ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 547 ทุบร้าน?

บทที่ 547 ทุบร้าน?

เย่เฮยขับรถอย่างใจเย็น ขับเคลื่อนอยู่บนถนนอันเจริญรุ่งเรือง

“เย่เฮย คุณรายงานกับผมในโทรศัพท์ สืบหาหน้าตาของคนต้าเหอได้แล้ว?” หลินอิ่งนั่งอยู่หลังรถ พูดอย่างใจเย็น

เมื่อคืนกลาดึก หลินอิ่งได้รับข้อความรายงานจากเย่เฮย บอกว่าสืบสถานการณ์ในตี้จิงได้บ้างแล้ว

เขาจึงเรียกพบเย่เฮยทันที ให้เย่เฮยมาอธิบายสถานการณ์ เวลาเดียวกัน ก็ไปที่ซอยหยกมณีสักรอบ ไปเรียกยอดฝีมือของตระกูลฉีออกมา

กลางดึกเมื่อคืน เหตุการณ์ที่ฉู่ฉู่ถูกลอบฆ่า ทำให้กระตุ้นความระมัดระวังของหลินอิ่งขึ้นมาอีกระดับ

ทางด้านตระกูลสวีและกงจิ่ว ฝีมือการปฏิบัติการรวดเร็วโหดเหี้ยม

เรื่องลอบทำร้ายคุณปู่ยังไม่ได้ชำระ พวกเขาก็คิดจะทำร้ายฉู่ฉู่ เห็นได้ชัดว่าไปสืบข่าวกรองมาแล้ว รู้ว่าฉู่ฉู่เป็นคนของตระกูลฉู่เตียนหนาน อย่างยืมมือฆ่าคน

ทางด้านเขาเอง ต้องเพิ่งความเร็วแล้ว รีบจับตัวกงจิ่วออกมาให้เร็วที่สุด

มิเช่นนั้น งูพิษอย่างกงจิ่วที่คอยแอบซ่อนในที่มืดของตี้จิง ไม่รู้ว่าจะโดดมากัดคนอีกเมื่อไหร่

“ท่านประมุข ผมสืบได้ความแล้ว บริษัทยามาโตะหยิงหวาเป็นองค์กรธุรกิจแห่งหนึ่งในต้าเหอ แต่ในที่ลับนั้นทำกิจการธุรกิจมืดทุกอย่าง” เย่เฮยขับรถไปด้วย ค่อยๆเล่าไปด้วย “ผมพาคนสะกดรอยตามผู้บริหารระดับสูงของบริษัทยามาโตะหยิงหวา หาจุดรวมตัวได้หลายแห่ง มีคนต้าเหอฝีมือดีติดตามอยู่”

“แต่ว่า คนต้าเหอกลุ่มนี้ไม่มียอดฝีมือที่เก่งเป็นพิเศษ กงจิ่วที่ท่านประมุขพูดถึงคนนั้นไม่น่าจะอยู่ในนี้” เย่เฮยพูด “ผมให้คนคอยจับตามองหลายจุดนี้แล้ว”

หลินอิ่งใช้นิ่วเคาะเข่าเบาๆ พูดช้าๆ “หาจุดรวมตัวของพวกเขาได้แล้ว? คุณสามารถตัดสินได้ไหม ในกลุ่มคนต้าเหอพวกนี้ ฝีมือดีที่สุดถึงระดับไหน?”

“นี่……” เย่เฮยลังเลไปสักพัก พูดอย่างจริงจัง “ผมไม่ได้ลองฝีมือด้วยตัวเอง จากการตัดสินด้วยสายตาของผม จุดรวมตัวทุกจุดของพวกเขา หัวหน้าของทุกกลุ่ม น่าจะมีฝีมือระดับรายการคน เท่าที่จับตาได้ตอนนี้ มีอยู่สามกลุ่ม”

แววตาหลินอิ่งค่อยๆเฉียบคมขึ้น ครุ่นคิดขึ้นมา

สามกลุ่ม ทุกกลุ่มมียอดฝีมือรายการคนหนึ่งคนนำทีม?

ฝีมือการปฏิบัติการแข็งแกร่งขนาดนี้ ไม่ใช่มาตรฐานที่ควรมีสโมสรธุรกิจทั่วไปควรมี

คนสำนักยุทธ์เชียนในอาคารเลคอาร์ตเมื่อคืน ดูเหมือนก็นำทีมโดยคนหนึ่ง นักดาบกลุ่มหนึ่ง…….

“เย่เฮย คุณดูออกไหมว่าพวกเขามาจากกลุ่มอำนาจไหนในต้าเหอ?” หลินอิ่งถาม

“ไม่ได้ลองมือด้วยตัวเอง ผมไม่อาจตัดสินได้” เย่เฮยตอบอย่างจริงจัง “แต่ว่า ผมมีความมั่นใจ กำจัดศูนย์รวมทั้งสามจุดอย่างราบคาบได้ในคืนเดียว”

หลินอิ่งพยักหน้าเล็กน้อย ฝีมือวิชาการต่อสู้ของเย่เฮยไม่ต้องสงสัย สามารถขึ้นลำดับรายงานดินในประเทศหลุงได้

“ให้คนของคุณจับตาไว้ อย่าเพิ่งทำอะไรวู่วาม จับตาความเคลื่อนไหวของพวกขาไว้” หลินอิ่งพูดอย่างเรียบเฉย

คนต้าเหอกลุ่มนี้เป็นนักฆ่ายอมพลีชีพฝังพิษไว้ในฟัน จับเป็นไม่ได้

กำจัดอย่างราบคาบจะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น สู้จับตาไว้ จะได้นำพาไปหาตัวกงจิ่วได้ นั่นถึงเป็นเรื่องหลักที่สำคัญ

“ครับ” เย่เฮยพยักหน้าอย่างเคารพ

ยี่สิบนาทีผ่านไป

เย่เฮยขับรถมาถึงเขตเมืองเก่า

เขตตะวันออก ซอยหยกมณี

เป็นเขตเมืองเก่าของตี้จิง เป็นถนนเมืองโบราณสายหนึ่งที่เต็มไปด้วยรูปแบบเก่า

บนถนนมีร้านขายของสะสมโบราณอยู่ไม่น้อย และร้านเก่าแก่ที่ขายหยกและอัญมณี มีรสชาติรูปแบบโบราณ

หลินอิ่งให้เย่เฮยจอดรถไว้ในลานจอดรถนอกซอย เดินเข้าไปในซอย

ไม่นาน หลินอิ่งพาเย่เฮย มาถึงร้านเหล้าแห่งหนึ่งที่ตกแต่งในสไตล์โบราณ

บนร้านเหล้ามีป้ายแบบเก่าแก่พื้นสีหลังแขวนอยู่ด้านบน “จ้วยเจียงซาน”

เดินเข้าไปในร้าน ด้านในมีแขกหลายโต๊ะกำลังกินข้าวอยู่ โครงสร้างไม่ใหญ่

แคชเชียร์ต้อนรับ เป็นหญิงสาวหน้าตาสวยงามคนหนึ่ง สวมใส่เสื้อผ้ากางเกงสไตล์เรียบง่าย ดูบุคลิกแล้วเหมือนนักศึกษา

“สวัสดีค่ะ กี่ท่าน?” แคชเชียร์สาวถามอย่างเกรงใจ

“สองท่าน” หลินอิ่งพูดอย่างเรียบเฉย “แล้วก็ผมมีเรื่องอยากถามคุณหน่อย เจ้านายของพวกคุณแซ่หวงหรือเปล่า?”

“ค่ะ ใช่ค่ะ” สีหน้าแคชเชียร์สีหน้าลังเล สังเกตมองหลินอิ่งอย่างละเอียด แววตาแปลกใจ “คุณคือเพื่อนของเจ้านาย? หาเจ้านายของเราทำไม?”

หลินอิ่งพูด “คุณช่วยแจ้งเจ้านายของคุณหน่อยได้ไหม? บอกว่า เพื่อนแซ่ฉีจากเขตจงเทียนมาหาเขา”

“ออ” แคชเชียร์สาวพยักหน้า “เจ้านายไม่ได้อยู่ในร้าน เอาอย่างนี้ ฉันโทรถามเจ้านายก่อน ถ้าหากพวกคุณจะกินข้าว ก็เชิญนั่งก่อน”

“ก็ดี” หลินอิ่งพยักหน้า

ตามนั้น ทั้งสองหาโต๊ะตัวหนึ่งนั่งลง สั่งกับข้าวสามอย่างน้ำซุปหนึ่งอย่าง

ผ่านไปสองสามนาที แคชเชียร์สาวเดินเข้ามา มองหลินอิ่งด้วยสีหน้าขอโทษ พูดว่า “ขอโทษด้วยค่ะ คุณผู้ชาย ลุงของฉันบอกว่าเขาไม่อยากเจอคุณ บอกว่า ให้คุณกลับไปบอกคุณฉีว่า เขาไม่ถามถ่ายเรื่องในอดีตแล้ว ต้องขออภัยด้วย”

“ออ?” หลินอิ่งแววตาสงสัยเล็กน้อย

นี่มันเรื่องอะไรกัน ไม่พบเขา?

สถานที่นายท่านบอกก็ไม่ผิด ซอยหยกมณี ร้านอาหารจ้วยเจียงซาน เจ้านายแซ่หวง

รหัสลับก็ถูกต้องแล้ว

เจ้านายแซ่หวงคนนี้ไม่พบเขา? ระหว่างนี้มีอะไรประหลาด?

“เจ้านายหวงเป็นลุงของคุณ?” หลินอิ่งมองไปที่หญิงสาว “ผมขอถามหน่อยได้ไหม ลุงของคุณท่านนี้อายุเท่าไหร่? ดูว่าเป็นเจ้านายหวงที่ผมหาหรือเปล่า”

แคชเชียร์สาวคิดไปมา พูดว่า “ลุงของฉันอายุห้าสิบกว่าแล้ว”

ได้ยินแล้ว ในใจหลินอิ่งก็รู้แล้ว ไม่ได้หาผิดคน

เพียงแค่ไม่ค่อยเข้าใจ บุญคุณความสัมพันธ์ของปู่ตัวเองก็ใช้ไม่ได้แล้วเหรอ?

คิดไปมา หลินอิ่งกำลังอยากพูดอะไรต่อ

ซือ ซือ ซือ

ทันใดนั้น ก็มีเสียงล้อรถดังขึ้น

เห็นเพียงรถเก๋งสีดำจอดอยู่หน้าประตู มีชายหนุ่มร่างสูงหลายคนเดินลงมาจากรถ แต่ละคนท่าทางโหดเหี้ยม คนที่เป็นหัวหน้า เนื้อแน่นเต็มหน้า ใส่แว่นกันแดดสีดำ

“หวงเสี่ยวเหมย ไอ้แก่ลุงของเธออยู่ไหน? วันนี้ไม่มาที่ร้านเหรอ ยังหลบฉันอีกใช่ไหม?”

พอเข้ามา ชายใส่แว่นกันแดดที่เป็นหัวหน้าคนนั้นก็ถามหญิงสาว

หวงเสี่ยวเหมยหันไปเห็นชายกลุ่มนี้ สีหน้าก็ซีดขาวไปทันที พูดอย่างตื่นเต้น “พี่เปา นี่…….ลุงของฉันช่วงนี้เขาป่วย ไม่ได้มาที่ร้านนานแล้ว”

“ป่วย? ป่วยก็ไม่ต้องจ่ายเงินแล้วเหรอ? ลุงของเธออยากตายใช่ไหม? แม้แต่เงินของฉันเปาต๋ายังกล้าล่าช้า?” พี่เปาถอดแว่นออก จ้องหวงเสี่ยวเหมยด้วยสายตาโหดเหี้ยม

“เธอก็ไม่รู้จัดไปสอบถามในซอยหยกมณีนี้ดูหน่อย ในซอยนี้มีใครกล้าติดเงินฉันไม่คืนบ้าง?” พี่เปาพูดอย่างโหดเหี้ยม “พวกเธอกำลังท้าทายความอดทนของฉัน วันนี้ถ้าลุงของเธอไม่มาพูดให้รู้เรื่อง ฉันก็จะทุบร้านนี้จนพังทั้งหมด”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท