒ่าตระกูลจ้าวอยากพูดคุยความเห็นของคุณเกี่ยวกับสัญญาหมั้นหมายกับตระกูลจ้าว และอยากตกลงเรื่องธุรกิจในเมืองเทียนหลง”

“ท่านยายจ้าวนัดพบผม?” หลินอิ่งขมวดคิ้ว

เขาจำได้ สมัยเด็กแม่เฒ่าตระกูลจ้าวพยายามจะจับตัวเองให้หมั้นหมาย ทำสัญญาไว้ตั้งแต่เด็ก

ดูเหมือน ระหว่างแม่เฒ่าตระกูลจ้าวกับคุณปู่ตัวเอง มีความสัมพันธ์ที่ดี

“ใช่ คุณย่าไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับทางโลกนานแล้ว ท่านรักใคร่น้องสาวผมมาก ครั้งนี้ท่านย่าพูดแล้ว จะจัดการเรื่องสัญญาหมั้นหมายที่ท่านทำไว้ให้น้องสาวผมให้ชัดเจน” จ้าวเฉิงเฉียนพูดอย่างจริงจัง “คุณก็น่าจะรู้ดี ท่านย่ากับนายท่านฉีเป็นลูกพี่ลูกน้องที่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน”

“เพราะฉะนั้นมันเกี่ยวพันถึงความสัมพันธ์ของรุ่นอาวุโส หวังว่าคุณชายอิ่งจะจัดการอย่างระวัง หน้าตาของน้องสาวผม คุณก็เห็นแล้ว นอกจากคุณไม่เอาใครทั้งนั้น” จ้าวเฉิงเฉียนค่อยๆพูด

แม่เฒ่าตระกูลจ้าว เป็นน้องสาวญาติห่างๆของคุณปู่ตัวเอง มาจากตระกูลฉีแห่งตี้จิงเช่นกัน เพียงแค่แต่งงานไปกว่าครึ่งศตวรรษแล้ว คนรุ่นพวกเขาก็เหลือเธอแค่คนเดียว เพราะฉะนั้นตอนที่ตระกูลฉีเกิดเรื่อง ก็ไม่ได้ดึงเธอเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย

หากเทียบรุ่นแล้ว ตัวเองอาจจะต้องเรียกท่านว่าคุณย่า

อีกอย่าง แม่เฒ่าตระกูลจ้าวท่านนี้กับคุณปู่ความสัมพันธ์พี่น้องแน่นแฟ้น ในอดีตก็เป็นสาวแกร่ง มีอำนาจในตระกูลจ้าว สูงกว่านายท่านจ้าวอีก ได้ยินว่าในอดีตที่นายท่านจ้าวได้ครองตำแหน่ง เพราะเธอคอยปูทางและประสานงานต่างๆนานาให้

“เป็นเช่นนี้ดีที่สุด ท่านย่าพูดแล้ว คุณปะทะกับตระกูลจ้าวที่ตี้จิง ในเรื่องนี้ ท่านยินดีให้ความช่วยเหลือ” จ้าวเฉิงเฉียนพูดอย่างจริงจัง

“ออ?” หลินอิ่งรู้สึกสนใจ รู้สึกว่าตระกูลจ้าวครั้งนี้ไม่ธรรมดา

แม่เฒ่าตระกูลจ้าวที่แผนการลึกซึ้งท่านนี้ไม่เพียงจะพบตัวเอง ยังอยากคุยเรื่องของตระกูลสวี?

เพราะกำแต้มและความสัมพันธ์อยู่ในมือ อย่างให้เขายอมแพ้ ไปแต่งงานกับจ้าวหลินเอ๋อร์?

หลินอิ่งดื่มน้ำชาไปคำหนึ่ง พูดว่า “คุณกลับไปบอกท่านยายจ้าวว่า นักเวลาไว้ สามวันหน้า ผมจะไปพบที่ตระกูลจ้าวด้วยตัวเอง”

“ได้ ผมจะนำคำพูดไปบอกต่อ” จ้าวเฉิงเฉียนพยักหน้าอย่างหนักแน่น

จ้าวเฉิงเฉียนมาหาหลินอิ่งวันนี้ นอกจากน้องสาวตัวเองอยากเจอหลินอิ่งแล้ว ก็คือทำหน้าที่นำข้อความมาส่งต่อเท่านั้น

เพราะว่า ตระกูลจ้าวไม่ส่งคนที่มีอำนาจมาเชิญหลินอิ่ง หลินอิ่งคงไม่มีวันให้เกียรติแน่

ภายในตระกูลจ้าว คนที่เหมาะสมในหน้าที่นี้ที่สุด ก็คือเขาแล้ว

คั๊ก

จ้าวเฉิงเฉียนยังอยากพูดอะไรต่อ ในเวลาเดียวกัน ภายในห้องรับรองก็ไฟดับกะทันหัน ภายในห้องมืดไปทันที

ทันใดนั้น อาคารเลคอาร์ตมืดไปทั้งอาคารกะทันหัน ไฟดับทั้งอาคาร

“นี่? ไฟดับได้ยังไง?”

จ้าวเฉิงเฉียนสีหน้าเปลี่ยนทันที เปลี่ยนไปอย่างระวัง

หลินอิ่งสีหน้าเรียบเฉย สายตาเย็นชา

“ไป ให้ลูกน้องของคุณ ดูแลผู้หญิงสองคนที่ผมพามาด้วย”

หลินอิ่งพูดอย่างเคร่งขรึม ร่างกระโดดจากที่นั่งเหมือนดั่งสายลม แค่พริบตาก็ออกจากห้องรับรอง

จ้าวเฉิงเฉียนก็ตามไปด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

ในอาคารกำลังจัดงานสำคัญแบบนี้ ภายในอาคารเป็นไฟสำรองทั้งหมด เพื่อประกันอุบัติเหตุทั้งหมด

ไฟดับทั้งอาคารกะทันหันแบบนี้ นั่นหมายความว่า มีคนตัดไฟ…….นี่คือ เกิดเรื่องแล้ว

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท