ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 567 ผอ.โรงเรียนมาคุย

บทที่ 567 ผอ.โรงเรียนมาคุย

โดยข้อเท็จจริง ความมั่นใจในตัวเองเป็นสิ่งสำคัญที่สุด

โดยเฉพาะกับหยังสู้สู้ที่ตั้งแต่อายุยังน้อย ในช่วงวัยเด็กอ่อนก็ถูกแม่เลี้ยงทารุณให้แล้ว ในใจฝังลึกด้วยปมด้อยชัดเจน ตอนนี้อยู่ในโรงเรียน ยังมาถูกเพื่อนนักเรียนกลั่นแกล้งอย่างนี้ อีกยังถูกครูบาอาจารย์กดดันอย่างไม่เป็นธรรม ต้องประสบพบกับเรื่องเลวร้ายแบบนี้

เด็กสาวเล็กๆ ขนาดนี้ ตั้งแต่วัยเด็กเล็กถูกครอบด้วยเงาดำมืด ทั้งยังไม่ได้รับการดูแลด้วยความรักจากพ่อแม่ ชั่วชีวิตทั้งชาติที่จะอยู่ต่อไปคงไม่มีวันได้โงหัวขึ้นแน่

“หนู เข้าใจค่ะ คุณอา”หยังสู้สู้ ผงกหัวอย่างหนักแน่น แววตาที่แน่วแน่ เดินก้าวเข้าไปหาหูเจี้ยนที่เลิ่กลั่กทำตัวไม่ถูก

“นี่แก!แกคิดจะทำอะไร? แกยังคิดจะให้ยัยเด็กไม่มีคนสั่งสอนนั่น มาตบลูกฉันอีกหรือ?”เมียของหูบาพูดอย่างตระหนกตื่น คิดหวังจะปกป้องลูกตัวเอง

“โอ๊ย อ่า…”

ขณะที่หล่อนกำลังโวยวาย หลินอิ่งบิดแขนหูบาอย่างแรง ปวดจนเขาร้องเสียงหลง

“คุณรับเงินของผมไปแล้ว ทำไมจะตบตีลูกคุณไม่ได้ มีปัญหามั้ย?”หลินอิ่งถามเสียงเยือกเย็น

“ไม่…ไม่มีปัญหา”หูบาพูดเสียงหอบขัดๆ “ยัยเมีย ปล่อย ปล่อยเด็กหญิงคนนั้นตบตี ไม่เป็นไร ลูกเราไม่ขาดทุนเท่าไหร่หรอก”

“เพี๊ยะ..!”

หยังสู้สู้ตรงเข้าไปตบหูเจี้ยนเต็มแรง

หูเจี้ยนที่ยืนอยู่ตรงนั้น ตอนนี้ขวัญกระเจิงจนทำอะไรไม่ถูก

“เธอก่อนหน้านี้ตบฉันทีหนึ่ง ฉันก็ตบเธอคืนทีนึง คุณอาหลินให้ฉันตบเธอ 19 ที ฉันก็ไม่อยากจะตบเธอแล้วหละ ทีหลัง เธออย่ามาด่าว่าเรื่องพ่อแม่ฉันอีกนะ”หยังสู้สู้พูดกับหูเจี้ยนอย่างจริงจัง แล้วหันหลังเดินกลับไปหาหลินอิ่ง

“คุณหลินครับ ตอนนี้คุณพอใจแล้วนะ ปล่อยผมได้ยัง?”หูบากดเสียงทุ้มพูด ฝืนเก็บอารมณ์ลงไว้

ในชั่วขณะนี้เขาต้องตีสีหน้ายอมให้ แต่ในใจสุดแสนจะเจ็บแค้น หลินอิ่ง

ได้แต่รอหวังให้หลินอิ่งคลายมือออก เขาจะได้สั่งระดมคน ไม่นานคงได้จับตัวหลินอิ่งมาสั่งสอนให้สาแก่ใจ

“ผมบอกแล้วว่า เรื่องที่เมียคุณตบตีหยังสู้สู้ยังไม่ได้เคลียร์”หลินอิ่งพูดเนิบๆ

“นี่แกคิดจะเอายังไงอีก?”หูบาฝืนเก็บอารมณ์โกรธถาม

“แกเป็นใคร ไม่รู้จักเคารพกฎหมายบ้านเมือง กล้าดียังไงมาก่อกวนในโรงเรียนชิงถึง รู้ไหมว่าใครเป็นใคร ใครเป็นประธานคณะกรรมการอำนวยการ ที่นี่?”

ในขณะนั้นเอง นอกห้องทำงานมีเสียงตวาดดังเข้ามา

ปรากฏเป็นชายหัวล้านวัยกลางคน แต่งชุดสากลผูกเนคไท หน้าตาอิ่มเอิบอย่างมีบารมีเดินเข้ามา

หลังชายกลางคนหัวล้าน เป็นฝูงรปภ.ของโรงเรียนเดินตามกันมา

“ครูใหญ่ซุนคะ ไอ้เด็กหนุ่มคนนี้แหละ ดูเหมือนจะแซ่หลิน เป็นผู้ปกครองของเด็กหญิงหยังสู้สู้ ที่ตบตีลูกของท่านประธานหูค่ะ ไอ้หนุ่มแซ่หลินนั่นมันไม่ยอมรับคะ ตอนนี้มันจับประธานหูอยู่ตรงนั้น กำลังก่อกวนอยู่ค่ะ”ครูผู้หญิงคนหนึ่งที่มากับชายหัวล้านรีบเล่าเหตุการณ์

คงเป็นครูผู้หญิงใส่แว่น—อาจารย์หลี นั่น ไม่รู้หลบออกไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ไปตามเอาคนกลุ่มนี้เข้ามา

“ฉันเป็นครูใหญ่โรงเรียนชิงถึงแห่งนี้!ฉันจะบอกแกนะ แกมาก่อกวนในโรงเรียนนี้ อีกทั้งยังกล้าทำร้ายท่านประธานหู แกนี่จบไม่ได้ดีเป็นแน่แท้”ครูใหญ่ซุนถลึงตาจ้องหลินอิ่ง พูดเตือนอย่างข่มขู่

“แกรีบปล่อยท่านประธานหูให้ฉันทันทีเดี๋ยวนี้นะ ไม่อย่างนั้น ฉันจะโทรฯ.บอกให้ท่านผู้อำนวยการหลี่ มาจับกุม!ประธานเซ่ของสถาบันเรามีความสนิทกับผู้อำนวยการหลี่เป็นอย่างมากนะ”

ครูใหญ่ซุนยืนเท้าสะเอว ใช้น้ำเสียงออกคำสั่งตะคอกใส่หลินอิ่ง

ส่วนกลุ่มรปภ.ของโรงเรียน ก็ทยอยเข้ามาในห้อง ยืนรายล้อมหลินอิ่งห่างอยู่ในระยะ 5 เมตร

“ประธานเซ่ หรือ? คุณไปบอกให้ ประธานผู้อำนวยการของพวกคุณท่านนี้มาพบผมหน่อย”หลินอิ่งพูดเรียบๆ

หลินอิ่งรู้สึกเบื่อหน่ายที่จะคุยอธิบายอะไรกับคนกลุ่มนี้ละ

ล้วนแล้วแต่คนที่ไม่ยอมแยกแยะเขียวแดงขุ่นขาว มายอประธานหูบาคนนี้อย่างกับเป็นพ่อ

แล้วดันยังมาเป็นครูบาอาจารย์ ทำเรื่องฟื้นฟูการศึกษา มันช่างเหลวแหลกสุดแท้

“ยังจะมาอ้างประธานเซ่อีก? คุยเรื่องไม่เบาเลยนะ แกคิดว่าแกเป็นใคร?”ครูใหญ่ซุนพูดอย่างไม่พอใจ

“ที่นี่สถาบันชิงถึง แกมาก่อเรื่องวุ่นวายที่นี่ ฉันจะดูซิว่าแกแน่สักแค่ไหน จะดำ จะขาว เชิญดาหน้ามาเลย!จะขอดูซิว่าแกมันจะมีปัญญาแค่ไหน?”

“ฉันจะนับแค่ สาม นะ ถ้าแกยังไม่ปล่อยประธานหู ทั้งบอดี้การ์ดของประธานหูและรปภ.ของโรงเรียน จะร่วมกันจัดการกับแก!”

ดูท่าทางของหลินอิ่งวางท่าทางไม่แยแสกับใคร ครูใหญ่ซุนยิ่งเดือดพล่าน

“สาม…..”

ตูมๆๆ

ในขณะนั้นเอง เสียงก้าวเท้าตึงตังอย่างเร่งรีบดังเข้ามา

ชั้นล่างห้องทำงาน รถเก๋งเบนซ์คันใหญ่สีดำสิบกว่าคันถลันกันเข้ามาอย่างฉับพลัน

“ทั้งหมดไสหัวออกไป”

ตรงทางระเบียงยาว ชายฉกรรจ์หุ่นกำยำในชุดสูตรสีดำเดินลุยฝ่ากันเข้ามา ผลักปัด รปภ.ของโรงเรียนกับบอดี้การ์ดของหูบากระจายออกอย่างดุดัน

รวมๆ เป็นชายฉกรรจ์สาม-สี่สิบคน ยืนเรียงแถวอย่างเป็นระเบียบ แต่ละคนมาดห้าวโหด

ถึงตอนนี้ สภาพการณ์แบบนี้ คนที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมดตะลึงงันถูกสะกดนิ่ง

ชั่วครู่ต่อมา ชายหัวโล้นใส่เสื้อหนัง รอยแผลเป็นจากมีดหลายรอยบนใบหน้า เดินขึ้นบันไดมาอย่างเร่งรีบ อีกคนที่ตามมาข้างๆ แขนหนีบกระเป๋าเอกสารในชุดสูตร บุคลิกท่าทางไม่ธรรมดา

“คุณชายอิ่ง ผม ผมมาแล้วครับ!”

ซื่อไท่นำกำลังคนมาถึง เขาปาดเหงื่อบนใบหน้าออก เดินเข้าไปหาหลินอิ่งอย่าพินอบพิเทา

“คุณชายอิ่งครับ ข้างผมนี่คือคุณเซ่ชิง ประธานคณะกรรมการสถาบันชิงถึง ครับ”ซื่อไท่แนะนำด้วยความนอบน้อม “ท่านจะหาเขาด้วยเรื่องอะไร ท่านสั่งไปได้เลยครับ”

ซื่อไท่ยังประหวั่นอยู่ในใจไม่หาย พอได้รับแมสเสจจากหลินอิ่ง ก็รีบนำคนมาที่สถาบันชิงถึงอย่างเร่งด่วน อีกทั้งยังไปพาเอาตัวประธานสถาบันชิงถึงนี้มาด้วย

“คุณ.. คุณชายอิ่ง ท่าน ท่านตามผมมาพบ ไม่ทราบมีเรื่องอะไรครับ”ประธานเซ่ตีหน้ายิ้ม โค้งค้อมตัวด้วยเหงื่อท่วมหน้าแล้วมองไปที่หลินอิ่ง พูดอย่างตะกุกตะกัก

เซ่ชิงก็ตื่นตระหนกแย่เอาการเหมือนกัน

เขา ก็ถือว่ามีอิทธิพลมีระดับของย่านเมืองเก่า แต่เมื่อเทียบกับซื่อไท่คนระดับหัวมังกร ศักดิ์ศรีก็ห่างต่างกันไปคนละชั้น

โดนซื่อไท่ไปตามถึงบ้านตอนนั้น ก็ตกใจขวัญกระเจิงแล้ว

ยิ่งได้ยินว่า เป็นคุณชายอิ่งเจาะจงบ่งชื่อจะพบเขา ยิ่งเล่นเอาขวัญกระเจิงหมด

“นี่!ท่านประธานเซ่ ท่าน ท่านทำไมมาด้วยครับ…..”

“มันเรื่องอะไรกันนี่!ไอ้เด็กน้อยนี่ มันไปเรียกประธานเซ่มาเลยหรือนี่?”

ทุกคนที่อยู่ในบริเวณต่างตะลึงอึ้งทึ่ง ทั้งหมดถูกบรรยากาศสะกดงัน

ประธานคณะกรรมการโรงเรียน ประธานเซ่ ปกติไม่ใช่คนของสถาบันที่จะออกหน้าง่ายนัก ไม่เฉพาะเป็นเพียงบุคคลระดับผู้ใหญ่ในวงการศึกษา อีกทั้งยังเป็นนักลงทุนในหลายธุรกิจ เป็นมหาเศรษฐีระดับพันล้าน หากจัดลำดับในวงการธุรกิจย่านเมืองเก่านี้ ก็อยู่ในระดับเหนือเมฆทีเดียว

บุคคลระดับนี้ เป็นไปได้ยังไงที่ยอมสยบ วางตัวพินอบพิเทากับเด็กหนุ่มน้อยที่อยู่ข้างหน้านี้?

“ท่านก็คือประธานคณะกรรมการสถาบันชิงถึงนี้หรือ?”หลินอิ่งถามเปรยๆ

“ใช่ครับ! ผมเองครับ!ท่านมีอะไรจะสั่งครับ บอกมาได้เลยครับ”เซ่ชิงตีหน้ายิ้มพูดอย่างพินอบพิเทา

“ครูบาอาจารย์ในโรงเรียนของท่าน มีปัญหามากเลยนะ ภาพลักษณ์ก็มีปัญหามากๆ”หลินอิ่งพูดเปรยๆ

“ครูผู้หญิงคนนี้ การวางตัวด้านปฏิสัมพันธ์ วิถีการสอน ไม่มีความเหมาะสมในความเป็นครูเลย”หลินอิ่งพูดเรียบๆ

พูดพลาง หลินอิ่งลากเก้าอี้มานั่ง ล้วงหยิบบุหรี่ออกมาตัวหนึ่ง เซ่ชิงรีบจัดแจงจุดไฟให้อย่างรู้งาน พร้อมเอามือป้องลมให้

“คุณชายอิ่ง ท่านวางใจได้เลยครับ ในสถาบันชิงถึงนี้ ผมจะจัดการปัญหาเหล่านี้ให้เคลียร์ได้เลยครับ”เซ่ชิงตอบ

ชั่วขณะนั้นเอง หูบาสองผัวเมียหน้าถอดสีวูบ ใช้สายตามองหลินอิ่งด้วยแววยำเกรงสุดๆ

พวกเขารู้สึกได้เลยว่า คุณอาของหยังสู้สู้คนนี้ ไม่ใช่ไอ้เจเนอเรชั่นรุ่นสองหน้าโง่ แต่เป็นมหาพระกาฬมือค้ำฟ้าคนหนึ่งทีเดียวเจียว

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท