ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 553 ลูกพี่นายคือใคร?

บทที่ 553 ลูกพี่นายคือใคร?

กำลังพูดอยู่ บอดี้การ์ดร่างใหญ่ด้านหลังชายวัยกลางคน สะบัดกระบอกเหล็กออกมา ท่าทางเหิมเกริมเดินเข้าไปหาหลินอิ่ง

หลินอิ่งสีหน้าเรียบเฉย มองผู้ชายที่เดินเข้ามาอย่างเย็นชา

“โอ้โห ดูสายตาแกนี่คือไม่พอใจใช่ไหม?” ชายวัยกลางคนถือซิการ์ สายตาเหยียดหยามพูดเยาะเย้ย

“ซ้อมมันให้ตาย”

ชิ้ว

คราวนี้ บอดี้การ์ดถือกระบองเหล็กห้าหกคนฟากกระบอกไปที่หัวของหลินอิ่ง ลงมือหนักมา ฟาดจนเกิดเสียงกลางอากาศ

ปังปังปัง

ขณะที่บอดี้การ์ดหลายนายกำลังลงมือ เย่เฮยก้าวออกไป ขวางไว้ด้านหน้าหลินอิ่ง สะบัดมือก็ฟาดฝ่ามือลงไป จนกระบองเหล็กหลายชิ้นหักเป็นหลายท่อน

“หา? นี่มันคนอะไรกัน?”

“แม้งเอ้ย นี่”

จากที่กระบอกเหล็กในมือถูกเย่เฮยหัก คราวนี้ บอดี้การ์ดหลายนายที่ลงมือต่างก็ตกใจอย่างหนัก สีหน้าตกตะลึง

เพี๊ยะ เพี๊ยะ

เย่เฮยสีหน้าเย็นชา สะบัดมือตบไปที่หน้าหลายครั้ง

แรงมือของเขาหนักมาก แค่ตบหน้าเท่านั้น พวกชายร่างใหญ่แข็งแรงพวกนี้ยังทนรับไม่ไหว ตบจนกระอักเลือดต่อหน้า ล้มอยู่บนพื้น กลิ้งออกไปหลายเมตร

“เอื้อก”

“อ้าก”

เมื่อพวกเขาสู้กัน บอดี้การ์ดหลายคนถูกทุบตีจนกลิ้งอยู่บนพื้น เจ็บปวดจนสีหน้าบิดเบี้ยว กรีดร้องเสียงดัง

“อือ?” ชายวัยกลางคนขมวดคิ้วเล็กน้อย จ้องหลินอิ่งและเย่เฮยด้วยความโกรธ “แม่งเอ้ย ยังพอมีฝีมือบ้าง ไอ้หนุ่ม พ่อแกคือใคร? ฉันคือเชี่ยจุน ในดินแดนย่านพาณิชย์หยกมณีนี้ ยังไม่มีใครกล้าท้าทายฉัน”

“แกอย่าคิดว่ามีบอดี้การ์ดรู้กังฟูนิดหน่อยอยู่ข้างกาย ก็มาอวดดีได้”

“เชี่ยจุน?” หลินอิ่งส่ายหน้า พูดอย่างเรียบเฉย “ไม่เคยได้ยิน”

“เหอะเหอะ ไม่เคยได้ยินเชี่ยจุน? แกยังกล้าทำร้ายคนของฉันที่นี่?” เชี่ยจุนโยนซิการ์ในปากทิ้ง จ้องหน้าหลินอิ่งด้วยความโมโห

“ฉันก็อยากลองดู บอดี้การ์ดข้างกายแกคนนี้เก่งแค่ไหน จะสู้กับกระสุนได้ไหม”

พูดไป เชี่ยจุนก็โบกมือ เสียงฮวั้ก นอกร้านอาหารจ้วยเจียงซาน บอดี้การ์ดชุดสูทสิบกว่านายก็เดินเข้ามา บนหน้าทุกคนต่างก็สีหน้าเย็นชา มือวางในกระเป๋าเสื้อเตรียมหยิบอาวุธออกมา ท่าทางโหดเหี้ยมดุร้าย

“แกไม่รู้จัดมองไปข้างนอกบ้าง ในซอยนี้มีแต่คนของฉัน แกไม่มีตาใช่ไหม?” เชี่ยจุนยื่นมือชี้หลินอิ่ง พูดอย่างอวดดี “ใจกล้าจริงๆ ยังกล้าสู้กลับ?”

หลินอิ่งมองไปนอกร้าน

หน้าประตู มีบอดี้การ์ดร่างใหญ่ในชุดสูทยี่สิบสามสิบคนยืนอยู่ จ้องในร้านอย่างเย็นชา ท่าทางเหมือนจะลงมือได้ตลอดเวลา

ส่วนริมถนน ข้างทางมีรถสีดำจอดอยู่สิบกว่าคัน ต่างมีบอดี้การ์ดชุดสูทสีดำยืนอยู่ ดูเหตุการณ์ใหญ่โต

หลินอิ่งหัวเราะเย็นชา พูดอย่างรู้สึกสนใจ “คนเยอะ มีประโยชน์ไหม?”

“เหอะเหอะเหอะ” เชี่ยจุนก็หัวเราะขึ้นมา “ไอ้หนุ่ม ในดินแดนแห่งนี้ แกยังกล้ามาอวดดีกับฉันเหรอ? มีความกล้าพอ”

“ฉันก็รู้สึกสงสัย” เชี่ยจุนรับซิการ์มาจากมือของลูกน้อง พูดอย่างยโส “แกชื่ออะไร? ดูท่าทางแกแล้วเหมือนมีความมั่นใจไม่น้อย คิดว่าครอบครัวตัวเองมีฐานะ?”

ระหว่างที่พูด เชี่ยจุนก็จ้องหลินอิ่งตั้งแต่หัวจรดเท้า

เขาคิดว่าเขาเป็นคนที่พอมีชื่อเสียงในโลกแห่งความมืดในตี้จิง เห็นเข้าสังคม คุณชายรุ่นที่สองในตระกูลใหญ่แห่งตี้จิงก็เคยเห็นมาไม่น้อย

โดยเฉพาะ ในดินแดนซอยหยกมณีแห่งนี้ ขอแค่เป็นคนที่มีหน้ามีตาในสังคมเขารู้จักหมด ในความทรงจำไม่เคยรู้จักเด็กหนุ่มคนนี้

“น้าชาย ไอ้เด็กนี้ไม่รู้เป็นหนุ่มโง่มาจากไหน มันรู้จักกับเจ้าของร้านจ้วยเจียงซาน คาดว่าคงไม่ได้มีที่มาใหญ่โตอะไร” เปาต๋าพูดอยู่ด้านข้าง จ้องหลินอิ่งด้วยความโหดร้าย

“ไม่ต้องลังเลแล้ว ไอ้เด็กนี่ไม่มีที่มาใหญ่โตอะไรแน่นอน ไม่อย่างนั้นไอ้แก่หวงติดหนี้ผมมากมายขนาดนี้ ทำไมไม่เห็นมันออกมาช่วย? คงเป็นแค่ลูกเจ้าของร้านค้าเล็กๆเท่านั้น คิดว่าตัวเองเก่งมาก ต้องสั่งสอน”

เชี่ยจุนฟังเปาต๋าพูดอยู่ด้านข้าง หรี่ตามองหลินอิ่ง

“แกนี่มันหูหนวกใช่ไหม? ฉันถามว่าแกชื่ออะไร?” เชี่ยจุนจ้องหน้าหลินอิ่งแล้วถาม

หลินอิ่งสีหน้าเย็นชา พูดอย่างเรียบเฉย “ชื่อของผมคุณไม่คู่ควรได้รู้ ลูกพี่นาย คือใคร?”

ในดินแดนย่านพาณิชย์หยกมณี อยู่ระหว่างเขตเมืองเก่าและเขตจงเทียน

ถ้าเขาจำไม่ผิด โลกแห่งความมืดในดินแดนแห่งนี้ ถูกหยูจื๋อเฉิงควบคุมไปหมดแล้ว ไม่รู้ว่าหยูจื๋อเฉิงจัดให้ใครเป็นคนดูแล

ทำได้วุ่นวายขนาดนี้ กลับยังมีบ้าอำนาจกดขี่ข่มเหงคนอื่นอย่างเปาต๋าอยู่? ปล่อยหนี้นอกระบบ ยังรังแกครอบครัวหวงชิงซานถึงขนาดนี้?

“ฮาฮาฮา ฉันไม่คู่ควรรู้ชื่อของแก? ปากเก่งมากเลยนะไอ้หนุ่ม” เชี่ยจุนโมโหจนหัวเราะ พูดด้วยแววตาเหยียดหยาม “ยังถามว่าลูกพี่ฉันเป็นใคร? ฉันพูดออกมา อย่าว่าแต่แก พ่อแกก็คงจะตกใจตาย”

“พี่เชี่ย เท่าที่ฉันดู แค่ไอ้เด็กหน้าโง่ที่รนหาที่ตายเท่านั้น จัดการแล้วลากตัวขึ้นรถ จับตัวไปให้คนที่บ้านเอาเงินมาถ่ายตัว” เปาต๋าสีหน้าเย็นชา พูดออกแผนการ

“พี่เชี่ย พี่เปาพูดถูก มาอวดดีในถิ่นของพวกเรา ทำร้ายพี่น้องของพวกเรามากมาย ไม่ลากตัวมันไปจุ่มน้ำให้มันตื่นหน่อย มันยังไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร”

“ลูกพี่ ออกคำสั่งเลย ผมจะจัดการหักขาบอดี้การ์ดมันเลย มันสู้เก่งมากไม่ใช่เหรอ? ผมจะดูว่าหมัดมันหนักกว่า หรือว่ากระสุนของเราหนักกว่า”

ทันใดนั้น ลูกน้องของเชี่ยจุนต่างก็พากันพูดขึ้นมา จ้องหน้าหลินอิ่งอย่างโหดเหี้ยม

แน่นอน เท่าที่พวกเขากลุ่มนี้ดูแล้ว ซอยนี้ทั้งซอยถูกคนของตัวเองล้อมไว้หมดแล้ว ทุกคนต่างก็มีอาวุธในมือ ไอ้เด็กเมื่อวานซืนนี่ถึงจะมีบอดี้การ์ดที่ต่อสู้เก่งอยู่ข้างกาย จะฆ่าฟันออกไปได้หรือไง?

ขอแค่คำพูดพี่เชี่ยคำเดียว อยากจัดการไอ้หน้าโง่นี้ยังไงก็ได้

“ได้ พวกแกลงมือจับมันไว้” เชี่ยจุนโบกมือ “ในเมื่อไอ้เด็กนี่ไม่กล้าบอกชื่อตระกูลมา ถ้าอย่างนั้นลากตัวไปที่คลอง ค่อยๆสั่งสอน”

“ครับ”

คำพูดจบลง บอดี้การ์ดชุดสูททั้งหลายก็ดึงอาวุธออกมาอย่างไม่ลังเล ปืนที่ถูกห่อโดยกระดาษสีดำ ต่างก็ถูกโชว์ออกมา

มือปืนหลายคนยกมือพร้อมกัน ขณะที่กำลังจะจ่อไปที่หลินอิ่ง เสียงลมสะเทือนชิ้ว

เย่เฮยลงมือกะทันหัน ร่างพุ่งออกไปเหมือนดั่งสายลม กวาดขาออกไป ถีบบอดี้การ์ดหลายคนที่ชูปืนออกมากระเด็นไปไกลหลายเมตร ชนประตูกระจกกลิ้งออกไปข้างนอก

จากนั้น เขาดึงตัวเชี่ยจุนที่สูบซิการ์อยู่ สะบัดมือจนตัวหมุนร้อยแปดสิบองศา กลิ้งล้มลงบนพื้นอย่างแรง

“ยังกล้าโชว์ปืน? ฉันว่าแกนี่มันใจกล้าเกินไปแล้ว”

เย่เฮยเหยียบเท้าลงไปที่หลังเชี่ยจุน แปร่งประกายแรงสังหาร พูดอย่างเย็นชา

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท