ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 560 เกลี้ยกล่อมผมไม่มีประโยชน์

บทที่ 560 เกลี้ยกล่อมผมไม่มีประโยชน์

จ้าวหลินเอ๋อร์ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร หลังจากเห็นความสง่าของหลินอิ่งแล้ว แล้วไปดูชายอื่น ก็รู้สึกเหมือนพวกไร้ประโยชน์ ไม่มีความสนใจเลยแม้แต่น้อย

อีกอย่าง ตั้งแต่เด็กเธอก็ถูกสั่งสอนมาว่ามีสัญญาหมั้นหมายกับตระกูลฉี ในใจก็จดจำเรื่องนี้อยู่ตลอด

และมีฐานะชาติกำเนิดที่สูงส่ง เป็นหญิงสาวผู้สูงศักดิ์แห่งตี้จิง จากเดิมก็มีผู้ชายน้อยมากที่เข้าตากเธอ

แต่พอดี คู่หมั้นตั้งแต่เด็ก ก็เป็นคนน้อยมากที่สามารถทำให้เธอหวั่นไหวได้

นี่ก็เป็นการตกหลุมรักเพียงฝ่ายเดียวในทันที จนถอนตัวไม่ได้

คราวนี้ ฉีเวิ่นติ่งและผู้อาวุโสทั้งสองของตระกูลจ้าว คนตระกูลจ้าวทั้งหมดในห้องโถงใหญ่ ต่างก็กวาดสายตามองไปที่หลินอิ่ง

รอหลินอิ่งตัดสินใจ

เท่าที่ทุกคนดู คำขอของตระกูลจ้าวนั้นต่ำที่สุดแล้ว ได้ให้เกียรติหลินอิ่งถึงที่สุดแล้ว

ขอแค่หลินอิ่งรักษาสัญญาหมั้นไว้ ยังให้จ้าวหลินเอ๋อร์ติดตามอยู่ข้างกายเขา ให้หลินอิ่งสามารถเรียกใช้อำนาจตระกูลจ้าวได้

การให้เกียรติที่สูงส่งขนาดนี้ ลูกเขยตระกูลจ้าวคนไหนเคยได้รับ?

“เกลี้ยกล่อมผมไม่มีประโยชน์”

หลินอิ่งพูดอย่างเย็นชา

“ผมมาวันนี้ ก็เพื่อจะเคลียร์ทุกอย่าง สัญญาหมั้นหมายในอดีต ยกเลิกเถอะ”

“ผมขอประกาศตรงนี้ ไม่ได้รังเกียจคุณหนูตระกูลจ้าวแต่อย่างใด เพียงแค่ใจมีเจ้าของแล้ว มีครอบครัวแล้ว” หลินอิ่งค่อยๆพูด “ถ้าหากตระกูลจ้าวรู้สึกว่ายกเลิกงานแต่งฉับพลัน ถ้าเช่นนั้นก็สามารถประกาศต่อภายนอกได้ ว่าตระกูลจ้าวไม่ถูกใจผมหลินอิ่ง จึงยกเลิกสัญญาหมั้นหมาย”

“สำหรับเรื่องการต่อสู้กับตระกูลสวี บุญคุณนี้ ผมรับด้วยใจแล้ว”

พูดจบ หลินอิ่งสีหน้าเรียบเฉย เงียบไม่พูดอะไร

ทันใดนั้น บรรยากาศในห้องโถงใหญ่ก็เย็นเยือกไปทันที

คำพูดของหลินอิ่งนี้พูดอย่างเปิดอกเปิดเผย

แต่ว่าเข้าหูคนของตระกูลจ้าว นั่นมันก็เหมือนดั่งสายฟ้าแลบ เป็นการเหยียดหยามอย่างที่สุด

จ้าวหลินเอ๋อร์อึ้งไปทันที ความผิดหวังในสายตานั้นไม่อาจปิดบังได้ ก้มหัวลง ดูแล้วน้อยใจมาก

“บังอาจ หลินอิ่ง ตระกูลจ้าวของเราถอยแล้วถอยอีก คำพูดที่ดีก็พูดจนหมดแล้ว เธอไม่ได้ฟังคำพูดของผู้ใหญ่อย่างพวกเราหลายคนเข้าหูเลย?” จ้าวเทียนสงพูดอย่างเคร่งขรึม สีหน้าไม่พอใจอย่างมาก

“เสี่ยวอิ่ง ต่อหน้าปู่ของเรา เราทำแบบนี้ คือจะทำให้ปู่ของเราลำบากใจเหรอ? สัญญาหมั้นหมายในตอนนั้น คือเราสองคนและปู่ของเธอทำสัญญากันด้วยตัวเอง” แม่เฒ่าตระกูลจ้าวพูดอย่างโมโห “เราต้องจำไว้ อำนาจของเราจะใหญ่โตแค่ไหน พวกเราทั้งหลายก็เป็นญาติผู้ใหญ่ของเรา เราอย่ายโสโอหังเกินไป”​

“ฉันก็รู้อะไรได้ฝืนได้มามันไม่หอมหวาน แต่ว่า ยายแก่อย่างฉันก็พูดกับเธออย่างดีแล้ว ให้หลินเอ๋อร์ติดตามเธอ ค่อยๆศึกษากันไป เธอยังจะยกเลิกสัญญาหมั้น นี่มันเหยียดหยามตระกูลจ้าวชัดๆ”

“พี่หก พี่มาพูดดีกว่า”

แม่เฒ่าตระกูลจ้าวพูดอย่างโมโห ค้ำไม้เท้าไม้จันทน์ไว้ โมโหจนดื่มน้ำชาไปหนึ่งแก้ว

หลินอิ่งทำให้เธอโมโหจริงๆแล้ว

ถ้าหากพูดว่า หลินอิ่งเป็นคนที่รักเดียวใจเดียว จะใช้ชีวิตกับผู้หญิงมณฑลตงไห่คนนั้น ถ้าอย่างนั้นก็แล้วไป

แต่ว่า หลินอิ่งถูกตระกูลเล็กๆของมณฑลตงไห่นั้นไล่ออกจากบ้าน หย่าร้างแล้ว แม้แต่ เขาอยู่ข้างนอกเจ้าสำราญขนาดนั้น ที่เห็นอยู่ก็มีผู้หญิงติดตามอยู่หลายคน ในที่ลับยังไม่รู้ว่าซ่อนอยู่เท่าไหร่

สถานการณ์แบบนี้ยังไม่ใส่ใจยายหนูตระกูลตัวเอง นี่ไม่ใช่เหยียดหยันคืออะไร?

“แคกแคก……” ฉีเวิ่นติ่งไอแห้งไปสองครั้ง พูดอย่างจริงจัง “อิ่งเอ๋อ เรื่องนี้เราตัดสินใจเองเถอะ ปู่ไม่เกลี้ยกล่อมเราแล้ว”

เขาสามารถดูการตัดสินใจของหลินอิ่งได้

นิสัยของหลินอิ่งเหมือนกับเขาตอนหนุ่มมาก ทำอะไรเด็ดขาด

เรื่องที่ตัดสินใจแล้ว ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนความคิดได้

“พี่หก พี่ พี่ จะตามใจนิสัยเขาไม่ได้ เห้อ” แม่เฒ่าตระกูลจ้าวพูดอย่างไม่พอใจอย่างมาก

“เสี่ยวอิ่ง เราจะไม่พิจารณาแม้แต่น้อยเลยเหรอ? ยายหนูหลินเอ๋อร์แย่ขนาดนั้นเลยเหรอ?” แม่เฒ่าตระกูลจ้าวต้องหลินอิ่งอย่างเย็นชา “เราสามารถอยู่ในบ้านนอกแบบนั้นอย่างมณฑลตงไห่ไปเป็นลูกเขยแต่งเข้าตระกูลเล็กๆแบบนั้นได้ กลับไม่ยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจ้าวอย่างเรา?”

“นี่มันเหตุผลอะไร? ดูถูกตระกูลจ้าว? ดูถูกตาแก่อย่างเราสองคน? และดูถูกหลินเอ๋อร์ ใช่ไหม?”

แม่เฒ่าตระกูลจ้าวยิ่งพูดยิ่งโมโห อารมณ์เสียโดยตรงเลย

“นี่ก็เพราะปู่ของเราตามใจเรา สมัยก่อน ปู่ทวดของเรา อยู่ในตระกูลฉีก็ตามใจฉัน อย่างเราที่แสดงท่าทางวิปริตต่อหน้าฉันแบบนี้ ลากตัวไปทำโทษประจำตระกูลในห้องโถงตั้งนานแล้ว”

“ช่างทำให้ฉันโมโหจริงๆ”

แม่เฒ่าตระกูลจ้าวตีไม้เท้าไปหลายครั้ง ทำเสียงเย็นชา ไม่พอใจสำหรับพฤติกรรมของหลินอิ่งไม่มาก

“ท่านยาย ท่านไม่ต้องพูดพวกนี้กับผม” หลินอิ่งพูดเรียบเฉย “ท่านเป็นผู้อาวุโสของตระกูลฉี ผมเคารพท่าน”

“หากท่านมีคำสั่งอะไร ผมต้องทำตามอย่างแน่นอน” หลินอิ่งค่อยๆพูด “แต่ว่าเรื่องสัญญาหมั้นหมาย ไม่มีช่องว่างให้เจรจา”

“วันนี้ผมขอประกาศตรงนี้ ขอยกเลิกการหมั้นอย่างทางการ อย่าให้ผมกลับไปแล้ว ต้องประกาศต่อแวดวงลึกลับด้วยตัวเอง”

“อีกอย่าง ท่านยาย ปู่ของผมช่วงนี้สุขภาพไม่ค่อยดี ต้องการรักษาตัวอยู่บ้าน ผมไม่หวังว่า ยังมีคนไปรบกวนท่านอีก”

หลินอิ่งพูดประโยชน์เหล่านี้อย่างเย็นชา ระหว่างคำพูดนั้น แปร่งประกายราศีที่ทำให้คนหวาดกลัว

ใช่แล้ว สัญญาหมั้นหมายไม่ต้องเจรจาแล้ว

ในใจหลินอิ่งก็เริ่มมีความโกรธแล้ว

ร่างกายของคุณปู่ตัวเองยังไม่หายดี ถูกแม่เฒ่าตระกูลจ้าวเชิญออกมา จุดนี้ ทำให้เขาโมโห

แม่เฒ่าตระกูลจ้าวเป็นยายของตัวเอง ทั้งเกียรติและมารยาทก็ให้พอแล้ว

เปลี่ยนเป็นรูปแบบปกติของเขา ทิ้งคำพูดไว้ที่ตระกูลจ้าว หมุนตัวจากไป ดูใครกล้าพูดมาก

“เธอ นี่เธอกำลังสั่งสอนฉันเหรอ?” แม่เฒ่าตระกูลจ้าวพูดอย่างโมโห “ในเมื่อเราพูดแบบนี้ งั้นก็ช่างเถอะ ยายหนูหลินเอ๋อร์ ตัดความคิดนี้ไปเถอะ ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปอย่าไปมาหาสู่กับไอ้เด็กเวรนี่อีก วันนี้หนูก็เห็นแล้ว ไอ้เด็กเวรนี่วันนี้มันรังเกียจหนูขนาดนี้”

“เดี๋ยวฉันก็จะประกาศต่อภายนอก ยกเลิกการหมั้น คือหลินอิ่งไม่เจียมตัว ไม่คู่ควรกับยายหนูบ้านเรา”​

“หลินอิ่ง วันนี้เธอถอนหมั้นเดินออกจากประตูนี้ไป ก็อย่าโทษว่าฉันไม่รักษาความสัมพันธ์นะ ถึงเวลา ถึงแม้ตระกูลจ้าวไม่ไปยืนฝั่งตระกูลสวี ก็ต้องทำให้เธอลำบากแน่” จ้าวเทียนสงพูดเสียงเคร่งขรึม ท่าทางยิ่งอยู่ยิ่งโมโห

“นี่ท่านกำลังข่มขู่ผม?” หลินอิ่งน้ำเสียงค่อยๆเย็นชาขึ้น

“ไม่ได้”

คำพูดหลินอิ่งยังพูดไม่จบ จ้าวหลินเอ๋อร์ก็โดดออกมา สีหน้ารีบร้อน

“คุณย่า คุณปู่ ท่านอย่าโมโหใส่หลินอิ่ง”

จ้าวหลินเอ๋อร์พูดขอร้อง สีหน้ากังวลมาก

“หนู……”

“นี่…….”

แม่เฒ่าตระกูลจ้าวกับจ้าวเทียนสงเห็นจ้าวหลินเอ๋อร์กระโดดออกมาช่วยหลินอิ่งพูด ต่างก็สีหน้าโมโห

“เอาตัวเธอลงไป ยายเด็กนี่ไม่รู้จักอายจริงๆ” แม่เฒ่าตระกูลจ้าวก็โมโหแล้ว ท่าทางโกรธมาก

“คุณย่า ย่าอย่าอารมณ์เสียเลย หลินอิ่ง เขาไม่ได้มีความหมายไม่เคารพท่าน” จ้าวหลินเอ๋อร์ก้มหน้าพูด “ย่าให้หนูพูดกับหลินอิ่งสักสองคำได้ไหม?”

พูดไป ตาของจ้าวหลินเอ๋อร์ก็เริ่มแดง มองไปที่หลินอิ่ง ถามอย่างจริงจัง “คุณต้องถอนหมั้นจริงเหรอ? ฉันตกลงแล้ว แต่ฉันหวังว่า คุณจะตอบตกลงฉันข้อเสนอหนึ่งข้อได้ไหม?”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท