ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 552 นายกล้าลงมือกับลูกน้องฉัน?

บทที่ 552 นายกล้าลงมือกับลูกน้องฉัน?

“คุณชายอิ่ง ผมเชื่อคำพูดของคุณ ผู้นำตระกูลฉี รักษาคำพูดตลอด” หวงชิงซานพูดอย่างจริงจัง “เพียงแต่ว่า คุณชายอิ่ง ผมมีเรื่องหนึ่งไม่เข้าใจ คุณบอกผมได้ไหม ชายหนุ่มข้างกายท่านนี้ มาจากไหนกันแน่?”

“เขา ทำไมถึงมีวิชาการต่อสู้ในแบบเดียวกัน กับผู้ลึกลับที่ต่อสู้กับผมในคืนนั้น”

ได้ยินแล้ว เย่เฮยที่ยืนอยู่ข้างหลังหลินอิ่ง ขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่ได้พูด

หลินอิ่งสายตาค่อยๆเฉียบคมขึ้น มองไปที่หวงชิงซาน พูดว่า “ท่านปู่หวง แน่ใจไหม คนที่ต่อสู้กันคืนนั้น มีวิชาการต่อสู้แบบเดียวกับเย่เฮย”

“คุณชายอิ่ง ถึงวิชาการต่อสู้ของผมจะสู้กับคุณไม่ได้ แต่ใช้ชีวิตในแวดวงลึกลับมาครึ่งชีวิต สายตาแค่นี้ยังพอมีอยู่” หวงชิงพูดอย่างเคร่งขรึม “ผมกับคนกลุ่มนั้นความแค้นลึกซึ้ง จะลืมได้อย่างไร?”

หลินอิ่งพยักหน้าเล็กน้อย พอเข้าใจสถานการณ์แล้ว

เย่เฮยเป็นหัวหน้าองครักษ์มังกรดำในอดีต ยอดฝีมืออันดับสองรองมาจากหัวหน้าสำนักมังกรดำหยังสวนเจิงเท่านั้น

วิชาการต่อสู้ของเขา สำนักอู่เหมินสิบสองของแก๊งมังกร วิชาการต่อสู้ดั้งเดิมที่สุดของสำนักมังกรดำ

แน่นอน วิชาการต่อสู้บางอย่างของเย่เฮย ก็เป็นที่สืบทอดกันในแก๊งมังกร

แต่ไม่ว่ายังไง ได้รับข่าวสารจากหวงชิงซานแล้ว ในใจหลินอิ่งสามารถแน่ใจได้แล้ว

ยอดฝีมือลึกลับกลุ่มนั้นที่โค่นล้มตระกูลฉีในคืนนั้น ต้องมาจากแก๊งมังกรดำแน่นอน

ถึงจะไม่ใช่องครักษ์มังกรดำที่อยู่ภายใต้การควบคุมของท่านมังกรดำ ก็ต้องเป็นยอดฝีมือกลุ่มอื่นในแก๊งมังกร

“ท่านปู่หวง เย่เฮยเป็นคนสนิทของผม ฐานะของเขา วันนี้ผมยังบอกคุณไม่ได้” หลินอิ่งมองหวงชิงซาน พูดอย่างหนักแน่น “ผมรู้จักยอดฝีมือลึกลับที่คุณพูดถึง ว่ามาจากไหน แต่ว่า ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่คุณควรรู้”

“คุณชายอิ่ง นี่คุณ……” หวงชิงซานสีหน้าแปลกใจเล็กน้อย มองเย่เฮยด้วยแววตายังคงไม่ค่อยวางใจ

แต่ว่าเห็นท่าทางของหลินอิ่งที่มั่นใจแบบนี้แล้ว เขาก็ไม่ได้ถามอะไรมาก

เพราะว่า ยอดฝีมือความสามารถระดับหลินอิ่ง เดินมาถึงระดับนี้แล้ว กลยุทธ์ที่ชาญฉลาด จะอยู่รองจากเขาได้อย่างไร?

“ท่านปู่หวง คุณวางใจได้ ความแค้นนี้ของคุณ ผมต้องช่วยคุณชำระแน่นอน” หลินอิ่งค่อยๆพูด “แต่ว่า ยังไม่ถึงเวลา ครั้งนี้ที่ผมมาเชิญคุณออกไป เพราะมีเรื่องอื่น”

“ได้ คุณชายอิ่ง มีคำพูดนี้ของคุณ ผมก็หมดห่วงแล้ว” หวงชิงซานพูดอย่างจริงจัง “ในเมื่อคุณมีความจริงใจเช่นนี้ ผมก็ไม่พูดอะไรแล้ว ขอแค่มีความต้องการ ก็สั่งได้เลย”

สิ่งที่หวงชิงซานปล่อยวางไม่ได้ในชีวิตนี้ ก็คือการต่อสู้เลือดนองในครั้นนั้น

เสียดาย เขารู้ดีลำพังความสามารถของตัวเอง เกรงว่าชาตินี้คงไม่อาจล้างแค้นได้

วันนี้หลินอิ่งรับปากจะช่วยเขาแก้แค้นแล้ว

ในใจของเขาก็ไม่ได้มีความคิดอื่นแล้ว จะรับใช้ฟังคำสั่งของหลินอิ่งเท่านั้น

“แต่ว่า คุณชายอิ่ง ตอนนี้ผมเหลือแค่ตัวเองที่อยู่รอด ไม่มีอำนาจที่สามารถใช้ได้แล้ว” หวงชิงซานถอนหายใจพูด “เกรงว่า ความสามารถในการช่วยเหลือคุณชายอิ่ง มีไม่มากนัก”

“ท่านปู่หวง ความสามารถของคุณคนเดียว พอแล้ว” หลินอิ่งพูดอย่างหนักแน่น

หวงชิงซานนั้นมีความสามารถจริง น่าจะสามารถจัดอยู่ในลำดับรายการดินประเทศหลุง เทียบกับเย่เฮยแล้วยังสูงกว่าระดับหนึ่ง

ยอดฝีมือระดับนี้ ในแวดวงลึกลับนั้นต่างก็เป็นที่ต้องการของมหาอำนาจต่างๆ

ถึงแม้ตัวเองมีความสามารถล้นฟ้า แต่ในมือ ก็ยังขาดยอดฝีมือที่ช่วยทำงาน ยังขาดคนเก่งอย่างหวงชิงซานแบบนี้ที่จะคอยช่วยต่อสู้ในที่ลับ

“ผมจะช่วยคุณจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยเอง เย่เฮย จะออกปฏิบัติการพร้อมคุณ” หลินอิ่งพูดอย่างจริงจัง

“อีกอย่าง ท่านปู่หวง ผมยังอยากทราบอีกเรื่องหนึ่ง” หลินอิ่งถาม “คุณบอกว่าหลังจากเรื่องนั้นแล้ว ยังมีคนตามฆ่าคุณ? คือใคร?”

หวงชิงซานลังเลสักพัก พูดอย่างจริงจัง “คุณชายอิ่ง ผมไม่อยากมีอะไรปิดบังคุณแล้ว สมัยหนุ่มผมใช้ชีวิตในแวดวงลึกลับ สร้างความขุ่นเคืองกับคนไม่น้อย มีศัตรูมากมาย หลังจากการสู้รบในคืนนั้นแล้ว มีคนไม่น้อยคอยตามล่าผม”

“ในนั้น ที่ทำให้ผมกลัวที่สุดก็คือ ยอดฝีมือลึกลับที่อยู่เบื้องหลังตระกูลเหวินกลุ่มนั้น หลังจากเรื่องนั้น คนกลุ่มนั้นยังตามฆ่าผมอยู่หลายครั้ง สุดท้ายถูกผมฆ่าไปกลุ่มหนึ่ง ตัดขาดร่องรอย ถึงได้จบลง” หวงชิงซานค่อยๆพูด “หลังจากนั้น ผมก็ไม่เคยแสดงฝีมือที่ไหนอีกเลย ทำเหมือนคนธรรมดาทั่วไป กลัวว่าหากแสดงฝีมือมีข่าวออกไปในตี้จิง จะเป็นอันตรายต่อยายหนูเสี่ยวเหมย”

หลินอิ่งพยักหน้า พูดว่า “ท่านปู่หวงวางใจได้ ทำงานให้ผม ในตี้จิง ผมไม่ให้คุณและหวงเสี่ยวเหมยเกิดอันตรายอะไรขึ้นแน่นอน”

“กลุ่มคนพวกนั้นที่คุณบอกยังตามฆ่าคุณอยู่? ยังจำร่องรอยได้ไหม?” หลินอิ่งถามต่อ

หวงชิงซานเพราะการต่อสู้กับตระกูลเหวินครั้งนั้น ได้สัมผัสกับยอดฝีมือลึกลับของแก๊งมังกร คนเดียวที่พบเห็นเหตุการณ์

เรื่องเกี่ยวกับแก๊งมังกร หลินอิ่งไม่ยินยอมที่จะรั่วไหลเลยแม้แต่น้อย

เพราะว่า ท่านมังกรดำซ่อนตัวอยู่ในที่ลับ

ยังมีองครักษ์มังกรเขียวในตี้จิง ครั้งที่แล้วที่เขาไปสำนักใหญ่ขององครักษ์มังกรเขียวที่อำเภอหลงซิง แต่กลับพบเรื่องไม่คาดคิด

องครักษ์มังกรดำในเมืองก่างเปลี่ยนผู้นำนานแล้ว ถ้าเช่นนั้น องครักษ์มังกรเขียวเดิมที่ประจำในตี้จิง ตอนนี้สถานการณ์เป็นยังไง? จะมีคนโหดอย่างท่านมังกรดำประจำอยู่หรือไม่ และยังแอบจับตามองทุกการเคลื่อนไหวของเขาตลอดเวลา?

นี่เป็นเรื่องใหญ่ที่หลินอิ่งจดจำไว้ในใจตลอดเวลา

“คุณชายอิ่ง ไม่เหลือร่องรอยแล้ว แต่ว่าผมสามารถแน่ใจได้ ยอดฝีมือลึกลับกลุ่มนั้นมีเครือข่ายความสัมพันธ์และเครือข่ายข่าวกรองอันแข็งแกร่งในตี้จิง” หวงชิงซานพูดอย่างจริงจัง “อำนาจในที่ลับของพวกเขาในตี้จิง มหาศาลมาก”

“แน่นอน ลูกศิษย์ทั้งเจ็ดของผมล้วนเป็นยอดฝีมือรายการคน ภรรยาของผมก็มีวิชาการต่อสู้ใกล้เคียงรายการดินแล้ว เพื่อนรักสองคนวิชาการต่อสู้หลายสิบปีก็ไม่ต่ำกว่ารายการดิน” หวงชิงซานค่อยๆพูด “กลุ่มยอดฝีมือแบบนี้ แต่กลับถูกฆ่าล้างในชั่วค่ำคืน……”

“คนกลุ่มนั้น ต้องมาจากมหาอำนาจระดับใหญ่สิบอันดับต้นในแวดวงลึกลับแน่นอน แต่ว่าผมก็ยังเดาไม่ออกว่ามาจากอำนาจฝ่ายไหน ในเมื่อคุณชายอิ่งรู้แล้ว ผมก็ไม่คิดมากแล้ว วันนี้ก็ฟังคำสั่งคุณชายอิ่งเท่านั้น”

หวงชิงซานพูดด้วยสีหน้ามีความรู้สึกลึกซึ้ง

แน่นอน กลุ่มยอดฝีมือที่หวงชิงซานพาออกไปนั้น เรียกได้ว่าสุดยอด พอเพียงที่จะกวาดล้างโลกธรรมดาแล้ว…….

ถูกคนฆ่าล้างในชั่วค่ำคืน ช่างเศร้าโศกจริง

หลินอิ่งพยักหน้า พูดว่า “ท่านปู่หวง เก็บข้าวขาวก่อนเถอะ คืนนี้ ผมอาจจะพาคุณไป ทดลองฝีมือหน่อย”

ซือซือซือซือ

ในเวลาเดียวกัน นอกร้านก็มีเสียงจากล้อรถยนต์ดังกึกก้อง

เสียงติ๊ดติ๊ดติ๊ด เสียงแตรดังมาไม่ขาดสาย

เห็นเพียง บนถนนหน้าร้าน มีรถเก๋งสีดำเป็นทีมขับเข้ามาเป็นคันๆ

ทั้งหมดสิบกว่าคัน คันที่นำทีมนั้นคือไมบัคสีดำคันหนึ่งอันแข็งแกร่ง

เสียงฮวั๊ก ชายหนุ่มเสื้อสูทสีดำหน้าตาโหดเหี้ยม เปิดประตูอย่างรวดเร็ว แล้ววิ่งลงมา

คนประมาณสามสี่สิบคน ล้อมร้านอาหารจ้วยเจียงซานไว้อย่างรวดเร็ว

ชายวัยกลางคนสวมเสื้อเชิ้ตสายดอก คลุมเสื้อกันหนาวสีดำ ปากสูบซิการ์ ท่ามกลางการปกป้องของบอดี้การ์ดร่างใหญ่สองนาย ค่อยๆเดินเข้ามาในร้าน

ส่วนเปาต๋าก็ตามอยู่ด้านหลังของชายร่างใหญ่คนนี้ จ้องหลินอิ่งด้วยสายตาโหดเหี้ยม

“น้าชาย ก็คือมัน ไอ้เด็กเวรคนนั้น ไม่รู้ว่าเป็นคุณชายตระกูลไหน กลับกล้าพาคนมาก่อเรื่องที่นี่ ทำลายมือของผม” เปาต๋าพูดอย่างดุร้าย

“แกเหรอไอ้เด็กเวร? กล้าลงมือกับลูกน้องฉัน?”

ชายวัยกลางคนหวีผมโมฮอก หน้าตาอวดดี ถือซิการ์ไว้ ยื่นมือชี้หน้าหลินอิ่ง

“ไอ้เด็กขนยังงอกไม่เต็มเลย ความกล้าไม่เบานะ ไป จับตัวไอ้เด็กนั่นไว้”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท