ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 545 คนต้าเหอลงมือแล้ว

บทที่ 545 คนต้าเหอลงมือแล้ว

ชิ้ว

นักดาบคนต้าเหอคนหนึ่งพุ่งไปข้างหน้า ฟันดาบไปที่คอของฉู่ฉู่อย่างไม่ลังเล สำหรับผู้หญิงก็ไม่ปรานีแม้แต่น้อย

“อ้าก”

ฉู่ฉู่ตกใจอย่างสุดขีด ร้องออกมาด้วยความตกใจอย่างควบคุมไม่ได้

ติ้ง

เสียงดังชัดเจน มาจากช่องทางเดิน

ภายใต้ความมืด ร่างสูงสง่าคนหนึ่ง ร่างกำยำปรากฏขึ้นต่อหน้าฉู่ฉู่

เขายกสองนิ้วขึ้น ก็หักดาบที่แสงระยิบระยับนั้นหัก

หลินอิ่งถึงแล้ว

“แก แก?”

คนต้าเหอที่ถูกหักดาบสีหน้าหวาดกลัว สายตาตะลึงจ้องผู้ชายที่ปรากฏตัวตรงหน้ากะทันหัน

มาอย่างไร้วี่แวว กลับไม่มีคนสังเกตเห็นการมาถึงของชายลึกลับเลย?

คั๊ก

หลินอิ่งสีหน้าเรียบเฉย ยื่นมือจับคอของคนชุดดำไว้ หมุนข้อมือ หักคอไปในเสี้ยววินาที

คอขอเขาเอียง ร่วงลงไปกองอยู่บนพื้น สิ้นชีวิตทันที

“ไม่เป็นไรแล้ว ไม่ต้องกลัว”

หลินอิ่งพูดอย่างเรียบเฉย

เขาไม่ได้หันไปมอง ฉู่ฉู่อยู่ข้างหลัง ในใจรู้สึกได้ถึงความปลอดภัยอย่างเต็มเปี่ยม

วินาทีนี้ ท่าทางของหลินอิ่ง เหมือนดั่งเทพเทวดาในสายตาเธอ

“หลินอิ่ง? แกมาถึงแล้ว…….”

หัวหน้าคนชุดดำพูดด้วยเสียงแหบ มองหลินอิ่งอย่างระวัง

“ไอ้ตัวสมควรตาย เสียเวลาการลอบฆ่าอันมีค่าของพวกเรา” หัวหน้าคนชุดดำพูดอย่างไม่พอใจ มองเผยหวูหมิงด้วยสายตาโหดเหี้ยม

แผนการเดิมของพวกเขา หาโอกาสในคืนนี้ ตอนที่ฉู่ฉู่ไม่ได้อยู่ข้างกายหลินอิ่ง ตัดไฟของอาคาร แล้วปฏิบัติการฆ่าฉู่ฉู่อย่างรวดเร็ว

แต่คิดไม่ถึง กลับมียอดฝีมือระดับนี้คนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นกลางทาง ขัดขวางพวกเขาไว้หลายนาที

วินาทีสำคัญ หลินอิ่งกลับมาถึงแล้ว

“พวกแกเป็นคนของกงจิ่ว?”

หลินอิ่งถามด้วยสีหน้าเรียบเฉย ในสายตานั้นมีความเย็นชาที่ทำให้คนสิ้นหวัง

“ล้มเลิกการต่อสู้ แล้วบอกฉันมาว่ากงจิ่วอยู่ไหน ฉันจะให้พวกแกตายอย่างสบายหน่อย”

“เหอะเหอะเหอะ…….หลินอิ่ง ฉันยอมรับว่าฉันไม่ใช่คู่ต่อสู้ของแก แต่แกอยากจับพวกเรา นั่นก็เพ้อฝันไปแล้ว” หัวหน้าคนชุดดำพูดอย่างมั่นใจ

“ปฏิบัติการคืนนี้ของเราล้มเหลวแล้ว แต่แกกล้าเป็นอริกับหัวหน้ากงจิ่ว สิ่งที่รอแกอยู่ ก็คือการลอบฆ่าที่ไม่มีวันจบสิ้น การลอบฆ่าแบบนี้ จะมีแต่ยิ่งอยู่ยิ่งเยอะ” หัวหน้าคนชุดดำหัวเราะเย็นชา

“พวกแกมันรนหาที่ตาย”

คำพูดของหลินอิ่งจบลง

ร่างของเขา ก็พุ่งออกไปเหมือนดั่งสายลม

ทันใดนั้น คนชุดดำหลายคนตรงหน้า กางดาบอันเฉียบคมออก พยายามจะต่อต้านหลินอิ่ง

ติ้ง ติ้ง ติ้ง

มีเสียงของโลหะกระทบกันดังอย่างต่อเนื่อง

เห็นเพียงร่างดั่งสายลมของหลินอิ่ง ยื่นมือออกไปเหมือนดั่งเด็ดใบไม้ หักดาบยาวเป็นสองท่อนอย่างง่ายดาย แล้วใช้ดาบเชือดคอ

เสียงชิ้วชิ้วชิ้ว

ท่ามกลางการสู้รบฆ่าฟัน คนชุดดำไม่เพียงแค่ดาบในมือหักแล้ว แม้แต่คอก็ถูกหลินอิ่งเชือดจนขาด เลือดพุ่งกระจาย

เสียงตุ๊บตั๊บ คนต้าเหอหลายคนก็ล้มนอนอยู่กับพื้น

ไร้ข้อสงสัย ท่าเดียวกำจัดศัตรู

“นี่”

หัวหน้าคนชุดดำสีหน้าตกใจ เบิกตากว้าง ใช้สายตาแบบไม่น่าเชื่อมองหลินอิ่ง

ก่อนจะมาปฏิบัติการ เขาก็ให้คะแนนประเมินฝีมือการต่อสู้ของหลินอิ่งอย่างสูงแล้ว

คิดเองแล้วว่าทีมนักฆ่านี้ต่อสู้เผชิญหน้ากับหลินอิ่งไม่ได้

แต่ยังไงก็คิดไม่ถึง นักฆ่ายอดฝีมือในสำนักยุทธ์เชียนหลายคน กลับต่อต้านหลินอิ่งไม่ได้แม้แต่นาที?

ผู้ชายคนนี้ มีความเก่งกาจระดับไหนกันแน่?

เพี๊ยะ

หัวหน้าคนชุดดำหยิบลูกบอลสีดำออกจากกระเป๋า ทันใดนั้นแสงสว่างอันแสบตาสาดส่อง จากนั้นก็เต็มไปด้วยหมอกควัน

ส่วนร่างของเขา ก็หายไปจากทางเดินอันมืดมิดนี้แล้ว หนีไปแล้ว

“อ้ากอ้ากอ้าก”

แต่ในวินาทีต่อมา ในทางเดินก็มีเสียงร้องด้วยความหวาดกลัวดังขึ้น

ออกห่างไปห้าสิบเมตร หัวหน้าคนชุดดำคุกเข่าอยู่บนพื้น ร่างสั่นไปทั้งตัว

หลินอิ่งสีหน้าเย็นชา มือไขว้หลังยืนอยู่ตรงหน้าเขา

“แก แกเป็นใครกันแน่?” หัวหน้าคนชุดดำพูดจากอ้ำอึ้ง ตกใจจนพูดจาไม่รู้เรื่องแล้ว

สำนักยุทธ์ถนัดที่สุดก็คือวิชาการหลบหนีการลอบสังหาร วิชาการต่อสู้อาจเทียบคนอื่นไม่ได้ แต่วิชาการหลบหนีนั้น อยู่เหนือผู้อื่นแน่นอน

แค่เสี้ยววินาทีเมื่อครู่ หัวหน้าคนชุดดำโยนระเบิดควันพิเศษออกไป ก็รีบหนีออกไปทันที

แต่คิดไม่ถึง ก็ชนเข้ากับหลินอิ่งทันที

เขาไม่อาจคาดคิดได้ วิชาของหลินอิ่งนั้นน่ากลัวขนาดไหน เวลาสั้นๆ ก็ก้าวออกมาไกลขนาดนี้ กลับคำนวณทิศทางการหนีของเขาอย่างแม่นยำ รอเขาอยู่ก่อนแล้ว

อีกอย่าง หลินอิ่งจิ้มนิ้วที่กลางอกของเขาอย่างง่ายดาย

ร่างของเขาทั้งร่าง ก็เหมือนดั่งถูกฟ้าผ่า กำลังภายในหายไปทันที ถูกสะเทือนทั่วกระดูกและเอ็น คุกเข่าต่อหน้าหลินอิ่งขยับตัวไม่ได้

ฝีมือระดับนี้ มันช่างเก่งกาจเหนือมนุษย์จริงๆ

“แกจะเปิดปากพูดเอง หรือจะให้ฉันแหกปากแก?” หลินอิ่งพูดอย่างเรียบเฉย น้ำเสียงอันเย็นชาทำให้คนหวาดกลัวจนตัวสั่น

“เหอะเหอะเหอะ…….” หัวหน้าคนชุดดำหัวเราะเย็นชา “ความลับในองค์กรของเรา แกไม่มีวันขุดคุ้ยไปได้แน่”

พูดไป หัวหน้าคนชุดดำเลือดสีดำซึมออกจากปาก เอียงคอ ล้มลงไปกับพื้น

บนลิ้นของเขา มีเลือดสีดำที่ดูแล้วน่าสะพรึงขวัญ

เห็นได้ชัดว่า นี่คือยาพิษที่ฝังไว้ในฟัน กัดจนแตกพิษกำเริบก็จะเสียชีวิต

หลินอิ่งสีหน้าเย็นชาอย่างขีดสุด แปร่งประกายแรงสังหารอย่างน่ากลัว

คนต้าเหอกลุ่มนี้แพร่หลายไปทั่ว เพื่อจะจัดการเขา กลับหันไปลงมือกับผู้หญิงที่อ่อนแอไร้ทางสู้อย่างฉู่ฉู่

“คุณชายอิ่ง? สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง?”

เวลานี้ จ้าวเฉิงเฉียนมาถึง ถามด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้น

“พวกตัวตลกกลุ่มหนึ่งเท่านั้น ไม่มีอะไร” หลินอิ่งพูดอย่างเรียบเฉย

จ้าวเฉิงเฉียนมองไปที่เผยหวูหมิงด้วยสีหน้าเคร่งเครียด แล้วมองไปที่ฉู่ฉู่ มองเห็นคนชุดดำที่นอนอยู่บนพื้น เป็นคนในวงการ ในใจก็เข้าใจสถานการณ์ทันที

“คุณชายอิ่ง เรื่องนี้เกิดในถิ่นของผม ผมจะให้คำอธิบายและสืบรายละเอียดของคนเหล่านี้เอง” จ้าวเฉิงเฉียนพูดอย่างเคร่งขรึม

หลินอิ่งพยักหน้า ไม่ได้พูดอะไรอีก

เขาไม่ได้คาดหวังว่าจ้าวเฉิงเฉียนจะลากตัวกงจิ่วออกมาได้ แต่ยอมรับในพฤติกรรมของเขา

“คุณชายอิ่ง หลายปีก่อนผมเคยไปเดินทางในต้าเหอกับผู้อาวุโสในตระกูลเผย ต่อสู้กันเมื่อครู่ วิชาดาบของคนพวกนี้ผมดูออก มาจากสำนักยุทธ์เชียน” เผยหวูหมิงพูดเตือน

หลินอิ่งมองเผยหวูหมิง พูดอย่างจริงจัง “วันนี้ คุณช่วยขวางดาบให้แขกของผม วันหลัง มีเรื่องอะไร มาหาผมได้”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท