ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 570 เลือดถล่มตึก

บทที่ 570 เลือดถล่มตึก

ซื่อไท่หน้าผากผุดเหงื่อ พูดว่า “เรียนท่านอิ่ง ผู้น้อยได้ประกาศสั่งกับผู้อยู่ในการดูแลทั้งหมดแล้วครับว่า ไม่ว่าอะไรที่เป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย ให้ถือเป็นคำสั่งห้ามทั้งหมด”

หลินอิ่งผงกหัวเล็กน้อย พูดเรียบๆ ว่า “ในโลกนี้ วิถีทำมาหาเงินมากมาย อย่าไปเลือกทำอย่างสุดขั้ว แกอยู่ในวงการ เพียงแค่ดูแลให้อยู่ในคอนโทรลให้ได้ โอเคนะ”

“ผู้น้อยเข้าใจครับผม จะปฏิบัติตามแนวคำสั่งของท่านอย่างเคร่งครัด”ซื่อไท่ค้อมหัวพูด

คำพูดของหลินอิ่ง หมายถึงให้สะกิดเตือนก็พอ

ซื่อไท่ก็รู้เข้าใจดี

ตั้งแต่ท่านอิ่งกลับคืนสู่ตี้จิง ได้สนับสนุนลูกพี่หยูขึ้นมาเป็นหัวหน้าใหญ่หัวมังกรระดับผู้นำแล้ว ก็มีคำสั่งห้ามเด็ดขาดกับการทำธุรกิจผิดกฏหมาย ไม่เพียงตัวเองไม่ทำ ยังห้ามไม่ให้คนอื่นทำด้วย

เนื่องจากคำสั่งเฉียบขาดของท่านอิ่งนี้ ภายใต้ปฏิบัติการอย่างเข้มงวดของ หยูจื๋อเฉิง พี่ใหญ่หยูจึงได้รับฉายาที่โด่งดังมากๆ คนต่างพากันเรียกเขาว่า ผู้กองกำกับการใต้ดิน

“ดีละ กลับไปเถอะ ที่สถาบันชิงถึงนี้ หลานสาวฉันเรียนอยู่ที่นี่ หากฉันไม่ว่าง แกก็ช่วยเป็นธุระดูแลให้หน่อยนะ”หลินอิ่งพูดกำชับ

“ท่านอิ่งวางใจได้ครับผม”ซื่อไท่พูดอย่างมั่นเหมาะ

สั่งการทุกอย่างเรียบร้อย หลินอิ่งเดินออกจากสถาบันชิงถึง

ณ.ที่จอดรถหน้าประตูสถาบัน ฮาเดสเตรียมรถพร้อมรออยู่แล้ว

หลินอิ่งเข้านั่งในรถ ฮาเดสสตาร์ทรถ ขับมุ่งเข้าสู่ถนนที่เต็มไปด้วยสีสัน

ตี๊ดๆ….

หลินอิ่งเพิ่งนั่งได้ไม่นาน เสียงโทรศัพท์เข้ารหัสดังขึ้น

เป็นโทรศัพท์จากเย่เฮย

เขารับโทรศัพท์อย่างพึงใจ

กำลังคิดจะโทรไปหาเย่เฮยพอดี อยากจะถามถึงเหตุการณ์ทางด้านนั้นอยู่

“นายท่าน ข้อมูลตามรายงานไม่ผิดพลาด ยืนยันได้แน่ชัดแล้วว่ามีผู้พิทักษ์ระดับสูงของสำนักยุทธ์เชียนสองคน”เสียงทุ้มหนักของเย่เฮยส่งมาจากโทรศัพท์อีกด้านหนึ่ง

“พิกัดอยู่ในเขตตี้เจียง เป็นอาคารธุรกิจใหญ่ร้างข้างๆ ตี้เจียง พวกมันซ่อนตัวอยู่ในนั้นเอง ผู้น้อยกับท่านผู้ปู่หวงได้สะกดเฝ้าพวกแก๊งคนต้าเหออยู่ที่นี่”เย่เฮยรายงาน

“อยู่ข้างถนนริมแม่น้ำสาม ถูกต้องนะ?”หลินอิ่งถามเสียงเรียบๆ “โอเค สะกดเฝ้าไว้ ฉันจะมาถึงเดี๋ยวนี้ละ”

“ไอ้พวกแก๊งคนต้าเหอนั่น ไม่รู้กำลังขนอะไรกันอยู่ เห็นพวกมันเข้าๆ ออกๆ ระหว่างตึกร้าง ดูเหมือนว่าพวกมันกำลังจัดรวบรวมของ เหมือนเตรียมย้ายสถานที่”เย่เฮยรายงานอย่างหนักแน่น

“ผู้น้อยเกรงว่า ถ้าหากว่าไอ้พวกแก๊งคนต้าเหอนี้ย้ายออกไปจากตึกร้างพวกนี้ พวกเราจะไปตามหาพวกมันอีก จะมีความเสี่ยงต่อการเปิดเผยตัวของพวกเราเป็นอย่างมาก ฉะนั้น ขอท่านลองพิจารณาสั่งการให้พวกเราลงมือก่อนเลยดีไหมครับ?”

“ถ้าพวกมันเตรียมเคลื่อนย้าย พวกแกก็จัดการลงมือก่อนเลย ฉันกะว่าจะมาถึงที่นี่ได้คงอีกประมาณครึ่งชั่วโมง”หลินอิ่งพูดอย่างเป็นทางการ

“ครับผม!”

หลังจากปิดโทรศัพท์ หลินอิ่งสีหน้าเคร่งเครียดขึ้น สั่งว่า “ฮาเดส ไปถนนริมแม่น้ำสาม เขตตี้เจียง”

จากนั้น เขาค่อยๆ หลับตา เอนตัวลงเพื่อพักผ่อน

……

บริเวณเขตตี้เจียง ยามค่ำคืน แสงเดือนสาดส่อง น้ำในแม่น้ำไหลครืนครัน

ริมฝั่งแม่น้ำเป็นอาคารตึกใหญ่เรียงรายร้างอยู่ ข้างๆ มีขยะเป็นกองๆ

บนอาคารตึกสูงที่สร้างค้างตึกหนึ่ง บริเวณชั้นบนสุดของอาคารสามสิบกว่าชั้น

ลมแผ่วๆ โชยพลิ้ว ภายใต้แสงเดือน มีเงาร่างดำมาดเท่จำนวนหนึ่ง ยืนอยู่ตรงชั้นบนสุดของตึก บรรยากาศดูอึมครึม

เย่เฮยหลังจากติดต่อทางโทรศัพท์กับหลินอิ่งแล้ว เก็บโทรศัพท์เข้ารหัส ล้วงถุงมือที่สะท้อนส่องแสงเงินจางๆ จากกระเป๋าเสื้อ

และในขณะเดียวกัน ลูกน้องอีกห้าหกคนของเย่เฮย ก็ล้วงถุงมือออกมาเหมือนนัดกันไว้ สวมใส่มืออย่างช้าๆ

ท่ามกลางบรรยากาศมืดทะมึน แสงสะท้อนของถุงมือ สาดคลุ้งกลิ่นอายการฆ่า

“นี่มัน……”

หวงชิงซานที่ยืนมองอยู่ข้างๆ เห็นดังนั้น อุทานออกมาด้วยความตื่นตลึง

เขาเคยเห็นภาพแบบนี้มาก่อน นี่มันเป็นฝันร้ายของเขาแท้ๆ

ครั้งก่อนนั้น การปะทะกันกับกลุ่มอิทธิพลที่อยู่เบื้องหลังตระกูลเหวิน ฝ่ายตรงข้ามก็คือยอดฝีมือชุดดำสิบกว่าคน ทุกคนต่างสวมถุงมือสีเงินแบบนี้

ถุงมือพิเศษสั่งทำเฉพาะนี้ จับมีดหักได้นั่นไม่ต้องพูดถึง เพียงแค่กวาดมือปาดใส่ใคร คนคนนั้นเป็นเลือดสาดกระจาย เนื้อหลุดจากกระดูก

ที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้น คือแม้กระสุนสไนเปอร์ก็ไม่สามารถยิ่งทะลุเข้าได้ สุดโหดสุดน่ากลัวจริงๆ

“ไอ้น้องเย่เฮย นี่เป็นอาวุธพิเศษของทีมงานคุณหรือ? จริงๆ แล้วคุณรู้จักกลุ่มที่ลงมือกับตระกูลเหวินในครั้งนั้นหรือไม่?”หวงชิงซานอดไม่ได้ที่ต้องถาม

เย่เฮยออกอาการลังเลนิดหนึ่ง บอกว่า “ท่านปู่หวงครับ นี่เป็นรูปแบบพิเศษของพวกเรา แต่ทว่า ผมแยกตัวหลุดพ้นจากขบวนการแล้วหลายปี องค์กรของผมเอง เปลี่ยนแล้ว”

“พวกคนที่ท่านพูดถึงเหล่านั้น ผมรู้จักแน่นอน และบ้างก็เคยสนิทกันมากด้วย แต่ พวกเขาทรยศต่อคุณหลิน…..”เย่เฮยพูดเสียงเย็นยะเยือก ไม่พูดเท้าความอีกต่อ

ประโยคคำพูดนี้ ฟังแล้วให้หวงชิงซานตาผลุบลง เสียวหลังวาบ

คำพูดของเย่เฮยแฝงด้วยนัยแห่งสัญญานกว้างมากๆ…..

“เอาละ ท่านปู่หวง เมื่อตะกี้คุณชายหลินโทรศัพท์เข้ามา ให้พวกเราปฏิบัติการได้ตามรูปโอกาส”เย่เฮยเปลี่ยนเรื่องคุย พูดอย่างเป็นการเป็นงานว่า “พวกกลุ่มคนต้าเหอนั่น กำลังเก็บจัดการสินค้าของพวกมัน ใกล้จะถอนหนีออกจากตึกอาคารนี้แล้ว เตรียมตัว ลงมือกันเถอะ”

“อือม์ “หวงชิงซานผงกหัวเห็นด้วย มองไกลไปยังอาคารตึกใหญ่ นัยต์ตาแก่ย่นฉายแววเย็นยะเยือก

สายตาจากมุมสูงของเย่เฮย มองชัดเจนไปถึงอาคารตึกเตี้ยที่ห่างออกไปหลายสิบเมตร อาคารร้างที่สร้างค้างหลังหนึ่ง มีแสงไฟส่องสว่างขึ้น เงาดำเป็นตะคุ่มๆ ขยับอยู่ข้างในห้อง

สวบ!

เพียงชั่วแวบ เย่เฮยก้าวนำออกเป็นคนแรก กระโดดพุ่งตัวออกไป คนทั้งตัวทะยานออกจากตึก

ยอดฝีมือองครักษ์มังกรดำหลายคนนั้น ตามติดข้างหลัง กระโดดตามกันลงไป

หวงชิงซานก็ไม่มีการลังเล จากที่ความสูงกว่าร้อยเมตร ก้าวทะยานออกไป

เงาร่างดำของพวกเขา ฝ่าไปท่ามกลางความมืด ดุจสายลมโฉบผ่าน ละลิ่วข้ามไปยังตึกร้างตรงข้ามที่ห่างออกไปหลายสิบเมตร

ตูม! ตูม!

ตามมาติดๆ เป็นเสียงกึกก้องหนักหน่วง สั่นสะเทือนจนตึกโทรมๆ นั้นสะท้านไปทั้งชั้น เจาะทะลุไปหลายโพรงรู

“เกิดอะไรขึ้น? ใครกัน?”

“อ๊าก…..”

ภายอาคารชั้นเดียวที่สว่างทั่ว เสียงโวยวายเป็นโกลาหลดังออกมาทันที คนที่กำลังขนถ่ายลังนิรภัยส่งภาษาต้าเหอฟังกันไม่ได้ศัพท์

เย่เฮยนำพวกทลายผนังกำแพงที่ขวางแต่ละชั้นอย่างระห่ำคลั่ง โจนทะยานดุจลมโฉบเงาเฉวียนพุ่งใส่กลุ่มคนต้าเหอ

“อ๊าก!”

“โอ๊ย!”

ช่วงเพียงไฟแลบ คนต้าเหอร้องด้วยความเจ็บปวดคนแล้วคนเล่า

…..เลือดกระเซ็นสาดกระจายไปทั่ว

ไม่ว่าคนต้าเหอใครเจอเข้ากับเย่เฮย แค่ปะหน้าไม่ทันไร เนื้อกับกระดูกก็กระจุยกระจายเลือดสาดกระเซ็นทั่ว ไม่มีโอกาสได้ตอบโต้เลยแม้แต่น้อย

“รายงานสองเจ้านาย เร็ว!มีคนประเทศหลุงบุกเข้ามา”

ในขณะนั้นเอง มีคนต้าเหอคนหนึ่งตะโกนร้องเสียงดัง มือกดอุปกรณ์รีโหมดที่ถืออยู่

บรึม บรึม บรึม บรึม!

ในอาคารตึกร้างนั้น พลันเกิดเสียงระเบิดอันน่าสะพรึงกลัวของการสะท้านแหวกอากาศ มันมีการซุกฝังระเบิดไว้ในอาคารร้างนี้

การระเบิดเป็นช่วงๆ หยุดลง เย่เฮยและพวกอีกหลายคนหลบเหตุอันตราย กระโดดถอยออกไปหลายช่วงก้าว

ในช่วงฉับพลันนั้นเอง

นักรบคนต้าเหอที่แต่ละคนมือถือมีดแวววาว ลุยเข้ามาเป็นขบวนตามทางระเบียง

“ไอ้พวกคนประเทศหลุงมาจากไหนกันวะ? กล้าเข้ามาลงมือทำร้ายพวกข้า?”

คนต้าเหอใส่หน้ากากโหดแสยะที่นำหน้าขบวน มองเย่เฮยกับพวกแล้วตะคอกถาม

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท