ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 564 แกเป็นอะไรกับหล่อน?

บทที่ 564 แกเป็นอะไรกับหล่อน?

อาจารย์หลี ดูเหมือนเกรงกลัวในอิทธิพลของหูบาเป็นอย่างมาก ยิ้มประจบพูดว่า “ท่านประธานหูคะ ท่านวางใจเถอะค่ะ ดิฉันจะต้องตามเอาคนของหล่อนมาให้ได้ ถึงผู้ปกครองหล่อนไม่ยอมมา ดิฉันก็จะไม่ให้หล่อนเข้าเรียนอีกต่อไป หล่อนได้ทำผิดกฎระเบียบของโรงเรียนแล้ว หากท่านยังไม่พอใจอีก ดิฉันก็จะให้หล่อนออกจากโรงเรียนไปเลย ถึงเวลานั้น คนที่บ้านหล่อนยังไงก็ต้องมาแน่แล้วละคะ”

“ฮึ!อาจารย์หลี จะให้ดีนะ คุณต้องจัดการเรื่องนี้ให้เคลียร์ คุณรู้ไหม ประธานเซ่ ของสถาบันนี้ เป็นอะไรกับฉัน ถ้าคุณเคลียร์ไม่ชัดเจน คุณก็ไม่ต้องอยู่ที่โรงเรียนนี้อีกต่อไป”หูบาพูดข่มขู่ นั่งลงที่เก้าอี้ครู สบัดขาขึ้นไขว่ห้าง

“ค่ะๆ ..เรื่องนี้ดิฉันเข้าใจค่ะ ทราบดีค่ะ ท่านประธานเซ่ ได้โทรศัพท์มาบอกดิฉันแล้วค่ะ”อาจารย์หลีพูดด้วยประจบยิ้ม

พูดจบ อาจารย์หลีตีหน้าบึ้ง หันกลับไปมองหยังสู้สู้ พูดเสียงเข้มว่า “หยังสู้สู้ ก้าวเข้ามานี่”

หยังสู้สู้ก้าวเข้าไปอย่างว่าง่าย

“เธอรีบเข้าไปขอโทษยอมรับผิดกับเพื่อนนักเรียนแซ่หู ซิ และกล่าวคำขอโทษท่านประธานหูด้วย ยอมรับผิด และรีบตามคนที่บ้านเธอมาให้เร็วที่สุด รู้ไหม?”อาจารย์หลีพูดตะคอกใส่ น้ำเสียงเต็มไปด้วยอำนาจ

“อาจารย์..อาจารย์หลี หนู หนูไม่ผิด”หยังสู้สู้ ปาดน้ำตาแล้วพูด “ก็เพราะหูเจี้ยนเค้าเอาเครื่องดื่มมาสาดใส่หนูก่อน แล้วยังชวนเพื่อนๆ มาล้อหนู ว่าหนูไม่มีพ่อ ไม่มีแม่ ฮือๆๆๆ ………”

“อาจารย์ครับ ผมเพียงเผลอทำขวดเครื่องดื่มหล่น เลยกระเด็นไปถูกหน้าเค้า เค้าก็ยังมาตบผมอีกทีหนึ่ง”น้ำตาตรงขอบตาหยังสู้สู้เอ่อล้นไหลออกมาอีก แต่แววตาเต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยว “หูเจี้ยนมันด่าพ่อของหนู ฉะนั้น หนูจะไม่มีวันขอโทษมัน หนูไม่ขอโทษ!”

“เธอนี่มันเด็กพิลึก เธอว่าหูเจี้ยนด่าเธอ ด่าอะไรเธอ ฮ๊ะ?”อาจารย์หลีจ้องตาเขม็งใส่หยังสู้สู้อย่างไม่สบอารมณ์ “นักเรียนหู บอกว่าเธอไม่มีพ่อแม่ พูดผิดหรือ? เธอก็ไม่มีพ่อแม่อยู่แล้ว คนเขาจะพูดเรื่องจริงก็ไม่ได้เชียวหรือ? แค่นี้เธอก็เขวี้ยงขวดน้ำใส่เค้า แค่นี้เธอก็ตบตีคนได้หรือ? เธอช่างเป็นเด็กไม่มีการอบรมสั่งสอนจริงๆ มิน่าเพื่อนนักเรียนจึงไม่มีใครไม่อยากยุ่งกับเธอ”

“จะว่าไปก็อีกนะ ทำไมนักเรียนหูถึงต้องรังแกแต่เธอ? จ้องสาดน้ำเลอะเทอะใส่หัวเธอ ไม่เห็นไปรังแกคนอื่นไปล้อคนอื่นบ้าง”อาจารย์หลีพูดอย่างเป็นเหตุผล “ตบมือข้างเดียวมันไม่ดังนะ เธอเอาไปคิดให้ดี หรือใครๆ ทุกคนจ้องแต่จะหาเรื่องเธอคนเดียว”

“หนู…หนู!”สีหน้าน้อยใจสุดๆ เต็มบนใบหน้าหยังสู้สู้ ไม่รู้จะพูดโต้คำพูดอาจารย์หลีได้อย่างไร

“อาจารย์ อาจารย์นั่นแหละจ้องเล่นงานหนู”หยังสู้สู้เชิดปากขึ้นพูดอย่างไม่ยอมสยบ “ท่านลำเอียง เห็นอยู่ชัดๆ ว่าหูเจี้ยนมันผิด”

“อ้าวๆ นี่เธอกล้าย้อนได้แม้ขนาดคำพูดของครูเลยนะ เธอนี่มันเรียนหนังสือไปเสียเปล่าจริงๆ ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงว่าใครเป็นครูบาอาจารย์ อายุเพียงน้อยๆ ไม่ยอมรับการสั่งสอน ให้เธอโตขึ้นแล้วจะใช้ได้หรือจะหวังให้มีอะไรเป็นเรื่องเป็นราวได้”อาจารย์หลีว่าออกมาด้วยความโกรธ

“เราโรงเรียนชิงถึงนี้ล้วนชนชั้นผู้ดีมีสกุล สถาบันการศึกษาระดับมาตรฐานสูง มีม้าแหกคอกอย่างเธอ ขืนใครเล่าออกไปคงเป็นเรื่องโจทก์ขานให้ชาวบ้านนินทาว่ามีนักเรียนประเภทนี้ออกมาได้ยังไง!”

“มานี่ ยื่นมือออกมา”

อาจารย์หลีวางมาดอำนาจเต็ม ขยับแว่นขึ้น อีกมือคว้าเหล็กฟุตจะฟาดมือหนูน้อยหยังสู้สู้

“ไม่!คุณครู หนูไม่ผิด คุณครูทำไมต้องตีหนู?”หยังสู้สู้ส่ายหัวไปมา ความรู้สึกน้อยใจ ความไม่พอใจแสดงออกเต็มหน้า

“ยังว่าไม่ผิดอีก เธอดูหน้านักเรียนหู ซิ รอยข่วนจากเธอทำเอาห้อเลือดเต็มหน้า”อาจารย์หลีหน้าบึ้งพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ ชี้ไปที่กลุ่มเด็กชายที่ยืนแอบหัวเราะอยู่ข้างๆ

“แต่…แล้วคุณครูทำไมไม่ดูหน้าหนูละคะ ตะกี้เขาก็ตบหนูตั้งหลายที หนูก็เจ็บมาก”หยังสู้สู้ตอบด้วยความน้อยใจ

“หยังสู้สู้ นั่นมันสมน้ำหน้าแล้ว ใครให้เธอโยนขวดน้ำใส่หน้าฉัน”หูเจี้ยนย้อนตอบด้วยสีหน้าสะใจ ยืนแอบเข้าไปข้างตัวผู้เป็นพ่อ แบะปากล้อเลียน

“มันชักจะเกินไปใหญ่แล้ว ขนาดครูบาอาจารย์ยังไม่เคารพ คำตักเตือนของคุณครูก็ไม่ยอมฟัง เด็กเถื่อนอย่างนี้ ไม่มีพ่อแม่อบรมสั่งสอน ไม่รู้ไอ้คนที่เป็นผู้ปกครองจะเป็นพวกเศษเดนแบบไหน”หูบาขยับซิก้าในปาก พูดออกมาอย่างแดกดัน

อาจารย์หลีเห็นประธานหูไม่พอใจ เลิกคิ้วขึ้น

“ยื่นมือออกมา”

หล่อนก้าวเข้าไปคว้ามือของหยังสู้สู้..ขวับ..ขวับ…ฟาดเหล็กฟุตลงไปสองที

“ว้า…โฮ….”

ฟาดจนหยังสู้สู้ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ฝ่ามือแดงบวม

“คุณทำอะไรนั่น?”

ในทันใดนั้นเอง เสียงตวาดเหี้ยมที่แฝงด้วยความโกรธดังเข้ามา

ทำเอาอาจารย์หลีสะดุ้งชะงักมือ กวาดตามองไป

ที่เห็นอยู่หน้าห้องทำงาน เป็นชายวัยหนุ่มในเสื้อเชิ้ตงูขาวกับการแต่งตัวสะอาดเรียบง่าย สีหน้าเย็นชาที่กำลังจ้องหล่อนอยู่

“โฮ….คุณอาหลิน ท่านมาแล้ว หนู…….”หยังสู้สู้พอเห็นหลินอิ่ง ตื่นเต้นตื้นตันจนพูดไม่ถูก รีบวิ่งถลาเข้าไปหา กอดขาของหลินอิ่งแน่น

หลินอิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย มองความน่าสงสารของหยังสู้สู้ ในใจเกิดความโกรธพลุ่งขึ้นมา ลูบหัวหล่อนเบาๆ

“ไม่ต้องกลัว อาอยู่ข้างๆ หนูแล้ว”หลินอิ่งพูดยิ้มๆ

หยังสู้สู้ผงกหัวรับรู้

“คุณผู้นี้? คุณเป็นอะไรกับหยังสู้สู้คะ”อาจารย์หลีมองหลินอิ่ง ถามอย่างสงสัย

“ผมเป็นอาของเค้า”หลินอิ่งพูดขึงขัง กวาดตามองหน้าแต่ละคนที่อยู่ในห้อง

“อา..? แล้วพ่อแม่เด็กทำไมไม่มา”อาจารย์หลีถามด้วยสีหน้าไม่พอใจ “เด็กคนนี้ผลการเรียนก็แย่มาก และไม่ให้ความเคารพครูบาอาจารย์ อีกทั้งยังทำร้ายเพื่อนนักเรียน ทางเราได้ตัดสินให้เขาออกแล้วค่ะ จะให้ดี คุณควรจะให้พ่อแม่ของเค้ามาเองนะคะ”

“นั่น ท่านผู้นี้คือผู้ปกครองของเด็กนักเรียนที่ถูกหล่อนทำร้าย ต้องการจะขอพบผู้ปกครองของหยังสู้สู้ เพื่อคุยปัญหากันให้รู้เรื่อง”

“คุณครูครับ คุณครูคงเป็นครูประจำชั้นของหยังสู้สู้มังครับ เด็กคนนี้ พ่อแม่ไม่อยู่แล้ว ผมเป็นผู้ปกครองดูแลเขา”หลินอิ่งพูดอย่างชัดเจน

“พ่อแม่ไม่อยู่แล้ว? มิน่า ว่าแล้วไหมละ เป็นเด็กไม่มีพ่อไม่มีแม่ มิน่าถึงได้รับการอบรมมาแบบนี้ ขยะแท้ๆเลย”หูบามองหน้าหลินอิ่งด้วยสีหน้าดูแคลน แค่นหัวเราะแล้วพูดว่า “สอนเด็กมาซะเป็นแบบนี้ อายุเพียงน้อยๆ ก็ไม่รู้จักเคารพครูบาอาจารย์แล้ว อีกทั้งยังทุบตีเพื่อนนักเรียน เห็นได้เลยว่าไอ้คนที่สั่งสอนเด็กคนนี้มา มันสวะที่ไร้คุณภาพขนาดไหน”

“เฮอะ เหอ ไอ้เด็กละอ่อนอย่างนี้ ไปคุยอะไรเรื่องการอบรมสั่งสอน ฉันดูมันก็ไอ้พวกเดนสังคม พวกไม่มีวัฒนธรรม ไม่รู้คิดมาได้ยังไงส่งเด็กมาเรียนในโรงเรียนชั้นสูงระดับนี้”หญิงวัยกลางคนพูดด้วยยิ้มเยาะ

ได้ยินดังนั้น หลินอิ่งขมวดคิ้วย่นเล็กน้อย ไม่พูดอะไร หันไปมองหยังสู้สู้

“สู้สู้ เกิดอะไรขึ้นในโรงเรียน เล่าให้คุณอาฟัง”หลินอิ่งถามด้วยใบหน้ายิ้ม

“เรื่องเป็นอยางนี้ค่ะ………”หยังสู้สู้จัดรายเรียงเล่าเรื่องทั้งหมดให้หลินอิ่งฟัง

“เอาล่ะ คุณอารู้ละ”

หลินอิ่งมองไปทางหูบากับอาจารย์หลี ด้วยใบหน้าเฉยนิ่ง มีแต่แววตาที่เยือกเย็นเห็นแล้วให้หนาว

“อาจารย์หลี ท่านว่าหยังสู้สู้ไม่เคารพครูบาอาจารย์ ตบตีเพื่อนนักเรียน”หลินอิ่งพูดเรียบๆ “ถ้างั้น ผมอยากจะฟังหน่อยว่า เด็กตัวน้อยๆ แค่นี้ไม่รู้จักเคารพครูบาอาจารย์ยังไง แล้วตบตีเพื่อนนักเรียนยังไง?”

“อ้าว..นี่มันอะไรกันคะคุณ คุณกำลังสอบถามพวกเราที่เป็นครูบาอาจารย์นี่นะ”อาจารย์หลีพูดด้วยความไม่พอใจ “แยกแยะให้ชัดเจนหน่อยนะคะ ดิฉันเป็นครูสายอาชีพ คุณเป็นอะไร หรือคุณคิดว่าคุณรู้เรื่องการให้การศึกษาเด็กนักเรียนได้ดีกว่าพวกเรา”

“เด็กคนนี้นี่ มันหมดหนทางช่วยแล้ว ผลการเรียนก็แย่มากแล้ว เมื่อตะกี้นี้ยังย้อนเถียงดิฉัน”อาจารย์หลีพูดอย่างไม่ยอมความ “ถึงยังไงก็ตามต้องบอกว่าห้องของดิฉันนี้ ไม่ต้องการเด็กคนนี้ อีกเรื่องหนึ่ง คือ ให้ดีที่สุด คุณต้องคุยกับคุณพ่อคุณแม่ของเด็กชายหูเจี้ยนให้รู้เรื่อง ไปตบตีลูกเค้าซะขนาดนี้”

“อ้อ..นี่คือจุดยืนของอาจารย์หลี นะ”หลินอิ่งพูดด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก หันกลับไปมองหูบา

“คุณต้องการคำตอบ? ไหนคุณลองว่ามา ตบตีลูกคุณขนาดไหน?”หลินอิ่งถามอย่างเย็นชา

“และผมก็อยากจะถามด้วยว่า รอยตบบนหน้าของหยังสู้สู้ ใครตี? มันเป็นฝีมือของไอ้คนอายุกี่สิบขวบ แล้วมาเล่นไม่เป็นเรื่องอย่างไร้ยางอายแบบนี้?”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท